เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 201 เปลี่ยนไปแล้ว
บทที่ 201 เปลี่ยนไปแล้ว
บทที่ 201 เปลี่ยนไปแล้ว
บัดนี้สองพี่น้องรูปร่างสูงเกือบจะพอ ๆ กันแล้ว เพียงแต่ชายหนุ่มที่นั่งรถเข็นมาเป็นเวลานานดูจะผอมกว่าเล็กน้อย
กล้ามเนื้อบนร่างกายหนานกงฉีโม่แข็งเป็นมัด ทั้งยังเป็นริ้วเรียบเนียน เมื่อสวมชุดขาวของพี่ใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้ความสง่าและความเย่อหยิ่งในตัวเขาน้อยลงไปเลย ทว่ายังคงเปล่งประกายเหมือนเก่า
“พี่ใหญ่ ข้าต้องไปแล้ว ข้าจะให้เสี่ยวเป่าอยู่ที่นี่กับท่านนะ”
หนานกงฉีซิวพยักหน้า “เจ้าเสร็จธุระแล้วก็กลับมาฝึกเดินเป็นเพื่อนข้าด้วยล่ะ”
หนานกงฉีโม่แย้มยิ้มคล้ายกับมีบุปผางอกงามในหฤทัย
“ตกลง!”
พอหนานกงฉีโม่ไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็พาเจ้าสุนัขสองตัวมาหาพี่ใหญ่ นางเอียงคอมองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“พี่ใหญ่ร้องไห้หรือ! เหมือนว่าพี่รองก็ร้องไห้ด้วย พวกท่านทะเลาะกันหรือ? ไม่ได้นะ พี่น้องที่ดีไม่ควรทะเลาะกันนะเพคะ”
คำพูดไร้เดียงสาของเด็กน้อยทำให้หนานกงฉีซิวถึงกับหลุดขำ ใช้นิ้วจิ้มปลายจมูกเสี่ยวเป่า
“หัวน้อย ๆ นี่วัน ๆ คิดแต่เรื่องอะไรกัน หือ”
เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ยพลางส่งเสียงอู้อี้ นางกำลังช่วยรักษาความสัมพันธ์ของพวกพี่อยู่นะ!
เมื่อหนานกงฉีโม่ออกจากจวนจิ้นอ๋อง รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปในทันที เขานั่งลงบนรถม้า แววตาสงบนิ่ง
“ไปจวนเซวียนผิงโหว”
น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาทำให้คนขับรถม้าสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าองค์ชายรองในตอนนี้น่ากลัวยิ่งนัก
ผู้ที่เดินทางมาแสดงความเสียใจที่จวนเซวียนผิงโหวไม่ได้มีมากมายนัก อย่างไรเสียก่อนที่องค์หญิงไท่จ่างจะสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้ก็ชิงชังจวนเซวียนผิงโหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แม้ว่าหลังจากองค์หญิงไท่จ่างจะจากโลกนี้ไปแล้ว ฝ่าบาทก็เพียงเสด็จมาในแบบของเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันจะครบชั่วยามก็เสด็จกลับไป จากนั้นก็ไม่เคยเสด็จมาอีกเลย
องค์หญิงไท่จ่างเป็นเสด็จอาของเขา หากว่ากันตามธรรมเนียมแล้ว การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ทว่าไม่มีผู้ใดอาจหาญพอจะเอ่ยตักเตือน
อย่างไรแล้ว เขาก็เป็นผู้ลงมือสังหารเสด็จพ่อของตัวเอง ทั้งยังตั้งพระราชสมัญญานาม*[1]อันน่ารังเกียจให้แก่เขา ภายหลังจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเสด็จสวรรคตโดยไม่รู้สึกละอายใจแต่อย่างใด
หนานกงสือเยวียนมีแต่ความอาฆาตแค้นต่อทุกคนที่อยู่เคียงข้างอดีตฮ่องเต้ ต่อผู้ใดก็ตามที่มีส่วนในการฆ่าล้างตระกูลมารดาของเขา ทันทีที่สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ เขาก็กระทำการอย่างเด็ดขาดเพื่อเสด็จแม่ของตน คืนความยุติธรรมให้กับท่านตา ทั้งยังลงมือสังหารผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฆ่าล้างตระกูลของอดีตฮองเฮาในตอนนั้นจนสิ้นซาก
เหลือก็เพียงองค์หญิงไท่จ่าง แม้เขาจะไว้ชีวิตนาง แต่จะคาดหวังให้เขามีเยื่อใยต่อองค์หญิงไท่จ่างผู้นี้ได้หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น จวนเซวียนผิงโหวก็มีส่วนทางอ้อมในการฆ่าล้างตระกูลของมารดาเขาเช่นกัน
วิธีการของหนานกงสือเยวียนหลังขึ้นเป็นฮ่องเต้นั้นโหดเหี้ยมไร้ความปรานี เขากวาดล้างราชสำนักครั้งใหญ่ ผู้คนที่ได้เห็นการกระทำของเขาไฉนเลยจะยึดหลักศีลธรรมและต่อต้านเขา เกรงว่าจะเป็นการรนหาที่ตายเสียมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ พวกคนที่ได้รู้ถึงโทสะของฮ่องเต้ก็ล้วนปฏิบัติตามครรลองของฝ่าบาท มีผู้มาแสดงความเสียใจไม่มาก บางคนถึงขนาดใช้ให้ภรรยาหรือไม่ก็บุตรของตนแวะมาเท่านั้น
องค์หญิงไท่จ่างผู้มีบารมีสูงส่งมาเกือบทั้งชีวิต บัดนี้ช่างน่าสังเวชใจยิ่งนัก
เมื่อรถม้าหรูเคลื่อนตัวมาถึง คนเฝ้าประตูก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที ทันใดนั้น ดวงตาก็เบิกกว้างเมื่อได้เห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถเป็นผู้ใด
“อะ…องค์ชายรอง ระ…รีบไปแจ้งท่านโหวว่าองค์ชายรองกลับมาแล้ว!”
คนเฝ้าประตูต่างพากันยิ้มแย้มดีใจ องค์ชายรองกลับมาแล้ว!
จวนเซวียนผิงโหวของพวกเขาในยามนี้มีแต่ความหดหู่หมองมัว นายท่านถูกฮ่องเต้ชิงชัง คนเฝ้าประตูต่ำต้อยเช่นพวกตนย่อมต้องเกรงอกเกรงใจผู้อื่น แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่วายโดนดูถูกดูแคลนต่าง ๆ นานา
บัดนี้องค์ชายรองกลับมาแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็จะหายใจได้ทั่วท้องเสียที
เมื่อเซวียนผิงโหวรู้ข่าวก็รีบร้อนพาครอบครัวออกมาต้อนรับ ครั้นเห็นชายหนุ่มยืนอยู่หน้าประตู เขาก็ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริ
“องค์ชายรอง องค์ชายรอง พระองค์กลับมาได้เสียที ยามที่เสด็จย่าของท่านจากไปเอาแต่รำพึงรำพันว่า ไม่ได้เห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้จากไปอย่างสงบ!”
พบเจอหน้าก็เริ่มใช้ไพ่อารมณ์*[2]ทันที เซวียนผิงโหวนับว่ามีความฉลาดอยู่บ้าง หากในเวลาเช่นนี้ยังเอาแต่พูดเรื่องความอยุติธรรมที่จวนเซวียนผิงโหวได้รับ เกรงว่าจะเป็นการรนหาที่เสียมากกว่า
แววตาราบเรียบของหนานกงฉีโม่ทอดมองพวกคนที่ประจบสอพลออย่างมีความหวัง สำหรับท่านลุงผู้นี้ เขามีเพียงความเย็นชาไร้เยื่อใยให้เท่านั้น
เซวียนผิงโหวเห็นท่าทีขององค์ชายรองก็รู้สึกกระวนกระวาย เขาไม่เคยเข้าใจหลานชายผู้นี้เลยสักนิดเดียว
ก่อนจะเกิดเรื่องกับองค์ชายใหญ่ก็ยังดี ๆ อยู่หรอก ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กซุกซนและร่าเริง แต่พอเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายใหญ่เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีก กลายเป็นคนเงียบขรึมเก็บตัว ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มแต่งแต้มกลับเหลือเพียงความเยือกเย็น กระทั่งสามารถยิ้มขณะมองดูคนตายต่อหน้าต่อตาได้
เขาไม่ได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งดังที่พวกเขาคาด แต่กลับกลายเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ทั้งยังน่าหวาดกลัว มีเพียงอี๋กุ้ยเฟยเท่านั้นที่สามารถลงโทษและห้ามปรามเขาได้
ทว่าเซวียนผิงโหวกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนัก องค์ชายรองในตอนนี้ไม่ใช่คนที่น้องสาวของเขาจะบงการและควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว หรือจะพูดว่าการที่องค์ชายรองฝ่าฝืนคำสั่งของอี๋กุ้ยเฟย เลือกที่จะระเห็จไปอยู่ชายแดนก็เป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของนางแล้ว
“องค์ชายรอง ลุง…”
“ไปกันเถิด”
หนานกงฉีโม่ตัดบทเขา นัยน์ตาจิ้งจอกแฝงรอยยิ้มเยือกเย็นชวนให้คนขนลุกซู่
“ไปเยี่ยมท่านย่าของข้ากันเถิด”
จวนเซวียนผิงโหวนั้นเบื้องหน้ามีลุงของเขาเป็นผู้ดูแล แต่แท้จริงแล้ว ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในการควบคุมจวนเซวียนผิงโหวก็คือท่านย่าของเขา องค์หญิงไท่จ่าง
เช่นนี้จึงนับว่าเซวียนผิงโหวเป็นเพียงคนธรรมดา เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจวนเซวียนผิงโหว หรือแม้แต่แผนร้ายของอี๋กุ้ยเฟย องค์หญิงไท่จ่างล้วนเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
องค์หญิงไท่จ่างสามารถรอดเงื้อมมือของหนานกงสือเยวียน ทั้งยังรักษาจวนเซวียนผิงโหวไว้ได้ นางย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา
นางมองทุกคนเป็นเพียงเครื่องมือให้ใช้หาผลประโยชน์เท่านั้น
การส่งบุตรสาวเข้าวังก็เป็นแผนของนาง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายองค์ชายใหญ่ก็คือนาง หรือแม้แต่แผนการทะเยอทะยานที่จะให้องค์ชายรองแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท
วิธีการของนางแยบยลกว่าอี๋กุ้ยเฟยมากนัก นางไม่เคยเปิดเผยตัว เพียงใช้คำพูดยุยงและปลุกระดมคนที่อยู่รอบกายหนานกงฉีโม่เพื่อสร้างแรงกดดันให้เขา จากนั้นนางก็จะทำทีเป็นเข้าอกเข้าใจ ช่างเป็นท่านย่าที่อบอุ่นและแสนใจดีเหลือเกิน
หนานกงฉีโม่ตามสืบเรื่องนี้อยู่นานจนเกือบถูกนางจับได้
นางดีกับเขามาก แต่นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก
นางหลอกใช้แม้กระทั่งบุตรสาวและบุตรชายแท้ ๆ ของตน หลอกใช้คนทั้งจวนเซวียนผิงโหว เช่นนี้แล้ว นางจะมีความรักให้กับหลานชายอย่างเขาได้อย่างไร? เพียงเพราะเขาเป็นองค์ชายรอง เป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งให้นางใช้ทวงคืนความรุ่งโรจน์ก็เท่านั้นเอง
เมื่อเดินมาถึงโถงเคารพพระศพและได้เห็นการไว้ทุกข์ที่เรียบง่ายของจวนเซวียนผิงโหว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน
คล้ายกับว่ามองเห็นภาพของจวนเซวียนผิงโหวต่อจากนี้ ที่คงจะเปลี่ยวร้างและเรียบง่ายไม่ต่างไปจากตอนนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกหวั่นใจเลยสักนิด
“ลูกแม่ ลูกชายของข้า”
ขณะที่เซวียนผิงโหวกำลังพาองค์ชายรองไปยังโถงเคารพพระศพอย่างประจบสอพลอ อี๋กุ้ยเฟยในชุดไว้ทุกข์สีขาวก็ปรี่เข้ามาด้วยใบหน้าซูบผอม นัยน์ตาของนางดูประหลาดใจระคนตื่นเต้น
เมื่อเซวียนผิงโหวเห็นนางสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ประกายความเกลียดชังสว่างวาบขึ้นในดวงตา
หากไม่ใช่เพราะนาง น้องสาวตัวดีของเขา มีหรือที่จวนเซวียนผิงโหวจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!
“ลูกแม่ เจ้ารีบไปขอร้องเสด็จพ่อ ข้าสำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้วจริง ๆ ให้เขาพาข้ากลับไปทีเถิด!”
[1] พระราชสมัญญานาม (谥号) คือพระนามของจักรพรรดิในพระบรมโกศที่ได้รับหลังเสด็จสวรรคต โดยจักรพรรดิที่สืบราชสมบัติต่อจะเป็นผู้ตั้งให้ตามความสามารถ หรือคุณูปการที่จักรพรรดิในพระบรมโกศได้ทำไว้
[2] ใช้ไพ่อารมณ์ (打感情牌) หมายถึง การใช้ความสัมพันธ์ทางอารมณ์เพื่อเรียกร้องให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นใจ
ตอนต่อไป