เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 218 เซียวเหยาอ๋องรนหาที่
บทที่ 218 เซียวเหยาอ๋องรนหาที่
บทที่ 218 เซียวเหยาอ๋องรนหาที่
“ท่านอ๋อง พระชายาเรียกให้ท่านกลับจวนพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่คนรับใช้ของจวนเซียวเหยาอ๋องแทบพลิกแผ่นดินตามหาในหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง บนเรือสำราญ และเหลาอาหาร ในที่สุดก็พบท่านอ๋องของพวกเขาอยู่ที่เหลาอาหารแห่งหนึ่ง
บัดนี้หนานกงหลีกำลังร่ำสุรากับเหล่าสหายสนิท ท่วงท่าดูเกียจคร้านทว่างามสง่า
“พระชายาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใด”
หนานกงหลีชำเลืองมองด้วยสายตาเฉื่อยชา ในมือถือเหยือกสุราที่ทำจากหยกพลางเอนกายลงบนตั่ง อาภรณ์สีม่วงสดงดงามบนเรือนร่างของเขาราวกับถูกมนต์สะกดให้ต้องใจสั่น
มิแปลกใจที่สตรีเหล่านั้นต่างก็ชอบกระโจนเข้าใส่ ต้องไม่ลืมว่า มิเพียงมีแต่บุรุษเท่านั้นที่ชื่นชอบสาวงาม ทว่าสตรีเองก็ชอบพอคุณชายเครื่องหน้าหล่อเหลาและร่ำรวยเงินทองด้วยเช่นกัน
“ข้าว่าคงเป็นเพราะหมู่นี้ท่านใช้เวลาเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกนานเกินไป พระชายาก็คงจะคะนึงหาท่านกระมัง”
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนแต่เป็นคนใกล้ชิดของเซียวเหยาอ๋อง บทสนทนาจึงไม่เป็นทางการเท่าใดนัก
“เซียวเหยาอ๋องของเรารูปงามดั่งต้นหยกเล่นลม ซ้ำยังมีเสน่ห์เย้ายวน ทำให้สตรีทุกคนต้องชายตามองทั้งที่อายุตั้งปูนนี้แล้ว แน่นอนว่าพระชายาเองก็คงหลงเสน่ห์ท่านมิต่างกัน”
หนานกงหลีตวัดสายตามอง “ใช้คำอะไรของเจ้า อายุปูนนี้หมายความว่าอย่างไร เห็น ๆ อยู่ว่าข้ายังหนุ่มยังแน่น เวลาข้ายืนกับพวกหลานชาย ไหนจะลูก ๆ ของข้า ใครเห็นต่างก็ต้องคิดว่าข้าเป็นพี่ชายของพวกเขา แต่ดูพวกเจ้าสิ…”
หนานกงหลีส่ายหน้าพลางทำเสียงหน่ายใจ ชี้นิ้วไปที่พวกเขาทีละคน
“ยืนกับพวกเจ้า ข้าราวกับเป็นผู้น้อยโดยไม่มีสาเหตุเสียอย่างนั้น”
น้ำเสียงเรียกได้ว่ามั่นอกมั่นใจมาทีเดียว
เหล่ามิตรสหาย “…”
“ท่านเก่งกาจ อีกทั้งยังคุณธรรมสูงส่ง แต่ในฐานะผู้น้อยก็ควรเรียกพวกข้าว่าท่านลุงสิ!”
“นั่นสิ สูงส่งรูปงามปานนั้น หากเจ้าเก่งนักก็เรียกท่านลุงสิ!”
หนานกงหลียกสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่พลางกลอกตา “คิดจะเอาเปรียบผู้ใดกัน ข้าหมายถึงรูปลักษณ์ต่างหากเล่ารูปลักษณ์น่ะ เข้าใจหรือไม่ พวกเจ้าก็แค่อิจฉาข้า อย่างไรเสียข้าก็ยังดูหนุ่มแน่น ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าข้าจะมีลูกชายตั้งสิบกว่าคนแล้ว”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงช่างอวดดีจนหมั่นไส้เสียจริง
“ร่างกายมนุษย์ล้วนสูญสลายไปตามกาลเวลา ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงขี้เถ้า ตอนเกิดไม่ได้นำติดตัวมา ตอนตายก็นำติดตัวไปไม่ได้เช่นกัน”
หนานกงหลี “ใครว่าเล่า หากพวกเรายืนข้างกัน ข้าต้องเนื้อหอมที่สุดแน่นอน ในภายภาคหน้า หากพวกเจ้าแก่เฒ่าจนกลายเป็นเปลือกไม้ ข้าก็ยังเป็นท่านอาผู้งามสง่าอยู่วันยังค่ำ”
“คนหน้าตาดีมีอยู่ถมไป คนเช่นเจ้าน่ะพวกข้าเห็นมาเยอะแล้ว!”
“ใช่ ๆ ผู้ใดบ้างไม่เคยเจอคนหน้าตาดี”
หนานกงหลีมิได้รำคาญใจแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา คนพวกนี้ก็แค่พาลโกรธเพราะอิจฉาเท่านั้น จิ๊จิ๊… เจ้าพวกนี้เทียบเขาไม่ติด ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากหาเรื่องไปวัน ๆ
“พวกเจ้ามันซ้ำซากน่าเบื่อ ขี้ริ้วขี้เหร่เป็นเอกลักษณ์”
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนเดือดดาลขึ้นมาทันที ความสามารถในการสร้างความเกลียดชังเช่นนี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้อีกแล้ว
ใครหลายคนพุ่งเข้าใส่ในทันใด “เจ้าว่าใครอัปลักษณ์นะ หนานกงหลี เจ้าอยากโดนดีหรือ!”
“จะดีร้ายอย่างไรคุณชายอย่างข้าก็เป็นถึงท่านอา รูปหล่อและมีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงแห่งนี้ เจ้าว่าใครอัปลักษณ์กัน หา!”
“นั่นสิ จำตอนนั้นได้หรือไม่ พวกผู้หญิงที่มาเกี้ยวพวกข้าต่างเข้าแถวยาวเป็นหางว่าวจนออกไปถึงนอกเมือง”
หนานกงหลีมิวายปากเสียต่อทั้งที่ยังถูกทุบตี “ชายชาตรีมิเอ่ยถึงความเก่งกาจในอดีต!*[1]”
“เก่งไม่เบานี่หนานกงหลี เจ้ามันวอนหาเรื่องนัก”
แน่นอนว่าเป็นแค่เพียงการหยอกล้อ มิได้ลงไม้ลงมือกันจริง ๆ
ข้ารับใช้ของจวนเซียวเหยาอ๋องร้อนรนอยู่ในใจเงียบ ๆ เขามิอาจขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างท่านอ๋องและสหายได้เลย
ในที่สุด เขาก็หลับตาลงและตะโกนออกไปทั้งอย่างนั้น “ท่านอ๋อง องค์หญิงเจาเสวี่ยเสด็จมาที่จวน ตอนนี้กำลังคอยท่านอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”
“…”
จู่ ๆ บรรยากาศก็พลันเงียบลง
หนานกงหลีใช้นิ้วแคะหูและถีบสหายที่ทับอยู่บนตัวเขาให้พ้นทาง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
พูดจบก็ยังมิวายด่าทอสหายของตนต่อ “รูปร่างเช่นเจ้าไม่คิดจะออกกำลังกายบ้างเลยหรือ ภรรยาเจ้าที่บ้านไม่รังเกียจเดียดฉันท์หรืออย่างไร”
สหายรัก “…”
เข้าวัยกลางคนแล้วข้าจะอ้วนบ้างมันผิดหรือไร!
“องค์หญิงเจาเสวี่ยเสด็จออกจากวัง ยามนี้อยู่ที่จวนเซียวเหยาอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงชั่วพริบตาหนานกงหลีก็กระเด้งตัวจากตั่งนั่ง แล้วรีบวิ่งออกไปไม่แม้แต่จะสวมรองเท้า
“เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้!”
“รองเท้า…ท่านอ๋องจะวิ่งไปทั้งอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงหลีวิ่งวกกลับมาอย่างรีบร้อน เขาสวมรองเท้าพลางชี้ไปที่เหล่าสหาย
“พวกเจ้าทุกคน กินให้มันน้อยหน่อยเถอะ เมื่อครู่นี้ทับข้าจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ขืนอ้วนกว่านี้ อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่เมียพวกเจ้าก็คงรังเกียจไม่ให้พวกเจ้าเข้าเรือนเสียกระมัง”
พวกเขาโมโหทันควัน “รีบไสหัวของเจ้าไปเลย!”
หนานกงหลีโบกพัดในมือ ใบหน้าชวนหลงใหล ทั้งยังยียวนกวนประสาท เห็นแล้วคันไม้คันมือนัก
“ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคนแก่อย่างพวกเจ้าแล้ว ข้าจะไปหาหลานสาวตัวน้อยสุดที่รัก”
เมื่อถึงหน้าประตู จู่ ๆ เขาก็หยุดชะงักกึก “จริงสิ พวกเจ้ายังไม่เคยเจอหลานสาวของข้า คงไม่รู้สินะว่านางน่ารักน่าชังเพียงใด ใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อย ไอ้หยา ออกจากวังครานี้ก็คงจะนำของขวัญมาให้ข้าอีกแล้วเป็นแน่ ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง ๆ แต่นางก็ไม่ฟัง ข้าล่ะปวดหัวจริง ๆ”
ฝูงชน “凸(艹皿艹)”
ให้ตายสิ เจ้าหมอนี่มันสมควรโดนจริง ๆ
ท่ามกลางสายตาดุดันของทุกคน หนานกงหลีก็ยังมิวายเสียดสีต่อว่า “พูดไปพวกเจ้าคงไม่เข้าใจ หากว่ามีเวลาข้าจะพาหลานสาวมาพบ พวกเจ้าก็จะรู้เอง ข้าไปละ”
พูดจบก็โบกพัดเดินเอ้อระเหยไปขึ้นรถม้าที่จอดเทียบทางเข้าเหลาอาหาร
“รีบไป ๆ กลับจวนเซียวเหยาอ๋อง อย่ารอให้เจ้าพวกนั้นไล่ตามมาอัดข้าเชียว”
คนรับใช้ “…”
“ท่านอ๋อง ในเมื่อท่านกลัวพวกเขา เหตุใดจึงพูดกับพวกเขาตั้งมากมายเช่นนั้นล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
มิหนำซ้ำยังพูดจาชวนโมโห อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่คนรับใช้อย่างเขาก็ยังอดกำหมัดไม่ได้
หนานกงหลียกขาขึ้นไขว่ห้าง “พวกเจ้าจะไปรู้อันใด มีดีให้อวดก็ต้องอวด ข้าชอบดูพวกเขาตอนทำอันใดข้าไม่ได้ ได้แต่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟยิ่งนัก นี่ช่างให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน!”
เอาเถิด สมกับเป็นเซียวเหยาอ๋องผู้ชอบแหย่รังแตน*[2]จริง ๆ
หนานกงหลีตะโกนเสียงดังทันทีที่กลับมาถึงจวน
“เสี่ยวเป่า~~~~”
เสียงเรียกสูง ๆ ต่ำ ๆ ห้อยท้ายทำเอาพระชายาเซียวเหยาอ๋องขนลุกขนชัน
“เสี่ยวเป่า หลานสาวสุดที่รักของอา คิดถึงอาเจ็ดหรือไม่~~~”
เสี่ยวเป่ากำลังเคี้ยวขนมกุ้ยฮวาจนแก้มตุ่ย
“คิดถึงเพคะ คิดถึงของว่างที่จวนท่านอาเจ็ด!”
หนานกงหลี “…เสี่ยวเป่าโกหกอาสินะ…เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าคิดถึงอาเจ็ดรูปงามราวกับต้นหยกเล่นลม มีเสน่ห์เย้ายวน เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์!”
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้วอย่างงุนงง “ท่าน…ท่านอาเจ็ดว่าอย่างไรเสี่ยวเป่าก็ว่าอย่างนั้นเพคะ”
พยายามใช้น้ำเสียงที่ดูไม่ขอไปทีจนเกินไป
หนานกงหลีหัวเราะหึ ๆ พลางนั่งลงและอุ้มหลานสาวตัวน้อยขึ้นมา จากนั้นก็หอมไปบนแก้มน้อยนุ่มนิ่มราวกับเต้าหู้หลายต่อหลายที
“พูดว่าคิดถึงท่านอาเจ็ดสิ”
หนานกงหลีประคองใบหน้าเด็กน้อยด้วยสองมือ หรี่นัยน์ตาดอกท้อเป็นเชิงข่มขู่
เสี่ยวเป่ากลอกตาคู่โตดุจไข่มุก “อื้อ คิดถึงท่านอาเจ็ด~”
น้ำเสียงนุ่มนวลดูออดอ้อนไม่เบา
หนานกงหลีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ให้ได้อย่างนี้สิ ไปกันเถิด อาเจ็ดจะพาเจ้าไปเที่ยว”
“อื้อ…ท่านอาเจ็ดปล่อยเสี่ยวเป่าก่อน เสี่ยวเป่าเหม็น”
หนานกงหลี “(▼皿▼#)”
“เหลวไหล ตัวข้าจะเหม็นได้อย่างไร!”
พระชายาเซียวเหยาอ๋องกลอกตาอย่างรำคาญใจ “ท่านอ๋อง มันคือกลิ่นสุรา”
[1] ชายชาตรีมิเอ่ยถึงความเก่งกาจในอดีต หมายถึง คนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ไม่โอ้อวดเกี่ยวกับความสำเร็จในอดีตของตน
[2] แหย่รังแตน หมายถึง ทำให้ผู้อื่นโมโห