เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 189 สถานที่นั้นมีแต่สตรีจะมีผู้ใดทำร้ายเราได้
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 189 สถานที่นั้นมีแต่สตรีจะมีผู้ใดทำร้ายเราได้
บทที่ 189 สถานที่นั้นมีแต่สตรีจะมีผู้ใดทำร้ายเราได้
บทที่ 189 สถานที่นั้นมีแต่สตรีจะมีผู้ใดทำร้ายเราได้
ทันทีที่สุนัขทั้งสองเห็นเสี่ยวเป่าก็รีบวิ่งตรงเข้ามาโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด แม้แต่เอ้อร์ฮาก็เช่นกัน ถึงมันจะเป็นหมาป่า แต่ท่าทางตอนนี้กลับส่ายหางอย่างแรงไม่ต่างจากสุนัขบ้านทั่วไป
โร่วโร่วทิ้งตัวลงกลิ้งไปมากับพื้นก่อนจะลุกขึ้นมาวิ่งเป็นวงกลม แทบจะไม่รู้ทิศทาง ส่ายหัวส่ายหางพร้อมกับวิ่งมาอย่างรวดเร็วด้วยอุ้งเท้าน้อย ๆ น่ารักทั้งสี่ข้าง
“โฮ่ง ๆ!”
โร่วโร่วดูไม่เหมาะกับชื่อที่เสี่ยวเป่าตั้งให้เลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะอาหารการกินที่จวนจิ้นอ๋องนั้นดีเกินไป เจ้าหมาน้อยดูมีความสุขกับอาหารจนร่างกายอ้วนท้วน อุ้มไว้ในอ้อมแขนได้อย่างพอดิบพอดี
เสี่ยวเป่าเข้ากับสรรพสัตว์ได้เป็นอย่างดีเสมอ นั่นทำให้นางได้รับความช่วยเหลือจากปลาจิ๋นหลี่ในทะเลสาบอย่างน่าอัศจรรย์
ยามนี้คนแทบทั้งเมืองหลวงรู้เรื่องนี้หมดแล้ว ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องราวขององค์หญิงน้อยจึงเป็นที่เล่าลือกันทั่วทุกตรอกซอกซอย เพราะยึดถือว่านี่เป็นเรื่องมงคล
เสี่ยวเป่าอุ้มลูกสุนัขทั้งสองมาที่ม้านั่งอย่างเรียบร้อย ฟังพี่ใหญ่เล่าเรื่องเกี่ยวกับข่าวลือที่ผู้คนกำลังพูดกันในเมืองหลวง
หนานกงฉีซิวหัวเราะพลางพูดติดตลก เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่บอบบางและงดงามของน้องสาว ผู้ดูราวกับหลุดออกมาจากสรวงสวรรค์ “หากชาวบ้านได้เห็นว่าองค์หญิงน้อยดูน่ารักเพียงนี้ เกรงว่าพวกเขาต้องเล่าลือว่าเจ้าเป็นเทพธิดาลงมาจุติยังโลกนี้เป็นแน่”
เสี่ยวเป่าเกาคางของเอ้อร์ฮา ลูกหมาป่าที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายที่ตอนนี้กำลังนั่งสบาย ๆ อยู่ข้าง ๆ มันทั้งดูเชื่องและขี้อ้อนต่างจากเอ้อร์ฮาที่ทุกคนรู้จักเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“ไม่ใช่เทพธิดานะเพคะ เสี่ยวเป่าก็คือเสี่ยวเป่า น้องเล็กของพี่ ๆ”
ท่าทางน่ารักนุ่มนิ่มเช่นนี้ ผู้ใดจะอดใจไม่ให้หลงชอบได้
“พี่ใหญ่พอทราบหรือไม่ว่า ตอนนี้พี่สามเป็นอย่างไรบ้าง”
ผ่านมานานแล้วที่พี่สามถูกท่านพ่อสั่งให้ไปประจำที่กรมโยธา
และแน่นอนว่า แม้เขาจะต้องไปประจำที่กรมโยธา แต่พี่สามก็ยังให้คนเอาของอร่อย ๆ จากนอกวังหลวงมามอบให้นางอย่างสม่ำเสมอ
หนานกงฉีซิวพยักหน้า “ข้าคิดว่าเขาค่อนข้างสบายใจที่ได้ทำงานที่กรมโยธานะ”
ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อนจริง ๆ ว่าองค์ชายสามโปรดงานไม้ เพราะเขาไม่เคยแสดงความสนใจเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าผู้คน
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงพี่รองของเจ้า อยากฝากอะไรถึงเขาหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที จากนั้นก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก “เสี่ยวเป่าอยากส่งของเพคะ มีหลายอย่างที่เสี่ยวเป่าอยากฝากให้พี่รองด้วย”
หลังจากพูดจบ เด็กน้อยก็เริ่มคิดถึงเมล็ดพันธุ์ที่นางได้รับมาจากถุงนำโชคใบน้อย ตอนนี้เสี่ยวเป่ามีข้าวสาลีและมันเทศที่พร้อมเก็บเกี่ยว หลังจากดูแลรดน้ำอย่างใส่ใจและเติมพลังวิญญาณให้ทุกวัน นางจึงตั้งใจว่าจะมอบเมล็ดพืชให้พี่รองของนาง
เมล็ดข้าวสาลีและมันเทศที่ได้จากถุงนำโชคเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นยอด ซึ่งได้รับการปรับปรุงพันธุ์แบบยุคสมัยใหม่ ต่อให้ปลูกในปริมาณที่มากขึ้น ผลผลิตก็จะไม่ลดน้อยลงอย่างแน่นอน พี่รองเคยกล่าวกับนางว่าการเก็บเกี่ยวพืชผลในเมืองหน้าด่านนั้นมีปริมาณไม่มากนัก แต่ถ้าหากนำเมล็ดของเสี่ยวเป่าไปเพาะปลูก จะสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีเฉ่าเหมย นางปลูกเฉ่าเหมยอีกแปลงหนึ่ง ซึ่งได้ผลผลิตมากกว่าครั้งที่ผ่านมามาก
และยังมีเมล็ดหญ้างอกงามที่เป็นพืชผสมระหว่างจื่อฮวามู่ซวี*[1]กับต้นหญ้าที่เติบโตได้ดีในดินแดนที่นางเกิด อันเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ทำให้หญ้างอกงามนี้เป็นพืชที่สัตว์ชอบกินอย่างมาก ทั้งยังช่วยเสริมพลังวิญญาณให้พวกมันได้อีกด้วย
เมล็ดหญ้างอกงามนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้วส่วนหนึ่ง เพียงพอที่จะส่งให้พี่รองได้นำไปใช้ก่อน หลังจากที่เสี่ยวเป่าเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมของเมืองหน้าด่านกับสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยพบเจอมาในชีวิตที่แล้ว ก็ทำให้พอคาดเดาได้ว่าพี่รองน่าจะเหมาะเอาหญ้าชนิดนี้ไปปลูกมากที่สุด
เสี่ยวเป่านับนิ้วพลางพูดพึมพำ ทำให้หนานกงฉีซิวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินไปด้วย
“เจ้าเตรียมเมล็ดพันธุ์อะไรอีกแล้วงั้นหรือ”
ชายหนุ่มใช้นิ้วเรียวเคาะหน้าผากมนของเจ้าก้อนแป้ง
เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะเล็กน้อย “มีอาหาร แล้วก็มีต้นหญ้าเพคะ”
หนานกงฉีซิวคุ้นเคยกับการได้เห็นน้องสาวเพาะปลูกพืชแปลก ๆ แล้ว ซึ่งทั้งหมดล้วนมีรสชาติดีและใช้ประโยชน์ได้ เสี่ยวเป่าไม่เคยปิดบังเรื่องนี้จากพี่ ๆ เด็กน้อยไว้วางใจและเล่าทุกอย่างให้พวกเขาฟังเสมอ
“พี่ใหญ่ เสี่ยวเป่ารู้จักพืชที่เติบโตอยู่ใต้ดิน หนึ่งต้นมีหัวแยกหลายหัวมากและยังมีขนาดใหญ่ เพียงพอที่จะใช้เป็นอาหารเลี้ยงคนจนอิ่มท้องได้อย่างสบาย ๆ”
หนานกงฉีซิว “!!!”
ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มถามว่า “เจ้าบอกว่ามีอาหารให้กินอย่างเพียงพออย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า
“มีผู้ใดรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่”
เสี่ยวเป่าส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “เสี่ยวเป่าไม่แน่ใจเช่นกันเพคะ”
หนานกงฉีซิวเงยหน้าขึ้น “…เจ้าค้นพบมันตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เสี่ยวเป่าตอบอย่างไร้เดียงสา “เสี่ยวเป่าปลูกเอาไว้เป็นแปลง ตอนนี้พร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้วเพคะ”
หนานกงฉีซิว “…”
เขาเกิดลางสังหรณ์ในใจว่า น้องสาวกำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องนี้…เสด็จพ่อทรงทราบหรือไม่”
เสี่ยวเป่าส่ายหน้า “ยังไม่ทราบเพคะ เสี่ยวเป่าเพียงต้องการส่งมันเทศให้พี่รองเท่านั้น”
“ไม่ต้องกังวลไป รอดูก่อนว่าเสด็จพ่อจะรับสั่งว่าอย่างไร”
เสี่ยวเป่าตอบรับอย่างเชื่อฟังระหว่างเล่นกับลูกสุนัข โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าตนเองสร้างเรื่องยิ่งใหญ่เพียงใดไว้ข้างหลัง
เมื่อเห็นท่าทางไร้เดียงสาของนาง หนานกงฉีซิวก็ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี
บรรดาพี่ชายห้าคนก็กลับมา หลังจากไปสืบข่าวและนำเสื้อผ้ากลับมาให้เสี่ยวเป่าด้วย
มันเป็นเสื้อผ้าสีเข้มตั้งแต่หัวจรดเท้า
เสี่ยวเป่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก “เราจะไปจัดการคนในคืนนี้หรือเพคะ”
องค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงอยู่ในชุดดำรอแล้ว เส้นผมสีดำขลับของเขาถูกรวบสูงทำให้ดูหล่อเหลาเป็นพิเศษ ไม่ต้องพูดถึงว่าดึงดูดสายตาผู้คนมากเพียงใดในชุดนี้
“ไม่ใช่ ไปตอนนี้เลยต่างหาก”
คนอื่น ๆ ต่างอยู่ในชุดสีดำทั้งตัว ล้วนดูมีความสุขที่ได้อวดเสื้อผ้าต่อหน้าพี่น้องด้วยกัน
เด็กหนุ่มที่ใดจะไม่เคยฝันถึงการสวมชุดต่อสู้แฝงตัวไปในความมืด และลอบเข้าที่ต่าง ๆ บ้าง
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้วขณะมองเสื้อผ้า “แต่…ถ้าพวกท่านพี่ออกไปข้างนอกในตอนกลางวันพร้อมกับชุดนี้แล้ว มันจะดูสะดุดตามากนะเพคะ”
หากสวมชุดนี้ตอนกลางวัน เดินออกไปข้างนอกผู้ใดก็มีแต่จะมองว่าเป็นโจร
พวกเขามองกันไปมาอย่างอึกอัก เริ่มรู้สึกตัวขึ้น “ก็…ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า”
“เช่นนี้แล้วต้องทำอย่างไร”
หนานกงฉีซิว “…”
ตอนนี้เขาเริ่มกังวลที่จะปล่อยน้อง ๆ ออกไปกันเองแล้ว
หนานกงฉีเฉินปรบมือ พลางพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ลงมือตอนกลางคืน จะได้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น”
ยุคสมัยนี้ไม่มีไฟฟ้า คนส่วนใหญ่เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ มีเพียงอาชีพบางอาชีพที่ต้องทำงานในสถานที่ที่เปิดช่วงกลางคืน
นั่นก็คือหอนางโลม
และบังเอิญว่า สถานที่อันเป็นที่โปรดปรานของบรรดาลูกหลานจวนเซวียนผิงโหวก็คือ หอนางโลมเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่พวกเขาชอบไปเที่ยว แต่มักจะไปข่มเหงผู้อื่นอย่างไม่สนใจกฎหมายอีกด้วย
เนื่องจากจวนเซวียนผิงโหวมีอำนาจมาก ผู้ที่ถูกข่มเหงรังแกจึงทำได้เพียงแต่กล้ำกลืนความไม่พอใจลงไปเท่านั้น
บรรดาองค์ชายสืบเรื่องนี้มาแล้ว คนจวนเซวียนผิงโหวอยู่ที่หอนางโลมเมื่อคืนค่ำและยังไม่กลับไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวง
คนพวกนี้มักจะอยู่หาความสำราญที่หอนางโลมเป็นเวลาหลายวันติดกัน
แต่การพาเสี่ยวเป่าไปยังสถานที่เช่นนั้นหาใช่เรื่องสมควรไม่
“พวกเราไปจับเขากันเถอะ!” หนานกงฉีหลิงพูดด้วยความมั่นใจ
“ใช้เพียงนิ้วเดียว ข้าก็จัดการพวกนั้นได้แล้ว!”
หลังจากเอ่ยเช่นนั้น เขาก็หันไปทางองค์ชายสี่ “พี่สี่ ไปกับข้าเถอะ!”
“ข้า…ข้าไม่กล้าไปสถานที่เช่นนั้น”
หนานกงฉีหลิงไม่พอใจท่าทีเช่นนั้นของพี่ชาย “ไยถึงได้ไม่กล้าเล่า ที่นั่นแทบไม่มีผู้ชายด้วยซ้ำ สถานที่นั้นมีแต่สตรีจะมีผู้ใดทำร้ายเราได้”
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น…”
หนานกงฉีหลิงมองไปทางน้องชายอีกสามคนที่เหลือ “พวกเจ้ากับเสี่ยวเป่ารอที่นี่ พี่สี่และข้าจะไปพร้อมกับองครักษ์ ช่วยกันจับเขาใส่กระสอบแล้วเอาตัวออกมา”
ว่าจบเขาก็จากไปด้วยความมั่นใจ
[1] จื่อฮวามู่ซวี (紫花苜蓿) เป็นพืชตระกูลถั่วดอกสีม่วง