เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 199 ความลับในมุมมืด
บทที่ 199 ความลับในมุมมืด
บทที่ 199 ความลับในมุมมืด
เสี่ยวเป่าจูงมือพี่รองพลางมองท่าทางสับสนของเขาด้วยสีหน้างุนงง
“พี่รอง พวกเรารีบไปกันเถิดเพคะ”
หนานกงฉีโม่ “อะ อืม ไปกัน”
เท้าที่กำลังเหยียบลงบนบันไดหินหยุดชะงัก สายตาสบเข้ากับผู้ที่เพิ่งออกมา
หนานกงฉีโม่เปลี่ยนไปมาก แต่หนานกงฉีซิวเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เขายังเหมือนเดิมมิแปรเปลี่ยน ชายหนุ่มรูปงาม หน้าตาเกลี้ยงเกลา ให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวสายลมในวสันตฤดู แต่ใบหน้ากลับผ่อนคลายยิ่งกว่า
“พี่…พี่ใหญ่”
สายตาของหนานกงฉีโม่มองไปที่ขาของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ยังคงนั่งรถเข็น ประกายความผิดหวังและเสียใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตา
“กลับมาแล้วหรือ”
น้ำเสียงของหนานกงฉีซิวฟังดูอบอุ่น ไร้ซึ่งความห่างเหินตลอดหลายเดือนที่ไม่ได้พบหน้ากัน
“พี่ใหญ่”
เสี่ยวเป่าปล่อยมือของพี่รองและกระโดดโลดเต้นเข้าไปหาหนานกงฉีซิวราวกับกระต่ายน้อย
“พี่รองรีบมาเร็วเข้า”
หนานกงฉีโม่ยกมือขึ้นเกาจมูกพลางส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็เดินเข้าไป
ขณะจ้องไปที่ขาทั้งสองข้างของพี่ใหญ่เขาก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา แววตาพลันหม่นหมองลงอีกครั้ง มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น สูดลมหายใจเข้าแล้วก้าวเดินต่อ
“พี่ใหญ่”
เมื่อเดินไปถึงเจ้าตัว ดวงตาของหนานกงฉีโม่ก็ฉายความรู้สึกที่ซับซ้อน
“ขาของท่าน…”
เขาได้รับจดหมายจากเสี่ยวเป่าและจดหมายที่พี่ใหญ่เขียนหาด้วยตนเอง เนื้อความในจดหมายบอกว่าขาของเขานั้นมีทางรักษา และตัวเขาก็มีความหวังที่จะยืนได้อีกครั้ง เพียงแต่หนานกงฉีโม่ไม่มีโอกาสได้เห็นกับตา บัดนี้เห็นพี่ใหญ่ยังคงนั่งอยู่บนรถเข็น ในใจของเขาพลันรู้สึกเจ็บแปลบ
“มานี่สิ”
หนานกงฉีซิวไม่ได้ให้คำตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ เพียงกวักมือเรียกให้เดินไปหา
เมื่อหนานกงฉีโม่เดินเข้ามา หนานกงฉีซิวก็ยื่นฝ่ามือที่มองเห็นข้อต่อชัดเจนไปให้
“เจ้าช่วยพยุงข้าเดินได้หรือไม่?”
หนานกงฉีโม่เอื้อมแขนไปคว้ามือข้างนั้น จากนั้นท่ามกลางหัวใจที่กำลังเต้นระรัว เขานิ่งอึ้งมองดูพี่ใหญ่ของตนลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ
แม้ว่ามันจะช้า แต่สำหรับหนานกงฉีโม่ นี่ราวกับลูกระเบิดที่กำลังปะทุ
“ทะ ท่าน…”
หนานกงฉีซิวเกาะแขนของเขาแล้วเดินต่อไปอีกสองก้าว หนานกงฉีโม่รีบช่วยประคอง ในใจรู้สึกตื่นเต้นปนเหลือเชื่อ จ้องขาทั้งสองข้างของพี่ใหญ่ตาไม่กะพริบตา เขาเดินได้แล้ว เดินได้แล้วจริง ๆ!
มือที่กำลังประคองพี่ใหญ่สั่นเทาไม่หยุด
“พี่ใหญ่”
เสียงของหนานกงฉีโม่สะอื้นสั่นเครือ ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ
หนานกงฉีซิวตบไหล่ของเขาเบา ๆ “ถึงแม้ตอนนี้จะยังยืนและเดินนาน ๆ ไม่ได้ แต่เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้ว”
“ไม่ได้!”
แววตาหนานกงฉีโม่สั่นไหว “จะพอได้อย่างไร เมื่อก่อนท่านสามารถแบกข้าเดินไปไหนต่อไหน ปีนกำแพงพาข้ามองดูทิวทัศน์นอกพระราชวัง พาข้าเล่นชู่จวี*[1] ทั้งยังพาข้าขี่ม้าออกไปท่องพเนจร ข้าหวัง…ข้าหวังให้ท่านเล่นชู่จวีกับข้า ขี่ม้าเป็นเพื่อนข้าอีกครั้ง”
เขาบีบมือหนานกงฉีซิวแน่น หยาดน้ำตาร่วงแหมะลงบนหลังมือของเขา ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด
“เป็นความผิดของข้าเอง”
หนานกงฉีซิวตบที่มือของเขาเบา ๆ “เจ้าไม่ได้ทำอันใดผิดต่อข้า”
“ไม่หรอก”
ดวงตาของหนานกงฉีโม่แดงก่ำ “ข้าผิดที่ข้ายังอยู่ หากไม่ใช่เพราะข้า เสด็จแม่ก็คง…”
“อาโม่!”
หนานกงฉีซิวตัดบทเขา ทุกคนในที่นั้นต่างพากันเร่งรีบถอยออกไป
“เสี่ยวเป่า เจ้าไปเล่นกับโร่วโร่วก่อนนะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้จะไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่รองคุยอะไรกัน แต่เจ้าตัวเล็กก็ออกไปอย่างรู้ความ
เมื่อทุกคนออกไปจนหมด ทันใดนั้น หนานกงฉีโม่ก็ย่อตัวลงและร้องไห้ราวกับเด็กน้อย
วันนี้เขาตั้งใจว่า จะเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในใจของตนเองมาเนิ่นนาน ต่อให้จะต้องถูกรังเกียจก็ตาม
“ข้าขอโทษพี่ใหญ่ ทั้งหมดเป็นเพราะข้า เสด็จแม่ข้าเป็นคนทำลายขาของท่าน”
มือของเขากำราวจับรถเข็นแน่น เส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้นดูน่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด
หนานกงฉีโม่ไม่มีวันลืม วันที่เขาได้ยินข่าวร้ายว่าพี่ใหญ่ถูกทำร้ายจนขาทั้งสองข้างพิการ เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินและเร่งรุดไปหาพี่ใหญ่ ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เลือดไหลอาบทั่วทั้งตัวจนเกือบจะโปร่งแสงและหายวับไปได้ทุกเมื่อ
ตัวเขาในตอนนั้นแทบเสียสติ และเมื่อสืบรู้ ‘ฆาตกรตัวจริง’ เขาก็คว้าแส้หวดม้า จากนั้นก็บุกเข้าไปในตำหนักของสนมผู้นั้นโดยไม่สนสิ่งใดและเฆี่ยนตีจนนางแทบสิ้นใจ
วันนั้นเป็นวันฝนตก ไม่มีผู้ใดขวางหนานกงฉีโม่ที่กำลังบ้าคลั่งได้ โลหิตของพระสนมอันเฟยย้อมน้ำฝนที่นองอยู่บนพื้นจนเป็นสีแดงฉาน นางร่ำไห้ร้องขอชีวิตด้วยความเจ็บปวด แต่หนานกงฉีโม่ที่กำลังบันดาลโทสะหวังเพียงให้นางตายเท่านั้น
แต่ท้ายที่สุด อันเฟยก็หัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ
“เจ้าคงคิดว่าเจ้ากำลังแก้แค้นให้องค์ชายใหญ่สินะ ช่างน่าขันสิ้นดี หากเจ้าอยากแก้แค้นให้เขาจริง ๆ เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าตัวตายเสียเลยสิ!”
อันเฟยแผดเสียงราวกับปีศาจร้ายจากขุมนรก
แม้ว่าหนานกงฉีโม่ในวัยเยาว์จะไม่เข้าใจความหมายในประโยคนั้น แต่ความรู้สึกเย็นยะเยือกกลับผุดขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาอยากถามอันเฟยว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ถูกอี๋เฟยลากตัวออกไปก่อน
เมื่อกลับมาถึงตำหนักหย่งอัน เขาก็ถูกลงโทษด้วย ‘กฎประจำตระกูล’ แผ่นหลังอาบไปด้วยเลือดจนมองเห็นเนื้อหนัง
ทว่าหนานกงฉีโม่ไม่ร้องออกมาแม้แต่คำเดียว เมื่อการลงโทษสิ้นสุดลง สิ่งแรกที่เขาทำคือไปดูอาการของพี่ใหญ่ แต่กลับถูกสั่งกักบริเวณไม่ให้ไปไหน
หนานกงฉีโม่ที่ยามนั้นถูกโบยไม่ร้องสักแอะ บัดนี้คุกเข่าอ้อนวอนอี๋เฟยขอไปเยี่ยมพี่ชาย แต่สุดท้ายก็ถูกคุมตัวและสั่งห้ามไม่ให้ไปที่ใดทั้งนั้น
หนานกงฉีโม่ตัวเปียกฝนทั้งยังถูกเฆี่ยนตี เป็นไข้สูงจนไม่ได้สติ ทว่าก็ยังฝืนร่างกายและแอบหนีออกไปในคืนนั้น แต่ดันไปได้ยินบทสนทนาระหว่างเสด็จแม่กับองครักษ์เงาของจวนเซวียนผิงโหวเข้าพอดี
และด้วยบทสนทนาของพวกเขา หนานกงฉีโม่ก็ได้รู้ความจริงอันน่าผิดหวัง เหตุที่พี่ใหญ่มีสภาพเช่นนี้แท้จริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับอันเฟย แต่เป็นตัวของเขาเอง
มิน่าเล่า อันเฟยถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมารดาผู้ให้กำเนิด เขากลับไม่มีความกล้าจะเฆี่ยนตีนางด้วยแส้ดังเช่นที่ทำกับอันเฟย
หัวใจของหนานกงฉีโม่แทบแหลกสลายเมื่อได้รู้ความจริง เขาเกิดคลุ้มคลั่งอีกครั้งและพุ่งเข้าไปหวังจะซักไซ้โดยไม่สนสิ่งใด เขาอยากถามว่าเหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าระหว่างเขาและพี่ใหญ่มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขายอมให้ตนเป็นคนที่ถูกทำลายขาเสียเองยังดีกว่า
แต่คำถามของเขากลับทำให้อี๋เฟยเกิดอาการร้อนตัว จากนั้นเขาก็ถูกตบเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง
“เจ้าถามข้าว่าเพราะเหตุใดหรือ ที่ข้าทำลงไปก็เพื่อตัวเจ้า!”
หลี่เซียงอี๋ตวาดเสียงลั่น จากนั้นก็สั่งให้คนจับตัวเขาเอาไว้ ทุกคำพูดราวกับมีดกรีดลงบนหัวใจซ้ำ ๆ แทงทะลุหัวใจอันบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มที่กำลังถูกแผดเผาจนเลือดไหลอาบ
“บังอาจ! เจ้าเป็นบุตรชายของข้า แต่ยามนี้กลับไต่สวนแม่ของเจ้าเพียงเพราะคนนอก! หรือเจ้าคิดจะกล่าวหาแม่ที่คลอดเจ้าออกมา ให้ฮ่องเต้ลงโทษแม่ของเจ้าอย่างนั้นหรือ!”
“เขาเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนเจ้าเป็นองค์ชายรอง ราชวงศ์ไม่เคยมีสายสัมพันธ์พี่น้อง ต่อให้ตอนนี้พวกเจ้าคือพี่น้อง แต่ในภายภาคหน้าพวกเจ้าก็คือศัตรูกัน ในฐานะองค์ชาย เจ้าไม่มีทางเลือก!”
“เจ้าเป็นโอรสของฮ่องเต้เช่นเดียวกับเขา องค์ชายใหญ่ชิงตำแหน่งนั้นได้ เหตุใดเจ้าถึงจะทำไม่ได้ อย่าลืมว่าเจ้ายังมีข้า ยังมีจวนเซวียนผิงโหว หรือเจ้าคิดจะยืนดูพวกเราถูกผู้อื่นกดขี่ข่มเหงไปชั่วชีวิตโดยไม่ทำอันใดเลย?”
“พวกเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกัน เจ้าคือบุตรชายของหลี่เซียงอี๋ เจ้าไม่มีทางเลือก เจ้ามองแม่สิ ข้าคือเสด็จแม่ของเจ้า คลอดเจ้าออกมา เลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่ ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวเจ้า ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อโตขึ้นเจ้าจะเข้าใจเอง รู้เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะยืนเฉย ๆ ดูข้าและจวนเซวียนผิงโหวตายไปเพื่อคนนอกคนเดียวงั้นหรือ?”
[1] ชู่จวี (蹴鞠) เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณ มีลักษณะการเล่นคล้ายกับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน การละเล่นชนิดนี้มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกจากบันทึกในสมัยสงครามแห่งรัฐ