เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 211 ล้างแค้น
บทที่ 211 ล้างแค้น
บทที่ 211 ล้างแค้น
“ปล่อยนาง ให้นางพูด”
หนานกงสือเยวียนมองหลี่เซียงอี๋ด้วยสายตาเย็นชาจับใจ
แม้ตัวเขาจะไม่ได้ทำหน้าที่บิดาอย่างสมบูรณ์ด้วยการอบรมสั่งสอนเหล่าบุตรชายด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้ผู้ใดมาทำร้ายพวกเขาได้ตามอำเภอใจ
สตรีทั้งสองถูกแยกออกจากกัน เซวียนผิงโหวฮูหยินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับแฉความลับของหลี่เซียงอี๋ที่บังเอิญนางไปได้ยินเข้า
“สตรีนางนี้ เพื่อให้บุตรชายของนางเข้าใกล้ตำแหน่งนั้นมากขึ้น นางจึงร่วมมือกับพระสนมขั้นเฟยผู้หนึ่งลงมือกระทำบางอย่างกับม้าขององค์ชายใหญ่ เป็นเหตุให้องค์ชายใหญ่ตกจากหลังม้าจนขาพิการ ส่วนผู้บงการเรื่องทั้งหมดก็คือองค์หญิงไท่จ่าง ผู้ที่ทุกคนมองว่าใจดีมีเมตตาผู้นั้นอย่างไรเล่า!”
เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศมืดมน แสงสว่างวาบทำให้เห็นสีหน้าของทุกคนในยามนี้
พวกเขาอ้าปากค้าง ต่างก็สงสัยว่าเป็นเพราะฝนตกหนักหรือไม่ที่ทำให้พวกเขาหูฝาดได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้
องค์หญิงไท่จ่างและอี๋กุ้ยเฟยเป็นผู้ที่ทำให้องค์ชายใหญ่ต้องนั่งรถเข็นมานานหลายปี
และสุดท้ายก็เป็นองค์ชายรองที่ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ พอคิดเช่นนี้แล้วจึงเข้าใจได้ไม่ยาก
ท้ายที่สุดก็เป็นการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งที่หมายปอง อย่าว่าแต่การลอบทำร้ายเลย แม้กระทั่งเข่นฆ่ากันต่อหน้าต่อตาก็เคยปรากฏให้เห็นมาแล้ว
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับอดไม่ได้ที่จะหันไปมององค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง
ยามนี้องค์ชายใหญ่ยังต้องนั่งรถเข็น และองค์ชายรองก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ใบหน้าคนทั้งคู่ถูกบดบังด้วยร่มกระดาษน้ำมัน จึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเวลานี้พวกเขามีสีหน้าเช่นไร
หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ องค์ชายทั้งสองพระองค์อาจจะขัดแย้งกันก็เป็นได้
นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ทุกคนคาดเดาว่าจะเกิดขึ้น แต่หารู้ไม่ว่าองค์ชายใหญ่รู้เรื่องนี้มานานแล้ว และเป็นองค์ชายรองที่บอกกับเขาด้วยตนเอง
ในยามนี้สองพี่น้องหันมองหน้ากันใต้ร่ม เมื่อหนานกงฉีโม่หรี่ตาลง แสงสว่างในดวงตาจิ้งจอกก็พลันหรี่ลงตาม มือที่อยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น
แม้เขาจะรู้ว่าสักวันเรื่องนี้ก็ต้องถูกเปิดเผย แต่พอเวลานี้มาถึง เขาก็ยังไม่สามารถทำใจให้นิ่งได้
ในใจรู้สึกชิงชังยิ่งนักว่าเหตุใดตนถึงไปเกิดในครรภ์สตรีนางนั้น
และแล้วก็มีมือข้างหนึ่งประทับลงบนหลังมือเขา น้ำเสียงอ่อนโยนของหนานกงฉีซิวแฝงความอบอุ่นช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในยามฝนตก
“อย่าคิดมาก”
ต่อให้ผู้อื่นจะคาดเดา ว่าในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ทว่าสำหรับหนานกงฉีซิวแล้ว พวกเขาจะยังเป็นพี่น้องกันอยู่วันยังค่ำ ตลอดการเติบโตของอาโม่ล้วนอยู่ในสายตาเขา เขาเชื่อว่าอาโม่ไม่มีวันทรยศเขาเป็นแน่
อีกอย่าง… อาโม่ก็อดทนเพื่อเขามามากพอแล้ว
เสี่ยวเป่าเองก็เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อพี่รอง ตั้งใจจะปลอบโยนเขา
“พี่รองไม่ต้องกลัว พี่ใหญ่กับพี่รองไม่ทะเลาะกันนะ”
ตอนนี้เสี่ยวเป่าเข้าใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของพี่ใหญ่เป็นฝีมือของเสด็จแม่ของพี่รองและองค์หญิงไท่จ่างผู้นั้น นางจึงกังวลว่าพี่ใหญ่และพี่รองจะทะเลาะกัน
คนตัวเล็กปลอบพี่ชายทั้งสองด้วยเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อย ทว่ากลับถูกพวกเขาบีบแก้มคนละข้าง
ช่างนุ่มนิ่มเหมือนเต้าหู้ไม่มีผิด
เสี่ยวเป่านั่งนิ่งไม่ขัดขืน ปล่อยให้พี่ชายบีบแก้มเล่นได้ตามใจ ขอเพียง… ขอเพียงพี่ใหญ่และพี่รองมีความสัมพันธ์อันดีต่อไป แม้นางต้องเสียสละแก้มนุ่มนิ่มของตน เช่นนั้น… เช่นนั้นเรื่องแค่นี้ใช่ว่านางจะทำให้ไม่ได้
อีกด้านหนึ่ง คำบอกเล่าของเซวียนผิงโหวฮูหยินได้ทำให้ตำแหน่งของคนผู้หนึ่งสั่นคลอน ส่วนหลี่เซียงอี๋ก็ไม่คิดยอมแพ้ง่าย ๆ ด้วยการพยายามร้องขอความเมตตา
น่าเสียดายที่หนทางข้างหน้าของนางได้ถูกหนานกงสือเยวียนขีดไว้ให้แล้ว
หนานกงสือเยวียนประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่า “อี๋กุ้ยเฟยจิตใจโหดเหี้ยม ไร้ความเมตตา เป็นต้นเหตุทำให้ขาขององค์ชายใหญ่พิการ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นพระมารดาขององค์ชายรอง หลี่เซียงอี๋คุณสมบัติไม่เหมาะสมกับตำแหน่งพระสนม ปลดจากตำแหน่งและให้ไปบำเพ็ญเพียรที่วัดจิ้งอัน นับจากนี้ไปห้ามออกจากวัดจิ้งอันแม้เพียงครึ่งก้าว”
“ไม่!!! ฝ่าบาท ไม่นะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นสนมของพระองค์ รับใช้พระองค์มาหลายปี พระองค์จะทำกับหม่อมฉันเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ฝ่าบาท…”
นางคุกเข่าร้องขอความเมตตาครั้งแล้วครั้งเล่าจนสุดท้ายก็หันหน้าไปหวังพึ่งองค์ชายรอง
“เร็วเข้า รีบขอความเมตตาจากเสด็จพ่อของเจ้า ข้าไม่อยากบวชเป็นชีแล้วถูกจองจำอยู่ในวัดตลอดชีวิต รีบขอร้องให้ข้าเร็วเข้า!”
หนานกงฉีโม่ยังคงนิ่งไม่ไหวติง สีหน้าเขาในยามนี้จะเรียกว่ามองนางอย่างเฉยเมยก็ไม่ผิด
“เสด็จแม่ เสด็จพ่อเห็นแก่ลูกถึงได้ลดโทษให้ท่านถึงเพียงนี้แล้ว”
หลี่เซียงอี๋คว้าแขนเขาไว้แน่นพลางส่ายหัว “ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ เจ้ารู้ได้อย่างไรในเมื่อยังไม่ได้ลอง”
เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาจากบุตรชาย หลี่เซียงอี๋จึงเริ่มตบตีเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ลูกอกตัญญู! เจ้ามัวแต่ยืนบื้อทำอันใดอยู่ไยถึงไม่ร้องขอความเมตตาจากเสด็จพ่อของเจ้า เหตุใดถึงไม่คิดจะทำเพื่อข้า เพราะสองคนนั้นใช่หรือไม่!”
นางชี้นิ้วไปทางองค์ชายใหญ่และเสี่ยวเป่า
“ข้าเป็นเสด็จแม่ของเจ้านะ ข้าควรเป็นคนที่เจ้าสนิทสนมด้วยที่สุดสิ!”
“เอาตัวไป!” หนานกงสือเยวียนสั่งด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“พี่รอง ๆ เจ็บมากหรือไม่”
เสี่ยวเป่าค่อย ๆ สัมผัสใบหน้าเขาอย่างเป็นกังวล เพราะหลี่เซียงอี๋ตบหน้าเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี มุมปากของหนานกงฉีโม่จึงถึงขั้นเลือดตกยางออก
“เรียกหมอหลวงเร็วเข้า!”
หนานกงฉีซิวเองก็เข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร”
เมื่อเห็นว่าทั้งพี่ชาย น้องชาย และน้องสาวต่างก็ห่วงใยเขา หนานกงฉีโม่จึงส่ายหัวปฏิเสธว่าตนไม่เป็นไร
เพียงมองสตรีที่กำลังก่นด่าเขาถูกองครักษ์สองคนพาตัวออกไป แม้จะถูกนางตบ แต่เขากลับโล่งใจเป็นอย่างมาก
จากนี้ไป… นางจะไม่สามารถควบคุมชีวิตเขาได้อีกแล้ว
ทุกคนในจวนเซวียนผิงโหวถูกจับ เซวียนผิงโหวและฮูหยินถูกตัดสินประหารชีวิต ส่วนที่เหลือถูกเนรเทศ หากไม่มีคำสั่ง พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวง รวมทั้งหลี่หนานจูที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ก็ด้วย
แต่นั้นเป็นต้นมา เมืองหลวงจึงไร้ซึ่งเซวียนผิงโหวและตระกูลหลี่
เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องน่าอับอายของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แม้จะทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียอยู่บ้าง แต่ผู้คนกลับไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องพวกนั้น และก็ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงเขา
ทว่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วอย่างองค์หญิงไท่จ่างก็ไม่อาจรักษาหน้าของตนเองเอาไว้ได้ ทั้งสาเหตุการตายของนางก็น่าอายไม่ต่างกัน
แม้สายพิรุณจะยังกระหน่ำลงผืนพสุธา แต่ก็ไม่สามารถหยุดการแพร่กระจายของข่าวใหญ่นี้ได้ เพียงแค่วันเดียวเหตุการณ์หน้าหลุมฝังศพขององค์หญิงไท่จ่างก็รู้กันไปทั่วเมืองหลวง
“พวกคนในตระกูลเซวียนผิงโหวนี้หาใช่คนดี บุตรชายในจวนชอบฉุดหญิงสาวชาวบ้านและทำเรื่องชั่วช้าสารพัด ส่วนบุตรสาวเพียงเพราะต้องการแต่งงานก็เกือบจะพรากคู่รักของผู้อื่น สวรรค์มีตาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคนพวกนี้ถึงได้ลงโทษพวกเขาแล้ว”
“จริงด้วย หลี่ฮ่าวฉุนผู้นั้นไม่เพียงแต่ฉุดหญิงสาวชาวบ้าน ทว่ายังชอบต่อยตีผู้คนตามท้องถนนไปเรื่อย ทำตัวอย่างกับอันธพาล ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวของหญิงสาวบางนางมาขอคำอธิบาย เขาก็สั่งให้คนไปฆ่าปิดปากคนพวกนั้น”
“ดีจริง ในที่สุดคนชั่วก็ถูกลงโทษแล้ว”
บนถนนทางทิศใต้ของเมืองหลวงมีขอทานผู้หนึ่งขาหักทั้งสองข้างนอนขดตัวอยู่บนฟางแห้ง ทันใดนั้นก็มีขอทานตัวน้อยสองคนวิ่งฝ่าสายฝนมาหา
“พี่สือโถว ข้ามีข่าวดีมาบอกพี่สือโถว ตระกูลหลี่ของเซวียนผิงโหวจบสิ้นแล้ว เซวียนผิงโหวจะถูกตัดหัว ส่วนคนที่เหลือนั้นถูกเนรเทศ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขอทานบนกองฟางก็เงยหน้าทันพลัน พลางลุกขึ้นมาจับไหล่ขอทานตัวน้อยเพื่อสอบถามให้แน่ชัด
“เจ้าพูดจริงหรือ เป็นความจริงใช่หรือไม่!”
เขาเอ่ยถามพลางจ้องขอทานตัวน้อยด้วยดวงตาแดงก่ำ
“จริงสิ… จริงเสียยิ่งกว่าจริงเลย ข้าได้ยินมาว่าคดีของตระกูลหลี่จะได้รับการพิจารณา ผู้ใดก็ตามที่มีความแค้นกับตระกูลหลี่สามารถไปตีกลองร้องทุกข์ที่ศาลต้าหลี่ได้ และจะไม่ถูกลงโทษใด ๆ ทั้งสิ้น”
“ดี ดีมาก! ข้าจะไป ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าต้องล้างแค้นให้ครอบครัวของข้า ล้างแค้น…”
แม้เขาจะเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ไม่ว่ายามนี้ฝนจะตกหนักเพียงใด เขาก็จะไปศาลต้าหลี่ให้จงได้ ต่อให้ต้องคลานไปก็ตาม