เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 190 นิทานภูตผี
บทที่ 190 นิทานภูตผี
บทที่ 190 นิทานภูตผี
องค์ชายสี่และองค์ชายห้าพายอดฝีมือประมาณสองสามคนของจวนจิ้นอ๋องไปด้วย เสี่ยวเป่าสวมชุดพรางตัวเล็ก ๆ นางรออยู่ใต้ต้นไม้กับพวกพี่ชาย
แต่พอรอไปนาน ๆ ก็เริ่มรู้สึกเบื่อ หนานกงฉีเฉินจึงพูดขึ้นมาว่า “พวกเรามาเล่าเรื่องผีกันเถอะ”
องค์ชายแปด หนานกงฉีจวินทำสีหน้าเย้ยหยัน “ฮ่า ๆ พี่หก ท่านอ่านนิทานด้วยหรือ!”
หนานกงฉีเฉินตอบกลับเสียงห้วนว่า “ข้าอ่านแล้วมันทำไมหรือ? ข้าทำการบ้านเสร็จแล้ว เรื่องที่ท่านอาจารย์สอน ข้าก็ท่องจำได้จนหมด เจ้าเล่าทำได้หรือไม่?”
สีหน้าของหนานกงฉีจวินพลันเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “ข้า…ทำไม่ได้”
หนานกงฉีเฉินเชิดคางอย่างภูมิอกภูมิใจ “เด็กไม่ตั้งใจเรียนเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาว่าข้าหรอกนะ!”
หนานกงฉีจวินที่การเรียนไม่ได้เรื่องจึงตอบโต้อันใดพี่ชายไม่ได้ “…”
หนานกงฉีรุ่ยส่งสายตาสมน้ำหน้าให้น้องแปด คนขี้คร้านชอบหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ไม่คู่ควรให้เห็นใจสักนิด
“มาสิ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะไม่เคยอ่านนิทาน”
ดวงตาของหนานกงฉีจวินฉายแวววูบไหว หนานกงฉีรุ่ยชี้หน้าน้องชาย
“ข้าได้มาจากเขานั่นแหละ”
หึ คิดว่าข้าไม่รู้หรือไรกัน
จากนั้นพี่น้องก็นั่งขัดสมาธิล้อมวงเพื่อฟังนิทาน
หนานกงฉีเฉินเป็นผู้เสนอความคิด เขาจึงเริ่มเล่าเป็นคนแรก
“มีบัณฑิตยากไร้คนหนึ่งเดินทางไปเมืองหลวง เพื่อสอบเป็นขุนนางแล้วเกิดหลงทาง จนเผลอเข้าไปในป่า…”
ขณะที่หนานกงฉีเฉินกำลังเล่าเรื่องอยู่นั้น สามหัวที่เหลือก็ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ อันที่จริง เรื่องมีอยู่ว่าบัณฑิตยากจนหลงเข้าไปในป่าลึก จากนั้นก็พบเข้ากับกระท่อมที่ผีสาวใช้ภาพลวงตาสร้างขึ้น ยามนั้นท้องฟ้าทั้งผืนมืดสนิท บัณฑิตผู้นั้นจึงขอเข้าไปอาศัยและเกิดเป็นเรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์และผีที่แปลงกายเป็นมนุษย์
บัณฑิตผู้นั้นอาศัยที่กระท่อมของหญิงสาวอยู่หลายวัน และให้สัญญาว่าหากเขาสอบเป็นจอหงวนได้เมื่อใดก็จะกลับมาสู่ขอนาง
ผีสาวมอบทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของตนให้บัณฑิตนำติดตัว เพื่อเป็นค่าเดินทางไปยังเมืองหลวง นางเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า วันเวลาล่วงเลยเป็นสิบปี สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงแค่ชายผู้เป็นที่รักถูกเลือกให้แต่งงาน*[1]กับคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ ผีสาวออกตามหาบัณฑิตผู้นั้นด้วยจิตใจที่เคียดแค้น แต่สุดท้ายบัณฑิตก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของผีสาว เขาจึงให้นักพรตมาขับไล่วิญญาณจนดวงจิตของนางสูญสลายไป
เมื่อฟังจนจบ เด็กชายทั้งสามก็ล้อมวงด่าทออย่างดุเดือด
“บัณฑิตยากจนนั่นยังมีหน้าเอาเงินของผีสาวไปอีก ขี้ขลาดตาขาว ไอ้คนอกตัญญู!”
“รับปากแล้วแต่กลับไม่รักษาสัญญา ซ้ำยังไปแต่งงานกับหญิงอื่น ไอ้พวกไม่รู้คุณคน!”
“คนพรรค์นี้น่ะหรือที่สอบได้จอหงวน? น่าขันสิ้นดี!”
ด่าทอเสร็จ พวกเขาก็หันมาสอนเสี่ยวเป่ากันอย่างพร้อมเพรียง
หนานกงฉีเฉิน “เสี่ยวเป่า บัณฑิตยากจนน่ะไว้ใจไม่ได้ หากเจอเมื่อไหร่ต้องหนีไปให้ไกลเลยนะ”
หนานกงฉีรุ่ย “พวกผู้ชายมันเนรคุณกันทั้งนั้น วาจากลับกลอกไว้ใจไม่ได้!”
เสี่ยวเป่า “…”
ไยท่านพี่ถึงด่าตัวเองเช่นนั้นเล่า?
หนานกงฉีจวิน “เอาอย่างนี้สิ เจ้ามาฝึกวรยุทธ์กับพวกพี่ดีหรือไม่ ต่อไปหากเจอคนเช่นนี้เข้าก็ชกหน้ามันเสียเลย”
หนานกงฉีเฉินตบกะโหลกน้องแปดเข้าด้านหลังอย่างจัง “หากพูดดี ๆ ไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ปากอัปมงคลนัก น้องหญิงของเราไม่มีวันเจอคนพรรค์นั้นหรอก มิเช่นนั้น เสด็จพ่อได้ถลกหนังมันทิ้งเป็นแน่!”
พวกพี่ ๆ ของเสี่ยวเป่าพากันกลัดกลุ้มใจ แม้พวกเขาจะยังไม่ถึงวัยที่ต้องแต่งงาน แต่สตรีมักออกเรือนเร็วกว่าบุรุษ ลำพังแค่พวกเขาน่ะไม่รีบร้อน แต่พอคิดว่าหากน้องหญิงเติบโตจนถึงวัยปักปิ่นก็ต้องออกเรือนไปอยู่บ้านของชายอื่น พวกเขาก็พลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมา อยากจะกำจัดว่าที่น้องเขยที่ยังไม่ทันได้ปรากฏตัวเสียเดี๋ยวนี้เลย
เสี่ยวเป่าตั้งใจฟังและพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“อื้อ ๆ เสี่ยวเป่าเข้าใจแล้ว”
“เสี่ยวเป่าบอกพี่ซิว่านิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร”
เสี่ยวเป่าเอียงคอเล็กน้อย “พี่สาวผีตาบอด บัณฑิตคนนั้นนิสัยไม่ดีแท้ ๆ ยังสอบได้เป็นจอหงวน ฮ่องเต้คนนั้นต้องไม่ได้เป็นฮ่องเต้ที่ดีเหมือนกับท่านพ่อแน่ ๆ คุณหนูสูงศักดิ์เองก็ตาบอดเหมือนกัน”
แม้ว่าชาติก่อนเสี่ยวเป่าจะไม่ได้ศึกษาเรื่องราวของมนุษย์อย่างจริงจัง แต่นั่นเป็นยุคที่หลายสิ่งหลายอย่างอุบัติขึ้น เสี่ยวเป่าได้เห็นอะไรมามากมายยามที่ท่องโลกมนุษย์ นางจึงมีมุมมองต่อเรื่องต่าง ๆ ในทางที่ถูกที่ควร
“บัณฑิตยากจนหวังจะตกถังข้าวสาร ชายหงส์*[2]กินข้าวนิ่ม*[3] คนเฮงซวย!”
พี่ชายทั้งสามมองน้องสาวของตนอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้จะฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอจะฟังออกอยู่บ้างว่าเป็นคำด่า
“หวังตกถังข้าวสารน่ะข้าเข้าใจ แต่ชายหงส์ กินข้าวนิ่ม กับเฮงซวยมันแปลว่าอะไรหรือ?”
“แปลว่าได้สตรีคอยช่วยเหลือแต่ไม่สำนึกบุญคุณเพคะ” เสี่ยวเป่าตอบ
เอาเถิด ข้ามเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน จากนั้นหนานกงฉีรุ่ยและหนานกงฉีจวินก็เล่าเรื่องผีของตน แต่เนื้อเรื่องไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก อีกทั้งตัวละครหลักก็เป็นบัณฑิตยากไร้เหมือนกัน
บัณฑิตยากจนคงไปทำอะไรให้หนังสือนิทานไม่พอใจแน่ ๆ
“เหตุใดยังไม่กลับมาอีกนะ?”
คนทั้งสามเล่านิทานจนจบแล้ว พี่สี่พี่ห้าก็ยังไม่กลับมาจึงรู้สึกเบื่อยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้น เสี่ยวเป่าก็กระตือรือร้นยกมือขึ้น “เสี่ยวเป่า ๆ เสี่ยวเป่าก็อยากเล่าด้วย!”
“เสี่ยวเป่าก็อ่านนิทานด้วยหรือ? รู้จักตัวอักษรครบทุกตัวหรือยังเถอะ?”
เด็กน้อยทำปากพึมพำว่า “อย่ามาดูถูกเสี่ยวเป่านะ!”
“ก็ได้ ๆ ให้เจ้าเล่าด้วย”
เสี่ยวเป่านั่งตัวตรง เริ่มเล่านิทานด้วยใบหน้าลึกลับ เพียงแต่น้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลชวนให้สบายหูมากกว่า
“ชายตัดฟืนคนหนึ่งขึ้นเขาเพื่อไปตัดฟืนแล้วเกิดสลบไป กว่าจะได้สติก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว เขาเดินกลับบ้านด้วยหน้าผากที่โชกเลือด แต่กลับพบว่าตนเองหลงทาง จากนั้นก็พบกับคนสวมชุดแดงที่ผ่านมา
จึงเข้าไปถามทาง คนผ่านทางก็พูดขึ้นว่า “ยามนี้มืดค่ำแล้ว เจ้ากลับไปพักที่บ้านข้าก่อนเถิด” คนตัดฟืนตอบตกลงโดยไม่ได้คิดอะไร จากนั้นเขาก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ คนตัดฟืนรู้สึกหนาวขึ้นทุกที จึงเอ่ยถามว่าบ้านของเขาอยู่อีกไกลหรือไม่ จู่ ๆ คนผู้นั้นก็หยุดเดิน และชี้ไปที่สุสานข้างหน้าพร้อมกับพูดเสียงแผ่วเบาว่า ‘ถึงบ้านข้าแล้ว’ คนชุดแดงไม่ได้ขยับตัว เพียงแต่หมุนหัวมาข้างหลังขณะที่พูดไปด้วย…”
แม้น้ำเสียงของเสี่ยวเป่าจะฟังดูนุ่มนวล แต่นางเก่งเรื่องการสร้างอารมณ์ร่วมทีเดียว เมื่อเสี่ยวเป่าเล่ามาถึงตอนที่ผีชุดแดงชี้นิ้วไปที่สุสานแล้วพูดว่า ‘ถึงบ้านข้าแล้ว’ นั้นเอง พี่ชายตรงหน้าทั้งสามก็สวมกอดกันแน่นด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
ให้ตายสิ เรื่องผีเช่นนี้ก็มีด้วย!
เมื่อเล่าถึงฉากผีหมุนหัวมาด้านหลัง ก็หาได้มีเพียงเด็กชายทั้งสามที่ตกใจกลัวไม่ แม้แต่องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้คอยอารักขาองค์หญิงและองค์ชายได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ไม่ต่างกัน
พวกเขาลอบกลืนน้ำลาย สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นแต่ไม่กล้าพูดอะไร
เสี่ยวเป่ายังคงเล่าต่อไป “คนตัดฟืนวิ่งหนีผีชุดแดงอยู่นาน ในตอนที่คิดว่าหนีพ้นแล้วนั้น จู่ ๆ ก็มีมือเย็นเฉียบยื่นออกมาจากความมืดมิด แตะลงบนไหล่ของเขา…”
ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็จับไหล่ของหนานกงฉีเฉินเข้าพอดิบพอดี
“อ๊ากกกกก ผีหลอก!!!!”
“ซวยแล้ว อ๊ากกกก!!!”
“ผีหลอก!!!!”
เสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอยู่ชั่วขณะ หากไม่ใช่เพราะว่าองครักษ์เงาถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ก็คงจะตกใจกลัวจนเผ่นหนีไปแล้ว
หนานกงฉีหลิงที่แตะไหล่น้องชาย ได้แต่มองพวกเขาสามคนกำลังกรีดร้อง “…”
เป็นอะไรไปนั่น?
เด็กหนุ่มมองมือของตนเองด้วยสีหน้างุนงง
“พวกเจ้าทำอันใดกันอยู่?”
คนทั้งสามที่บัดนี้กอดรัดกันแน่น น้องแปดถึงขั้นกระโดดขึ้นไปเกาะร่างของพี่เจ็ด ใบหน้าของหนุ่มน้อยทั้งสามเต็มไปด้วยความหวาดผวา
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ทำอะไรไม่ถูก บรรยากาศเงียบเชียบเสียจนแทบได้ยินเสียงร้องของอีกาที่บินผ่าน
“พี่ห้า ท่านทำข้าตกอกตกใจหมดเลย!” เพราะเป็นคนที่ถูกจับไหล่ ตอนนี้หนานกงฉีเฉินจึงยังคงสั่นสะท้านไปทั้งตัว
[1] ถูกเลือกให้แต่งงาน (榜下捉婿) เป็นวัฒนธรรมการแต่งงานสมัยซ่ง โดยจะมีขึ้นในวันที่ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อ (进士) ตระกูลผู้ดีจากทั่วทุกหนแห่งจะทำการเลือกลูกเขยที่ดีที่สุดให้แก่บุตรสาวของตน
[2] ชายหงส์ (凤凰男) หมายถึง ผู้ชายที่มาจากชนบท ลำบากตรากตรำเล่าเรียนหนังสือ และมาทำงานในเมืองจนได้ดิบได้ดี
[3] กินข้าวนิ่ม (吃软饭) หมายถึง ผู้ชายที่ไม่ทำงาน วัน ๆ เอาแต่เกาะผู้หญิงกิน