เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 203 ผลไม้ป่า
บทที่ 203 ผลไม้ป่า
บทที่ 203 ผลไม้ป่า
เสี่ยวเป่าถือถังหูลู่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับนิ้วขององค์ชายรองพลางกระโดดโลดเต้นไปยังจวนจิ้นอ๋องด้วยท่าทางร่าเริงมีความสุข
ภายในจวนจิ้นอ๋อง เสียงกู่ฉินแว่วบรรเลงมาแต่ไกล ทั้งสองเดินตามเสียงไป ก็เห็นคนที่พวกเขากำลังมองหา กำลังอยู่ในศาลาพักร้อนท่ามกลางดงไผ่สีเขียวขจี
ม่านไข่มุกของศาลาแง้มออกครึ่งหนึ่ง กระถางกำยานส่งกลิ่นหอมฟุ้งลอยไปทั่ว เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของกล้วยไม้
เสียงกู่ฉินก็ดังมาจากข้างในศาลาพักร้อนแห่งนั้น
ชายหนุ่มในชุดสีขาวนั่งตัวตรงอยู่ภายใน นิ้วมือเรียวยาวราวกับหยกขาวแกะสลักลูบไล้ไปบนสายฉินอย่างนุ่มนวล เงาร่างอันงามสง่าพลิ้วไหวอยู่หลังม่าน ชวนให้ดึงดูดคล้ายกับว่าเขินอายมิกล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
สองพี่น้องเข้าไปในศาลาพักร้อน ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาเงยใบหน้าที่แต้มด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ทว่านิ้วมือที่กำลังดีดกู่ฉินกลับมิได้หยุดลงแต่อย่างใด
หนานกงฉีโม่นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ในศาลา เหยียดขายาวข้างหนึ่งไว้บนเก้าอี้ และพิงที่พักแขนอย่างเกียจคร้านด้วยท่าทางสบาย ๆ
“เอาขลุ่ยมาให้ข้า”
ไม่นานนักก็มีคนนำขลุ่ยหยกประณีตงดงามมาให้ จากนั้นเขาก็แตะขลุ่ยเข้าที่ริมฝีปาก บรรเลงเคล้าคลอไปกับเสียงกู่ฉิน
เสียงของขลุ่ยและกู่ฉินเข้าคู่อย่างงดงาม เมื่อบรรเลงด้วยกันก็ทำให้ไพเราะยิ่งกว่าเดิม
ขาสั้นป้อมของเสี่ยวเป่านั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่ม ในมือถือถังหูลู่ไว้ ทำหน้าที่เป็นผู้ชมตัวน้อยมองดูด้วยดวงตาเคลิบเคลิ้ม ปากก็กัดถังหูลู่เต็มคำเป็นครั้งคราวและยิ้มแก้มพองอย่างรู้สึกสนุกสนานไร้กังวล
วันเวลาเหล่านี้ช่างมีความสุขยิ่งนัก!
เวลาล่วงเลยไปหนึ่งก้านธูป เสียงแห่งความปรีดาก็หยุดลง เสี่ยวเป่าปรบมือรัว ๆ เหมือนลูกแมวน้ำในทันใด
“พี่ใหญ่กับพี่รองเก่งมากเลยเพคะ!”
หนานกงฉีโม่ยื่นขลุ่ยในมือให้นาง “เป็นอย่างไร? ให้พี่สอนเจ้าดีหรือไม่?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าปวกเปียกอย่างว่าง่าย “ดีเพคะ! แต่เสี่ยวเป่าขอกินให้เสร็จก่อน แล้วพี่รองค่อยสอนเสี่ยวเป่านะ”
หนานกงฉีโม่เคาะหัวของนางอย่างเอ็นดู
“เจ้าหมูน้อย”
เสี่ยวเป่าแค่นเสียงด้วยท่าทางอวดดี ใช้นิ้วมือนุ่มนิ่มชี้ไปที่เขา “เจ้าหมูตัวใหญ่!”
“โอ๊ะโอ รู้จักเอาคืนแล้วหรือ”
หนานกงฉีโม่บีบใบหน้าขาวผ่องน้อย ๆ ให้เป็นหน้าตาบูดเบี้ยวแบบต่าง ๆ
“อือ ๆ…ถังหูลู่จะร่วงออกมาแล้ว!”
เสี่ยวเป่าสู้กลับเต็มแรง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดปากเด็ดขาด กลัวว่าถังหูลู่จะหล่นออกจากปาก
สองพี่น้องเย้าแหย่กันอยู่พักใหญ่ จากนั้นหนานกงฉีโม่ก็ยื่นถังหูลู่ให้กับอีกคน
“พี่ใหญ่”
นัยน์ตาจิ้งจอกมีรอยยิ้มสดใสประดับ ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นน้องรองในความทรงจำของหนานกงฉีซิว
เขารับมันมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งสามคนกินถังหูลู่อย่างเอร็ดอร่อย
เสี่ยวเป่าเหลือเพียงลูกสุดท้าย นางจึงกินหมดเป็นคนแรก พอกินเสร็จก็เช็ดไม้เช็ดมือ จากนั้นก็ส่งเสียงออดอ้อนพี่รองขอกินเกาลัดคั่ว
หนานกงฉีโม่แกล้งนางทำทีว่าไม่ให้ สุดท้ายเจ้าตัวน้อยก็โมโหจนโผเข้ากอดพี่ใหญ่ ปากก็ฟ้องไม่หยุด
“พี่รองทำเกินไปแล้ว พี่รองนิสัยไม่ดี เสี่ยวเป่าเกลียดพี่รองแล้ว”
หนานกงฉีซิวยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะนาง “พี่รองแค่แกล้งเจ้าเล่น”
แกรก…
หนานกงฉีโม่วางเกาลัดคั่วที่กะเทาะเปลือกออกจนหมดลงบนมือ
“อยากกินหรือ”
เขาแกว่งเกาลัดคั่วตรงหน้าเสี่ยวเป่าไปมา เด็กน้อยรีบพยักหน้าหงึก ๆ อยากกินจะแย่อยู่แล้ว!
“เจ้าเพิ่งพูดว่าเกลียดพี่รองไม่ใช่หรือ…”
“เปล่านะ เสี่ยวเป่าไม่ได้พูด เสี่ยวเป่าชอบพี่รองมาก ๆ เลยต่างหาก”
อุ๊บ!
เห็นนางปฏิเสธเสียงแข็งเพียงเพื่อของกินคำเดียว พี่ชายทั้งสองก็หลุดหัวเราะออกมา
“เอ้า กินสิ”
เกาลัดคั่วเม็ดหนึ่งถูกโยนเข้าปาก เสี่ยวเป่าทำท่าทางพออกพอใจ จากนั้นปากน้อย ๆ ก็เริ่มเคี้ยวอย่างรวดเร็ว
พวกพี่ชายพากันป้อนเกาลัดคั่วให้เจ้าตัวน้อย แต่ให้นางกินเพียงเจ็ดแปดชิ้นเท่านั้น ของว่างพวกนี้หากกินเยอะเกินไปจะทำให้ท้องอืดได้
“ออกไปเที่ยวกันดีหรือไม่”
เสี่ยวเป่ายกมือเห็นด้วยเป็นคนแรก
“ไปนาหลวง ไปเก็บผลไม้ป่า!”
หนานกงฉีโม่เขี่ยจมูกน้อย ๆ ของนาง “เห็นแก่กินจริงเชียวนะ”
ยามนี้เป็นเวลาเช้าอยู่ ไปนาหลวงคงไม่เสียหายอะไร
ดังนั้น ทั้งสามจึงขึ้นรถม้าเพื่อออกเดินทางไปยังนาหลวง
ส่วนพวกที่กำลังรอคอยเขาอย่างมีความหวังอยู่ที่จวนเซวียนผิงโหว หนานกงฉีโม่สลัดคนพวกนั้นออกจากความคิดไปตั้งนานแล้ว
เขาเชื่อว่าเสด็จพ่อตัดสินพระทัยแล้ว คนพวกนั้นกลับคิดเป็นจริงเป็นจังว่าเขาจะไปทูลขอให้เสด็จพ่ออภัยโทษ
ฤดูเก็บเกี่ยวเต็มไปด้วยผลไม้มากมาย มีสวนไว้สำหรับปลูกผลไม้โดยเฉพาะ อีกทั้งบนภูเขาก็ยังมีผลไม้ป่านานาชนิดรอให้เก็บเกี่ยว
นาหลวงครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ไม่เพียงมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์หลายสิบล้านหมู่ แต่ยังมีเทือกเขาสลับซับซ้อนทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ภายในมีสวนผลไม้ที่ปลูกไว้บริโภคโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดจะไปเก็บผลไม้ป่าที่ขึ้นอยู่บนภูเขา ถึงขนาดที่ว่าสิ้นเปลืองผลไม้ป่าพวกนั้นไปไม่น้อยในทุกปี
เหล่าหมู่บ้านรอบ ๆ ภูเขายังถือว่าโชคดี ทุก ๆ ปีนาหลวงจะมีช่วงเวลาเปิดป่าให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้เข้าไปหาของป่า ทว่าพวกเขาไม่กล้าเข้าไปในป่าลึก ได้แต่สำรวจเพียงรอบนอกเนื่องด้วยหวาดกลัวพวกสัตว์ป่า
ถึงแม้ว่าหนานกงฉีซิวจะสามารถยืนได้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเดินเหินบนถนนหนทางในภูเขา ดังนั้นจึงมีเพียงหนานกงฉีโม่และองครักษ์ฝีมือดีที่เดินทางไปกับเสี่ยวเป่า
พวกเขาล้วนพกธนูติดตัวไปด้วย เพราะว่าครั้งนี้จะต้องเดินลึกเข้าไปในหุบเขา
การปีนเขานั้นกินแรงมาก แต่ว่าเสี่ยวเป่ากลับไม่บ่นเหนื่อยเลยสักครั้ง นางเดินขึ้นเขาพลางหอบแฮ่ก ๆ เคียงข้างพี่รอง
“ซู่เหมย!*[1]”
ขึ้นเขาได้ไม่ไกลเท่าใดนัก เสี่ยวเป่าก็สูดจมูกดมกลิ่น ไม่นานก็พบผลไม้สีแดงลูกน้อย ๆ ดูเย้ายวนใจ
ผลของซู่เหมยคล้ายคลึงกับเฉ่าเหมย แต่มีขนาดเล็กกว่า รสชาติอร่อยติดหวานอมเปรี้ยว เพียงแต่ด้วยขนาดที่เล็กเกินไปทำให้ยุ่งยากและเปลืองเวลาในการเก็บอยู่บ้าง
ทุกคนช่วยกันเก็บซู่เหมยจนเวลาล่วงเลยไปหนึ่งก้านธูป เพราะยังต้องขึ้นเขากันต่อ เสี่ยวเป่าจึงได้ซู่เหมยเต็มตะกร้าเพียงสองใบและจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ไม่มีใครขึ้นเขามาเก็บพวกมัน อีกทั้งพวกสัตว์บนภูเขาก็กินได้ไม่เท่าไหร่ สุดท้ายซู่เหมยส่วนใหญ่จึงร่วงจากต้นและเน่าเสียกลายเป็นปุ๋ยอยู่ในดิน เสียดายของยิ่งนัก
เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆ เสี่ยวเป่าก็เจอกับลูกพลับที่ห้อยระย้าคล้ายกับโคมไฟ
ลูกพลับที่ห้อยอยู่บนต้นไม้มีทั้งที่สุกงอมพร้อมกินและยังไม่สุกดี
ลูกพลับป่ามีขนาดเท่าไข่เป็ด ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าที่มนุษย์เพาะปลูก แต่มีสีสันสวยงามแปลกตา บางลูกที่สุกงอมเต็มที่ก็หล่นลงพื้นจนปริแตก กลิ่นหอมหวานของลูกพลับตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
เสี่ยวเป่าทำตาปริบ ๆ จากนั้นก็ให้องครักษ์ปีนขึ้นไปเก็บลูกพลับทุกลูกที่เก็บได้
หนานกงฉีโม่เองก็ปีนขึ้นต้นไม้อย่างชำนาญ เคลื่อนไหวคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่ากลับมาจากชายแดนครานี้ทักษะของเขาพัฒนาไปมากทีเดียว
“ลูกที่สุกก็เก็บไปเถิด แต่จะเอาที่มันไม่สุกไปทำอะไรหรือ”
เสี่ยวเป่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้ นางเขย่งเท้าเพื่อเอื้อมมือไปรับลูกพลับอ่อนสุกที่พี่รองยื่นให้ จากนั้นก็ปอกเปลือกแล้วเอาเข้าปากอย่างตะกละในทันที
“เอากลับไปบ่มสักหน่อยก็กินได้แล้ว แถมยังเอาไปทำลูกพลับตากแห้งได้ด้วย”
เสี่ยวเป่ากินลูกพลับสุกงอมท่าทางราวกับหนูชางฉู่ ความหวานอบอวลไปทั้งปาก มีเพียงความรู้สึกฝาดเล็กน้อยที่ถือว่าไม่ได้หนักหนาอะไร
“อร่อยมาก! เอากลับไปให้พี่ใหญ่ ท่านพ่อแล้วก็พวกท่านพี่กับท่านอาเจ็ดด้วยดีกว่า”
เพราะต้องเหลือไว้ให้อีกหลายคน เสี่ยวเป่าจึงหักห้ามใจกินเพียงแค่หนึ่งลูก
เจ้าก้อนแป้งวางแผนมาอย่างดีเยี่ยม ขึ้นเขาคราวนี้ต้องเก็บผลไม้กลับไปได้เยอะมากแน่ ๆ
ทว่าภูเขาแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าอยู่เยอะเกินไป ลูกพลับที่ห้อยอยู่บนต้นพลับสูงใหญ่ก็มีมากมาย ทั้งยังมีหลายสิบต้น แค่เก็บลูกพลับได้เพียงสามต้นฟ้าก็มืดแล้ว มิอาจไปต่อได้ในตอนกลางคืน
ท้ายที่สุด ทุกคนต่างก็มีลูกพลับเต็มไม้เต็มมือ เสี่ยวเป่าได้แต่มองตาละห้อยอย่างนึกเสียดาย
ข้างในต้องมีผลไม้ป่าอีกเยอะแน่ ๆ!
เด็กน้อยลงจากเขาพร้อมกับผลผลิตจำนวนมาก นางถือตะกร้าซู่เหมยไว้ในมือ เดินไปพลาง กินไปพลาง สุดท้ายก็กินซู่เหมยไปเกือบครึ่งตะกร้า
เมื่อเห็นสายตากลั้นหัวเราะของพี่รอง หูเล็ก ๆ สีขาวก็แดงขึ้นมาทันที ก็…ก็มันอร่อย…อร่อยจนอดใจไม่ไหวจริง ๆ นี่!
[1] ซู่เหมย (树莓) หมายถึง ราสป์เบอร์รี