เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 205 กฎแห่งกรรม
บทที่ 205 กฎแห่งกรรม
บทที่ 205 กฎแห่งกรรม
เมื่อเสี่ยวเป่ากลับไปถึงโถงปีกข้าง นางก็สั่งให้ข้ารับใช้ในตำหนักลงมือทำงาน ส่วนตัวนางเองก็ยุ่งไม่แพ้กัน
นางตั้งใจจะให้ลูกพลับอ่อนแก่พวกพี่ ๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ ส่วนลูกพลับแก่จะนำไปปอกเปลือกและแบ่งเป็นสองกอง ส่วนหนึ่งนำไปทำลูกพลับอบแห้ง ส่วนที่เหลือเสี่ยวเป่าตั้งใจว่าจะนำไปหมักเป็นสุราลูกพลับ
เสี่ยวเป่าจริงจังในเรื่องที่ตนสนใจอยู่เสมอ การหมักสุราก็เป็นเรื่องที่นางสนใจเช่นกัน
เสี่ยวเป่าเคยเห็นลิงหมักสุรามาก่อน แต่สุราที่ลิงหมักขึ้นมานั้นที่จริงแล้วมีไม่มากนัก โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นการนำผลไม้หลากหลายชนิดที่กินไม่หมดมาผสมเข้าด้วยกัน จับพลัดจับผลูกลายเป็นสุราลิงจ๋อที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาโดยมิได้ตั้งใจ
แต่โอกาสที่จะหมักสุราลิงจ๋อชนิดนี้ได้สำเร็จมีน้อยมาก หลัก ๆ แล้วล้วนแต่ต้องอาศัยโชค
ทว่ากับมนุษย์นั้นต่างออกไป พวกเขาสามารถควบคุมเวลาในการหมักสุราอย่างเคร่งครัด โอกาสที่ปรมาจารย์ด้านการหมักสุราจะล้มเหลวมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
เสี่ยวเป่าเคยผ่านโรงกลั่นสุราและถูกกลิ่นหอมของเหล้าองุ่นดึงดูดเมื่อครั้งที่ยังเป็นแค่ภูตตัวน้อย นางพุ่งปรี่เข้าไปโดยไม่รีรอ ภูตน้อยอยู่ในโรงกลั่นสุราเป็นเวลาหลายปีจนจำระยะเวลาและขั้นตอนต่าง ๆ ในการหมักสุราได้อย่างขึ้นใจ เมื่อนางออกมาจากที่นั่นก็พบว่าทั่วทั้งร่างตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเหล้าองุ่น
ทว่าน่าเศร้านักที่นางทำได้เพียงสูดดม แต่มิอาจลิ้มรสของมันได้!
ยุคสมัยนี้ไม่มีสุราผลไม้ สุราชั้นดีล้วนหมักจากธัญพืช แต่ราชวงศ์ต้าเซี่ยบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า นอกจากคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร คนอื่น ๆ ล้วนห้ามหมักสุราด้วยธัญพืช
อีกทั้งผู้ที่ได้รับอนุญาตให้หมักสุรา ก็ใช้ธัญพืชได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ราชวงศ์ต้าเซี่ยจึงมีเหล้าขาวน้อยมาก อีกทั้งออกฤทธิ์ไม่แรง ไม่ถึงขั้นทำให้เมามาย แน่นอนว่ายกเว้นคนที่เมาง่ายเป็นพิเศษ เช่น เจ้าตัวน้อยเสี่ยวเป่า
นอกจากเหล้าขาวแล้ว เหล้าเหลือง*[1]มีจำนวนมากกว่า มีฤทธิ์เบาไม่ต่างกัน อีกทั้งรสชาติก็ไม่ถือว่าดีเลิศ
ยังไม่เคยมีผู้ใดคิดหมักสุราด้วยผลไม้มาก่อน เสี่ยวเป่าไม่ได้บอกท่านพ่อและพวกพี่ชาย ด้วยมีแผนจะทำให้พวกเขาประหลาดใจ
ขั้นตอนการหมักสุราจากผลไม้โดยพื้นฐานเหมือนกัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเวลา
เริ่มจากปอกเปลือกลูกพลับ แต่ยังขาดของสำคัญอีกสองอย่าง คือถังไม้และยีสต์สำหรับหมักสุรา
เสี่ยวเป่าเขกหัวน้อย ๆ ของตัวเอง หมักสุราอาจต้องใช้เวลา ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนแผน
เสี่ยวเป่าตัดสินใจนำลูกพลับทั้งหมดไปทำเป็นลูกพลับอบแห้ง จากนั้นก็รีบไปที่กรมวังเพื่อให้พวกเขาทำถังหมักเหล้าขึ้นมา
กรมวังของราชสำนักมีช่างฝีมือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า ของที่เสี่ยวเป่าอยากได้นั้นก็แสนจะง่ายดาย จึงใช้เวลาแค่สองวันในการทำขึ้น
แต่สำหรับยีสต์นั้นค่อนข้างยุ่งยากอยู่สักหน่อย เพราะการหมักยีสต์ที่ดีต้องใช้เวลาพอสมควร
แต่นี่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเสี่ยวเป่า นางใช้พลังวิญญาณทำให้ผลไม้คงสภาพสดใหม่ และใช้พลังวิญญาณในการหมักยีสต์ ทำเช่นนี้ก็จะได้ยีสต์คุณภาพดีภายในเวลาอันสั้น ทั้งยังได้สุราชั้นดีอีกด้วย!
เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที ลูกพลับแก่กองโตก็ถูกปอกเปลือกและตากแห้งไว้เป็นที่เรียบร้อย รอจนเกิดน้ำค้างแข็งก็จะสามารถนำมาบีบนวดเพื่อขึ้นรูปได้แล้ว
เสี่ยวเป่าตั้งหน้าตั้งตาหมักยีสต์จนลืมเวลา พอหนานกงสือเยวียนส่งคนมารับนางถึงได้กลับไป
“ไหนว่าจะหนีออกจากบ้าน”
เมื่อเห็นเสี่ยวเป่า หนานกงสือเยวียนในชุดคลุมก็เลิกคิ้วถาม
เสี่ยวเป่าปีนขึ้นเตียงพลางกอดหมอนใบเล็กในมือและนอนลงทั้งอย่างนั้น
“เปล่าเสียหน่อย เสี่ยวเป่ารักท่านพ่อจะตาย จะหนีออกจากบ้านได้อย่างไรเพคะ!”
หนานกงสือเยวียน “แล้วก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็นคนพูดว่า…”
เสี่ยวเป่าเถียงข้าง ๆ คู ๆ “คำพูดก่อนหน้านี้ เสี่ยวเป่าคนก่อนหน้าเป็นคนพูด ไม่เกี่ยวกับเสี่ยวเป่าตอนนี้!”
หนานกงสือเยวียน “…”
ช่างสำบัดสำนวนเสียจริงนะ!
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ถือสาอันใด เพียงหยิกแก้มขาวผ่องอย่างเบามือ
“ท่านพ่อเอาคืนเสี่ยวเป่าหรือ!”
ครั้งนี้หยิกแรงกว่าทุกครั้งเลยนะ!
หนานกงสือเยวียนพูดเสียงนิ่ง ๆ “อืม มือลื่น”
เสี่ยวเป่าฟุบหน้าลงกับผ้าห่มพลางส่งเสียงอู้อี้น้อย ๆ ออกมา
“เช่นนั้นหากเสี่ยวเป่าชนท่านพ่อตกเตียงก็ไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวเป่า เพราะตัวเสี่ยวเป่าลื่นไปเอง”
หนานกงสือเยวียน: …รู้จักใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์เสียด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นเสี่ยวเป่าตื่นแต่ไก่โห่ ทว่าท่านพ่อของนางตื่นเช้ายิ่งกว่า หนานกงสือเยวียนเปลี่ยนฉลองพระองค์หลังกลับมาจากออกกำลังยามเช้า และเตรียมตัวออกไปว่าราชการ
เจ้าก้อนแป้งหาววอดขณะล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้จะลุกจากที่นอนแล้ว แต่ขนตางอนยาวยังคงปิดลงคล้ายกับไม่ยอมตื่น
วันนี้เสี่ยวเป่าออกไปกับพี่รองเหมือนเดิม จากนั้นนางก็รอเขาอยู่ที่จวนของพี่ใหญ่
หนานกงฉีโม่ปล่อยให้เสี่ยวเป่าไปเล่นกับพวกสุนัข ก่อนที่สองพี่น้องจะนั่งลงและเริ่มพูดคุยกัน
ใช่ว่าเสี่ยวเป่าจะฟังด้วยไม่ได้ แต่เรื่องของจวนเซวียนผิงโหวนั้นน่าสลดใจเกินไป เด็กเล็กไม่ฟังเรื่องหดหู่เช่นนี้ถือเป็นการดีที่สุด เนื่องจากจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อการเจริญเติบโต
“องค์หญิงไท่จ่างถูกสามีภรรยาเซวียนผิงโหววางยาพิษหรือ”
สองพี่น้องนั่งประจันหน้าเล่นหมากล้อม หนานกงฉีซิวตกใจอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาเล่า
หากว่าอย่างเป็นธรรมแล้ว แม้องค์หญิงไท่จ่างจะใช้ประโยชน์จากคนรอบข้างเพื่อพยายามให้หนานกงฉีโม่แย่งชิงตำแหน่งกับองค์ชายใหญ่ แต่ทุกสิ่งที่นางทำลงไปก็ล้วนแต่ทำเพื่อจวนเซวียนผิงโหว แม้อาจจะเห็นแก่ตัวไปบ้าง เพราะสุดท้ายนางส่งหลี่หนานจูขึ้นเขียงรับผิดแทนบุตรสาวของตน แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว นางก็ไม่เคยทำอันใดที่ผิดต่อบุตรชายของตนเลยแม้แต่น้อย
ทว่าเคราะห์ร้ายที่สองสามีภรรยาเซวียนผิงโหวกลับเลือกที่จะให้มารดาของตนต้องตายเพื่อถ่วงเวลาออกไป ทำให้หนานกงฉีโม่ต้องกลับจากเมืองหน้าด่านอย่างช่วยไม่ได้
สองสามีภรรยานั่นช่างเลือดเย็นจริง ๆ
“ครานั้นเพื่อปกป้องจวนเซวียนผิงโหว องค์หญิงไท่จ่างลงมือวางยาพิษเซวียนผิงโหวคนก่อน ผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการฆ่าล้างตระกูลอดีตฮองเฮาโดยไม่ลังเล แต่ผลสุดท้าย…ลูกชายของนางเองก็เลือกที่จะสังหารนางเพื่อจวนเซวียนผิงโหว เพื่อความหวังลม ๆ แล้ง ๆ นั่น นี่มันช่าง… ”
กงเกวียนกำเกวียนแท้ ๆ
“แล้วเจ้า…”
สีหน้าของหนานกงฉีโม่เรียบเฉย “ข้าให้เสด็จพ่อจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คนเช่นนี้ไม่คู่ควรให้ข้าเห็นใจ”
หนานกงฉีซิวพยักหน้าเบา ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็ได้ยินน้ำเสียงของเขาคล้ายกับรู้สึกคับข้องใจ “เสด็จพ่อตรัสว่าจะให้เสด็จแม่ปลงผมบวชเป็นชีบำเพ็ญตนที่วัดจิ้งอัน ท่านพี่ ในวังต่อจากนี้ข้าเหลือแต่ท่านแล้ว”
หนานกงฉีซิวหลุดขำเมื่อเห็นท่าทางน้อยอกน้อยใจ เขาลูบหัวของน้องชายเบา ๆ
“เจ้ามิได้ตัวคนเดียว เจ้ายังมีข้า มีน้อง ๆ มีเสด็จพ่อกับเสี่ยวเป่า”
หนานกงฉีโม่เบ้ปาก “เสด็จพ่อน่ะลืมไปได้เลย ท่านไม่รู้หรอกว่าวันที่ข้ากลับมาถึง ข้าแค่อุ้มเสี่ยวเป่าอยู่พักหนึ่ง เขาก็ใช้สายตาน่ากลัวข่มขู่ข้า ข้าสงสัยนักเชียวว่าเขาคงแทบรอไม่ไหวอยากโยนข้ากลับไปเมืองหน้าด่านเสียเดี๋ยวนั้นเลย”
“กล้าพูดถึงเสด็จพ่อเช่นนี้แล้วหรือ?”
“ถึงอย่างไรท่านพี่ก็ไม่เอาไปพูดต่อเสียหน่อย”
หนานกงฉีซิวกำลังวางหมากขาวลงบนกระดานจู่ ๆ ก็เอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าจะกลับไปอีกหรือไม่?”
หนานกงฉีโม่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาวางหมากดำพลันเอ่ยเสียงแน่วแน่ว่า “ไป!”
ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้า รอยยิ้มในดวงตาจางหายไปจนหมดสิ้น ดวงตาสีดำสนิทดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ท่านพี่ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามนุษย์ต้องใช้ชีวิตแร้นแค้นถึงเพียงนั้น แววตาชินชาไร้ซึ่งความวาดหวังใด ๆ ในชีวิต…”
เขาเล่าทุกสิ่งที่ตนได้พานพบในเมืองหน้าด่านจนหมดสิ้น พื้นดินที่เมืองหน้าด่านไม่อุดมสมบูรณ์ พืชพันธ์ุธัญญาหารที่ลำบากตรากตรำปลูกมาตลอดทั้งปีส่วนหนึ่งก็ต้องนำไปจ่ายภาษี ส่วนที่เหลืออยู่ก็ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวให้อิ่มท้อง แม้จะลดภาษีที่นาของเมืองหน้าด่านลง แต่ก็ยังไม่พอให้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ดี
พวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างประหยัดอดออม อดมื้อกินมื้อไปวัน ๆ หากว่าหิวจริง ๆ ก็จะออกไปหาของป่ามาประทังชีวิต
ชาวไร่ชาวนาทุกคนที่นั่นล้วนผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก
ส่วนพวกทหารที่เมืองหน้าด่านก็ลำบากไม่แพ้กัน ทุกวันได้แต่กินวอโถว*[2]ที่แทบไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้อง กับคนที่กินจุยิ่งแล้วใหญ่ ท้องไม่อิ่มแล้วจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนไปสู้รบ?
“หลังจากข้าได้ไปที่นั่น ถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าความลำบากของข้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับของพวกเขา ดังนั้นข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะอยู่ที่เมืองหน้าด่านต่อไม่ว่าจะเกิดสงครามหรือไม่ ปุ๋ยที่เสี่ยวเป่าทำขึ้นช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับไร่นาใช่หรือไม่? คราวก่อนที่ข้าตอบจดหมาย ข้าได้ทูลขอเสด็จพ่อให้ส่งคนที่ทำปุ๋ยเป็นไปที่นั่นแล้ว เมื่อถึงฤดูปลูกข้าวสาลีในหน้าหนาวก็จะได้เริ่มใช้ปุ๋ย เมล็ดพันธ์ุเองก็เป็นเมล็ดพันธุ์ดีจากที่นี่ แม้ข้าจะไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถเพิ่มผลผลิตและทำให้พวกเขาอิ่มท้องได้ แต่ข้าก็ต้องลองดู”
[1] เหล้าเหลือง (黄酒) เป็นเหล้าเก่าแก่ ใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ สีของเหล้าเป็นสีเหลือง โดยทั่วไปมีดีกรีต่ำ
[2] วอโถว (窝窝头) เป็นอาหารที่ทำจากแป้ง ที่ใช้เป็นอาหารหลักพบได้ทั่วไปในภาคเหนือของจีน ทำจากแป้งข้าวโพดชนิดหยาบ (cornmeal) มีลักษณะเป็นโคน ตรงก้นเป็นหลุม สีเหลืองนวล กินเป็นจานหลักเหมือนกับหมั่นโถว แต่ราคาย่อมเยาว์กว่ามาก