เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 194 เสื้อขนสัตว์
บทที่ 194 เสื้อขนสัตว์
บทที่ 194 เสื้อขนสัตว์
เสี่ยวเป่าบอกให้นางกำนัลนำเสื้อขนสัตว์ไปให้พี่ชาย
“ท่านพี่ดูสิ เสื้อขนสัตว์” เจ้าตัวน้อยหยิบเสื้อขนสัตว์ขึ้นมา ดวงตากลมโตทอประกายราวกับกำลังพูดว่า ‘รีบชมเสี่ยวเป่าเร็วเข้า’
หนานกงฉีซิวลูบหัวน้องสาวเหมือนกับลูบแมวน้อย นางดุนศีรษะเล็ก ๆ อย่างได้คืบจะเอาศอก พลางคลานขึ้นบนตักของพี่ใหญ่แล้วส่งเสียงออดอ้อน ขาดก็แต่ส่ายหางไปมาเท่านั้น
“เสี่ยวเป่าเก่งมาก”
เจ้าตัวน้อยได้รับคำชมก็ดีใจจนแทบตัวลอย
“ใช่หรือไม่ ๆ เสี่ยวเป่าก็คิดว่าตัวเองเก่งมากเหมือนกัน เพราะว่าเสี่ยวเป่ามีท่านพ่อที่เก่งกาจที่สุดในโลก แล้วก็มีพวกพี่ชายที่เก่งมาก ๆ ด้วย”
เจ้าตัวเล็กพูดจ้อไม่หยุด จะเยินยอตัวเองก็ไม่ลืมที่จะดึงท่านพ่อและพี่ ๆ มาชื่นชมด้วย
หนานกงฉีซิวพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเสี่ยวเป่าวางเสื้อขนสัตว์ลงบนมือ เขาจึงเริ่มสำรวจมันอย่างละเอียด
เนื่องจากเป็นตัวแรก เลยใช้การถักเพียงรูปแบบเดียวเพื่อความปลอดภัย เสื้อขนสัตว์ตัวนี้จึงดูธรรมดา แต่สีขาวปลอดราวก้อนเมฆกลับทำให้เสื้อตัวนี้ดูดียิ่ง อีกทั้งเอาไว้สวมใส่ด้านในยามเข้าฤดูหนาว จึงไม่จำเป็นต้องสีฉูดฉาดมากมาย
หนานกงฉีซิวลูบไล้เสื้อขนสัตว์ที่พาดอยู่บนตักของตน เพียงแค่สัมผัสก็รับรู้ได้ว่าหากสวมใส่ในฤดูหนาวจะต้องอุ่นสบายมากแน่ ๆ
“มันทำจากขนแกะหรือ?”
ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ หากเสี่ยวเป่าไม่บอก ตนคงทายไม่ถูกเป็นแน่
ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นของที่ทำจากขนแกะมาก่อน แต่ก็เป็นเพียงพรมและข้าวของอื่น ๆ
เนื่องด้วยราคาที่ไม่แพง จึงใช้กันอย่างแพร่หลายในครอบครัวฐานะปานกลางที่ไม่ได้จัดว่าร่ำรวยมาก
แต่พวกเขาชาวจงหยวนมิค่อยได้ใช้สิ่งทอจากขนแกะเท่าใดนัก
ส่วนพวกเศรษฐีก็จะใช้เครื่องนุ่งห่มที่ทำจากสัตว์ป่าจริง ๆ
แต่เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า ขนแกะจะสามารถนำมาถักทอขึ้นเป็นเสื้อที่นุ่มสบายเช่นนี้ หนานกงฉีซิวเล็งเห็นความสำคัญของมันได้ในทันที
ขนแกะราคาไม่แพง หากว่าทำเสื้อขนแกะเช่นนี้เป็นจำนวนมาก ๆ เมื่อฤดูหนาวมาถึงเหล่าทหารและพวกชาวบ้านที่อยู่เมืองหน้าด่านต้องการมันมากที่สุด
เสี่ยวเป่าลูบเสื้อขนสัตว์ตัวนั้นพลางพึมพำ “พี่รองต้องกลับไปชายแดนอีกหรือไม่? หากไปก็ต้องทำเพิ่มอีก”
เสี่ยวเป่าไม่ได้คิดอะไรมากมาย ตอนที่ทำของพวกนี้นางคิดเพียงแค่ว่าอยากทำมันให้กับพี่ชาย เพราะนางได้ยินท่านพ่อบอกว่าฤดูหนาวของเมืองหน้าด่านนั้นหนาวเย็นมาก อีกทั้งพี่รองก็ส่งแกะมาให้สองตัวพอดิบพอดี เสี่ยวเป่าจึงใช้ประโยชน์จากพวกมันทันที ด้วยความคิดที่ว่าพี่ชายจะไม่ต้องทรมานเมื่อเข้าฤดูหนาว
แม้แต่การปลูกพืชพวกนั้นก็ล้วนแต่เป็นเพียงความชอบด้วยในฐานะที่นางเป็นภูตพฤกษา แต่ไม่ได้คาดคิดว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนจะทำให้ทั้งราชวงศ์ต้าเซี่ยต้องตกตะลึง
แววตาอ่อนโยนของหนานกงฉีซิวมองไปที่น้องสาวตัวน้อย “เสี่ยวเป่า เจ้าเป็นดาวนำโชคตัวน้อยของต้าเซี่ยจริง ๆ”
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้น ใบหน้ากลมฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวที่ตัดกับริมฝีปากแดงระเรื่อ
“ดาวนำโชคตัวน้อยทำให้ท่านพ่อกับท่านพี่มีความสุขหรือไม่”
“แน่นอน” น้ำเสียงของหนานกงฉีซิวอ่อนโยนทว่าหนักแน่น
เสี่ยวเป่ายิ้มสดใสอย่างมีความสุข “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะเป็นดาวนำโชคดวงใหญ่ ให้ท่านพ่อกับท่านพี่มีความสุขมากกว่าเดิม!”
สายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มราวกับลมวสันตฤดูของหนานกงฉีซิวจ้องมองนางอย่างเอ็นดู
“อื้ม”
จากนั้นชายหนุ่มก็กวักมือเรียกราชองครักษ์
“เจ้าไปลองเสื้อขนสัตว์ตัวนี้ที”
เวลานี้ล่วงเลยเข้าสารทฤดู อากาศประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว ส่วนวันนี้อากาศอบอุ่นสบายทีเดียว
ไม่นานนัก ราชองครักษ์ก็เดินออกมาจากห้อง เขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อขนสัตว์ ทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าวไปทั้งตัว
“องค์ชาย เสื้อตัวนี้ให้ความอบอุ่นได้ดีจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กระหม่อมรู้สึกร้อนมาก อีกทั้งเสื้อขนสัตว์ตัวนี้สวมแล้วเบาสบาย เนื้อผ้าดีกว่าที่กระหม่อมเคยซื้อมากนัก!”
แม้จะรู้สึกร้อน แต่พอคิดว่าหากถึงฤดูหนาวแล้วได้สวมเสื้อตัวนี้ ก็จะไม่ต้องทนหนาวอีกต่อไป ดวงตาขององครักษ์ก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
สำหรับคนธรรมดาแล้ว ฤดูหนาวนั้นโหดร้ายที่สุด
ต่อให้ฤดูร้อนอากาศจะร้อนระอุเพียงใดก็ไม่ทำให้ร้อนจนถึงตาย แต่กับฤดูหนาวนั้นต่างออกไป เพราะมันทำให้คนหนาวตายได้เลย
หากได้เสื้อตัวนี้มา ก็จะไม่หนาวแม้ยามที่อยู่ข้างนอก
หนานกงฉีซิวพยักหน้า องครักษ์ก็กลับเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้วส่งคืนให้อย่างอาลัยอาวรณ์
“ไปพบเสด็จพ่อกันเถอะ”
เมื่อได้ยินว่าจะไปพบท่านพ่อ ดวงตาคู่งามก็ทอประกายสดใสทันที
“ไป ๆ เสี่ยวเป่าก็อยากเจอท่านพ่อเหมือนกัน”
เจ้าตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างเบิกบานใจขณะเดินไปกับพี่ใหญ่ แต่เมื่อองครักษ์ที่ติดตามหนานกงฉีซิวเห็นรังผึ้งขนาดใหญ่ห้อยติดอยู่กับต้นไม้ที่ห่างออกไป ก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้
องค์หญิงเป็นเทพเซียนหรืออย่างไรนะ ถึงได้เลี้ยงรังผึ้งใหญ่โตเช่นนี้ไว้ในวัง
ยามนี้หนานกงสือเยวียนมิได้ประทับอยู่ที่ตำหนักฉินเจิ้ง แต่เพิ่งเดินทางกลับจากลานประลองยุทธ์ที่ค่ายทางตะวันตกเฉียงเหนือ
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่ารอท่านพ่อตั้งนานเพคะ”
เสี่ยวเป่านั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าทางเข้าตำหนักฉินเจิ้ง เมื่อเห็นท่านพ่อกลับมา ก็วางหนังสือในมือลงแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“รอนานแล้วหรือไม่?”
หนานกงสือเยวียนอุ้มบุตรสาวตัวน้อยที่นับวันยิ่งหนักขึ้นทุกที
เสี่ยวเป่าซุกหน้าลงบนลาดไหล่ของเขาพลางบ่นพึมพำ
“มันเทศกินได้ตั้งนานแล้วนะเพคะ เสี่ยวเป่ากับพี่ใหญ่กินไปคนละหัว หวาน ๆ เหนียว ๆ อร่อยมาก แต่อิ่มแปล้เลย เหตุใดท้องของเสี่ยวเป่าถึงเล็กเช่นนี้นะ หากเสี่ยวเป่าท้องใหญ่เหมือนท่านพ่อ คงจะกินของอร่อยได้เยอะแยะแน่ ๆ เลย”
แม้ท่านพ่อของนางจะสงวนท่าทีเวลาเสวย แต่เขาก็ทานได้มากโขเชียว
หนานกงสือเยวียนบีบแก้มเล็ก ๆ ของนาง “เดี๋ยวเจ้าก็โต”
“แล้วเมื่อไหร่เสี่ยวเป่าจะโต?”
“สักสิบปีกระมัง”
สองพ่อลูกเดินไปพลางคุยไปพลาง บ่าวรับใช้ที่เดินตามอยู่ด้านหลังต่างเงียบสงบอย่างรู้งาน
“เสด็จพ่อ”
หนานกงฉีซิวถูกเข็นเข้ามาต้อนรับฮ่องเต้
หนานกงสือเยวียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ เมื่อทุกคนมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง เสี่ยวเป่าก็พูดกับท่านพ่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ ที่มุมห้อง วันพรุ่งนี้ก็ต้องท่องการบ้านที่อาจารย์ให้มาแล้ว หากวันนี้ยังจำไม่ได้ละก็ เสี่ยวเป่าต้องถูกห้ามกินขนมถึงสามวันเต็ม ๆ แน่
หลังจากเที่ยวเล่นอยู่หลายวัน เสี่ยวเป่าถึงเพิ่งคิดอ่านหนังสืออย่างเร่งรีบในชั่วลมหายใจเฮือกสุดท้าย
อาจารย์ทำเกินไปแล้ว ถึงกับรวมหัวกับท่านพ่อใช้บทลงโทษที่โหดร้ายทารุณเช่นนี้!
“ชุนสี่ รีบยกผลไม้แช่อิ่มมาเร็ว เสี่ยวเป่ากลัวว่าพรุ่งนี้จะอดกินของว่างไปสามวัน”
ก่อนจะถึงตอนนั้น นางจะกินให้เยอะ ๆ เลย!
หนานกงสือเยวียนไม่สนใจความคิดเจ้าเล่ห์ของใครบางคน เขากำลังคุยธุระอยู่กับหนานกงฉีซิว
เรื่องแรกคือมันเทศ
ด้วยเป็นอาหาร มันเทศที่เสี่ยวเป่าปลูกจึงมีความสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากที่ทานมันเทศเผา มันเทศต้ม และโจ๊กมันเทศจนหมด ความรู้สึกอิ่มท้องก็มิอาจโกหกได้
มันเทศมีรสหวาน ไม่ว่าจะนำไปทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น
หากว่ามีเจ้าสิ่งนี้ตอนที่เขายังอยู่ในกองทัพ ก็คงไม่ต้องลำบากลำบนทำไร่นาเลี้ยงดูกองทัพแล้ว
“ลูกถามเสี่ยวเป่าแล้ว มันเทศนั้นปลูกง่ายมาก ทั้งยังเหมาะกับพื้นที่ที่เป็นดินทราย แต่ว่าต้องการปุ๋ยเพื่อให้เติบโตได้ดี มันเทศหนึ่งเมล็ดสามารถงอกได้ไม่ต่ำกว่าห้าสิบเถา หนึ่งเถามีมันเทศขนาดเท่าฝ่ามือของคนโตเต็มวัยไม่ต่ำกว่าสิบหัว หากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันเทศหนึ่งหมู่ก็จะให้ผลผลิตมากกว่าพืชพันธุ์ใด ๆ ที่มีอยู่ในตอนนี้ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ…”
หนานกงฉีซิวคู่ควรสมเป็นองค์ชายใหญ่ที่ฉายแววตั้งแต่ยังเยาว์ เขาทูลรายงานเสด็จพ่อของตนได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
หนานกงสือเยวียนหยิบมันเทศขึ้นมา แม้แต่ตัวเขาที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ยังปรากฏประกายตื่นเต้นขึ้นในดวงตา
ไม่ว่ายุคสมัยใด อาหารก็เป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิต
“เสี่ยวเป่าปลูกไว้เท่าใด”
หนานกงฉีซิว “จากที่มองดู ประมาณหนึ่งหมู่พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนโบกมือเป็นการตัดสินใจอนาคตของมันเทศหนึ่งหมู่
“เก็บเกี่ยวให้หมดเพื่อนำมาเป็นเสบียง”
เมื่อพูดคุยธุระเรื่องมันเทศเสร็จสิ้น หนานกงฉีซิวก็หยิบเสื้อขนสัตว์ขึ้นมา
“นี่เป็นเสื้อขนสัตว์ที่เสี่ยวเป่าใช้ขนแกะถักขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่หนานกงสือเยวียนกำลังพินิจเสื้อขนสัตว์นุ่มนิ่มในมือ หนานกงฉีซิวก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงประโยชน์ของมันยามที่ให้องครักษ์ทดลองสวมใส่
“ขนแกะมีราคาถูก แต่ว่าต้าเซี่ยของเรากลับเลี้ยงแกะพวกนั้นไว้เพียงน้อยนิด หากอยากผลิตเป็นจำนวนมาก เกรงว่าคงต้องขอซื้อจากชนเผ่าทุ่งหญ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ชนเผ่าทุ่งหญ้าเชี่ยวชาญการทำปศุสัตว์ อีกทั้งเลี้ยงวัวและแกะมากมาย แต่ส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เพื่อบริโภคเนื้อ
ขนแกะนั้นขายไม่ได้ราคา นอกจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ใช้ทำพรมแล้ว ส่วนที่เหลือล้วนถูกทิ้งขว้างโดยเปล่าประโยชน์
บัดนี้ พวกเขาได้รู้แล้วว่าขนแกะมีประโยชน์เพียงใด หากสามารถหาซื้อได้เป็นปริมาณมากก็คงจะดีไม่น้อย
หนานกงสือเยวียน “ข้าจะให้คนปลอมตัวเป็นพ่อค้าเพื่อไปขอซื้อขนแกะจากเผ่าทุ่งหญ้า”
หากสามารถซื้อแกะพวกนั้นกลับมาเลี้ยงที่จงหยวนได้ การมีขนแกะเป็นของตัวเองย่อมดีกว่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต้องไปซื้อไกลถึงเผ่าทุ่งหญ้า
แต่หนานกงฉีซิวมีความเห็นต่างออกไป “เสด็จพ่อ บางทีเราน่าจะมอบหมายเรื่องนี้ให้ผู้อื่นเป็นคนทำ ท่านมีราชกิจมากมายที่ต้องดูแล คงไม่มีเวลาจัดการเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าเห็นว่าสมควรส่งมอบหน้าที่รับซื้อขนแกะและผลิตเสื้อขนสัตว์ ท่านเพียงแค่รอรับผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง และคอยควบคุมราคาของเสื้อ
ขนสัตว์เพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งเกินราคาในอนาคตพ่ะย่ะค่ะ”
บัดนี้ สองพ่อลูกต่างก็คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นอันดับแรก การซื้อขนแกะในปริมาณมากเพื่อนำมาถักทอเป็นเสื้อ ล้วนแล้วแต่เพื่อให้ราษฎรได้มีสวมใส่ยามต้องเผชิญกับฤดูหนาวอันโหดร้าย
หนานกงสือเยวียนในฐานะฮ่องเต้ มีเรื่องสำคัญในอาณาจักรมากมายให้ต้องดูแลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แน่นอนว่าคงไม่สามารถลงมาจัดการเรื่องเสื้อขนสัตว์ได้ด้วยตัวเอง เป็นการดีกว่าที่จะร่วมมือกับภายนอก แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง จะปล่อยให้ตั้งราคาเสื้อขนสัตว์ตามใจชอบไม่ได้ หนานกงสือเยวียนจึงต้องควบคุมราคาของมัน
ฮ่องเต้ที่ไม่รู้เรื่องการค้ามากนัก ทั้งยังเหนื่อยล้าพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนั้นก็ได้”
แต่ปัญหาก็คือจะร่วมมือกับผู้ใดล่ะ
หลังจากหารือจบ สองพ่อลูกก็นั่งจ้องหน้ากันอย่างไม่รู้จะพูดอันใดดี
หนานกงสือเยวียนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไปเล่นเป็นเพื่อนเสี่ยวเป่าเถิด”
หนานกงฉีซิวนิ่งสงบดังเดิม “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายไปทำเรื่องของตน แต่บรรยากาศก็ยังให้ความรู้สึกอบอุ่น
ตกกลางคืน องครักษ์เงาคนหนึ่งปรากฏตัวที่ตำหนักฉินเจิ้งอย่างเงียบเชียบ เพื่อรายงานเรื่องของ
จวนเซวียนผิงโหว
“หมัวมัวที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายองค์หญิงไท่จ่างเกือบถูกเซวียนผิงโหวฆ่าปิดปากแต่ถูกช่วยไว้ได้ทัน หลังจากอี๋เหนียงเหนียงกลับไปก็ได้โต้เถียงกับเซวียนผิงโหวจนเกือบลงไม้ลงมือ ส่วนหลี่ฮ่าวฉุน คุณชายของจวนเซวียนผิงโหววันนี้พบว่าตนเอง…ใช้การไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของหนานกงสือเยวียนกระตุกไปวูบหนึ่ง
“ผู้ใดเป็นคนทำ?”
องครักษ์เงาก้มหน้าอย่างละอายใจ “องค์หญิงเป็นผู้แนะนำให้หมอปีศาจทำพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียน “…”
เหตุใดตาถึงได้กระตุกนะ
เสี่ยวเป่ายังเล็ก ทั้งยังไม่รู้ความอันใด จะมีความผิดได้เช่นไรกัน?
นี่ต้องเป็นความผิดของหมอปีศาจ วัน ๆ เอาแต่สอนเสี่ยวเป่าเรื่องไม่เป็นเรื่อง!
เจี่ยเจิน: เจ้าดูหม้อใบนี้สิ ทั้งดำทั้งใหญ่เชียวนะ*[1]!
วันรุ่งขึ้นเสี่ยวเป่าถูกอาจารย์สุ่มตรวจแล้วพบว่า ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายไม่เสร็จ ดวงหน้าเล็กที่ดูน่าสงสารถูกลงโทษให้งดกินของว่างเป็นเวลาสามวัน
เสี่ยวเป่าจอมตะกละร้องไห้งอแง
เจี่ยเจินไม่เพียงไร้ซึ่งความเห็นใจแต่กลับดีใจเสียอย่างนั้น
“อะแฮ่ม! ผู้ใดใช้ให้เจ้าท่องหนังสือเอาสองวันสุดท้ายกันล่ะ!”
เสี่ยวเป่า “สามวันมันนานเกินไป ท่านอาจารย์ลดเหลือหนึ่ง…ครึ่งวันได้หรือไม่”
เสี่ยวเป่าผู้น่าสงสารพูดว่าครึ่งวันแทนที่จะเป็นหนึ่งวัน
เจี่ยเจินลูบหัวน้อย ๆ ของนาง “จิ๊ ๆ ช่างน่าสงสารจริง ๆ”
เสี่ยวเป่ามองอาจารย์อย่างมีความหวัง ทว่าสิ่งที่ได้ยินกลับมีแต่คำพูดโหดร้าย
“ไม่ได้ ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว!”
เสี่ยวเป่า “◡ヽ(`Д´)ノ┻━┻”
นางเดินตามอาจารย์พลางกะพริบตาปริบ ๆ “วันเดียว แค่วันเดียวได้หรือไม่ท่านอาจารย์”
“กฎต้องเป็นกฎ”
“จากนี้ไป ข้าสัญญาว่าจะตั้งใจท่องหนังสือ”
“พูดปากเปล่าจะมีประโยชน์อันใดกัน? เจ้าต้องลงมือทำด้วยสิ”
“เสี่ยวเป่ายังเด็ก เด็กชอบเที่ยวเล่นก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ!”
อาจารย์ลูกศิษย์โต้เถียงกันยกใหญ่ ท้ายที่สุดจำนวนวันที่เสี่ยวเป่าถูกลงโทษก็ไม่ลดแม้แต่น้อย
เด็กเล็กกระฟัดกระเฟียด ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์งีบหลับกลางวัน แอบใช้พู่กันขีดเขียนใบหน้าของเขา
เจี่ยเจินไปจับชีพจรให้หนานกงสือเยวียนด้วยใบหน้าเปรอะเปื้อน
ตลอดทางก็รู้สึกถึงสายตาของเหล่านางกำนัลและขันทีมองมาที่ตนอย่างแปลกพิกล หรือว่าตัวเขาจะหล่อเหลาเกินไป?
[1] มาจากสำนวน แบกหม้อดำ (背黑锅) หมายถึง ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ต้องมารับผิดแทนคนอื่น