เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 22 มัวแต่เล่นสนุกจนเสียงาน (รีไรท์)
บทที่ 22 มัวแต่เล่นสนุกจนเสียงาน (รีไรท์)
บทที่ 22 มัวแต่เล่นสนุกจนเสียงาน (รีไรท์)
ฝ่าบาทเกลียดกลิ่นฉุนมาก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นแป้งบนตัวสตรีหรือกลิ่นเครื่องหอมก็ตาม
แต่มีสตรีใดที่ไม่ต้องการปรากฏตัวต่อหน้าหนานกงสือเยวียนอย่างงดงามที่สุดบ้าง? เพราะเหตุนี้ ฝ่าบาทจึงไม่ไปหาบรรดานางสนมเลย เว้นแต่จะจำเป็นจริง ๆ
หนานกงสือเยวียนไม่เคยใช้ธูป แต่เพราะนอนไม่หลับจึงต้องใช้การจุดธูปสะกดจิต ทุกครั้งที่ตื่น พระพักตร์จะดำคล้ำเป็นสีม่วงจนน่ากลัว จำต้องเปิดหน้าต่างไว้เพื่อระบายกลิ่นออกไป
มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ยินจากปากของฝ่าบาทว่า องค์หญิงน้อยมีกลิ่นหอม สามารถดอมดมกลิ่นได้ไม่รู้เบื่อ
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอดมกลิ่นขององค์หญิงอย่างใกล้ชิดได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนชำเลืองมองเขาก่อนจะเอ่ยอย่างแช่มช้า “องค์หญิงน้อยยังไม่ตื่น ข้าจะให้เจ้าช่วยตรวจร่างกายหลังจากนางตื่นแล้ว”
นี่คือคำอนุญาต
หมอจางรีบประสานมือรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
ใกล้ถึงเวลาที่หนานกงสือเยวียนกำลังจะออกไปว่าราชการ เขาจึงจากไปพร้อมกับฝูไห่กงกง
บรรยากาศยามเช้าในวันนี้แปลกเป็นพิเศษ
หากมองดี ๆ จะพบว่าไม่ว่าจะขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ ล้วนพากันจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ
“ร้อยวันพันปีเซียวเหยาผู้นี้ไม่คิดก้าวเข้ามายังท้องพระโรง ไฉนวันนี้จู่ ๆ ก็นึกอยากมา?”
“หึ… หากเซียวเหยาอ๋องไม่มาวันนี้ ข้าคงลืมไปแล้วว่าเขายังมีตัวตนอยู่ในวัง”
ขุนนางนั้นต้องได้รับการเลื่อนยศก่อนถึงจะสามารถเข้าสู่ท้องพระโรงได้ ทว่าเชื้อพระวงศ์ที่มีบรรดาศักดิ์นั้นสามารถเข้าร่วมท้องพระโรงได้ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
แต่อ๋องเจ้าสำราญของพวกเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากเกินไป รัชสมัยที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังทรงเรืองอำนาจ คนผู้นี้ต้องเข้าร่วมประชุมท้องพระโรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่าสองปีหลังจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ อ๋องผู้นี้ก็แสร้งทำเป็นป่วยและไม่เคยมาปรากฏตัวที่นี่อีกเลย
สุดท้าย หนานกงสือเยวียนก็ทำเหมือนน้องชายผู้นี้ไม่มีตัวตนไปโดยปริยาย
ผู้ใดจะคิดว่าเซียวเหยาอ๋องที่ไม่ได้เข้าร่วมท้องพระโรงมาเป็นเวลาหลายปี จู่ ๆ ก็จะมาปรากฏตัวในวันนี้
ทว่า…
ถึงจะเสแสร้ง แต่ก็ต้องทำตัวให้ดูดีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเซียวเหยาอ๋องถึงได้ยืนทำท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ เช่นนี้เล่า!
“ถวายบังคมฝ่าบาท…”
ทันทีที่หนานกงสือเยวียนเสด็จเข้าไปในท้องพระโรง ทุกคนก็คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ…”
ฉากนี้ดูสง่างามและน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง หนานกงสือเยวียนอยู่ในชุดคลุมมังกรสีดำสลับทองประทับบนบัลลังก์มังกร ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาดูสง่างามเป็นที่สุด
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เหล่าขุนนางทั้งหมดยืนขึ้น แต่…
ทุกสายตามองไปยังบุคคลที่ยังคงคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น
ขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังหนานกงหลีถึงกับเปลือกตากระตุกเ รีบใช้เท้าสะกิดเบา ๆ
“ท่านอ๋อง ลุกได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เพราะไม่สามารถส่งเสียงดังได้ในขณะนี้ เขาจึงทำได้เพียงส่งเสียงกระซิบเท่านั้น
แต่หนานกงหลีไม่ได้ยินสักกระผีก
ปกติเขาจะนอนตื่นสาย แต่วันนี้ตื่นเช้ามาก ง่วงจนหนังตาปิดลงโดยไม่รู้ตัว เหตุผลที่ยังไม่ยอมลุกขึ้น ก็เพราะว่าเขาลุกไม่ไหวจริง ๆ
ขุนนางฝ่ายบุ๋นถึงกับเงียบกริบ “…”
เซียวเหยาอ๋องไม่ได้มีเจตนามาทำงาน แต่ตั้งใจมาก่อกวนผู้คนต่างหาก!
หนานกงสือเยวียน “…”
นี่คือน้องชายของข้า ข้าฆ่าเขาไม่ได้สินะ…
เขากำลังคิดเงียบ ๆ อยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับมืดมนลงเรื่อย ๆ
“เซียวเหยาอ๋อง”
น้ำเสียงเย็นเยียบดูจะฝังอยู่ในกระดูกของหนานกงหลี ทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่เงยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาทเรียกหากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
“พรืด!”
บรรดาขุนนางและนายทหารน้อยใหญ่หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
พวกเขาพยายามกลั้นหัวเราะจนหัวไหล่สั่น
หนานกงสือเยวียนชี้ไปทางข้างหลัง สีหน้าพลันถมึงทึง “ไปอยู่ข้างหลัง!”
เซียวเหยาอ๋องเกาหัวด้วยความลำบากใจ ใต้ตาปรากฏรอยคล้ำดำหมอง
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาคอตก สาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว “ขุนนางท่านนี้ ช่วยหลบทางให้ข้าหน่อย”
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำตัวดีต่อหน้าพี่ชาย เพื่อให้ได้รับอนุญาตในการเข้าพบหลานสาวตัวน้อยบ่อยขึ้น หนานกงหลีจะตื่นแต่เช้ามาที่นี่เพื่ออะไร?
ดีที่ท้องพระโรงมีเสาใหญ่อยู่หลายต้น เขาแอบหลับได้สบาย ๆ วะฮะฮ่า! เสด็จพี่คงไม่รู้หรอก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซียวเหยาอ๋องก็พิงเสา กอดอก หาวหวอดแล้วผล็อยหลับไปอีกรอบ
เสนาบดีที่อยู่ข้าง ๆ “…”
หนานกงสือเยวียนรีบหันหน้าไปทางอื่น น่ารำคาญสายตาจริง ๆ!
เมื่อว่าราชการเสร็จสิ้น หนานกงหลีก็ติดตามหนานกงสือเยวียนมาอย่างหน้าด้านพร้อมหาวไปด้วย
“ฝ่าบาท ขอข้าเข้าไปเล่นกับหลานสาวหน่อยเถิด ข้าอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าเพื่อแสดงความจริงใจ”
ฝูไห่กงกง “…”
ดูท่าท่านอาจจะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว
ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนมืดหม่นยิ่งกว่าเดิม “ไปให้พ้น!”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เสด็จพี่ ไว้ข้าจะเอาของอร่อย ๆ ไปฝากหลานสาวของข้านะ”
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “มัวแต่เล่นสนุกจนเสียงานเสียการไปหมด”
หนานกงหลีหดคอ “เสด็จพี่พูดอย่างนั้นไม่ได้สิ เสี่ยวเป่ายังเด็กอยู่ ท่านจะปล่อยให้นางเรียนตั้งแต่อายุสามขวบไม่ได้ นี่มันโหดร้ายเกินไป”
หนานกงสือเยวียน “ข้ากำลังพูดถึงเจ้า”
หนานกงหลีเงียบกริบ “…”
เขาแก่ขนาดนี้แล้ว ทั้งยังเป็นอ๋องเจ้าสำราญที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายสักหน่อย
แม้จะถูกขับไล่ไปแล้ว แต่หนานกงหลียังคงเดินตามมาอย่างไม่ยอมแพ้
เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ เสี่ยวเป่าแต่งตัวเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอันแสนประณีต เด็กน้อยนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก กำลังเท้าคางรอท่านพ่อ
ทันทีที่เห็นบิดา เด็กหญิงก็รีบกระโดดลงมาทันที
“ท่านพ่อ~”
เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับรอยยิ้มดีใจ
“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อ”
ท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้ทำให้มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกมา
“ท่านพ่อคิดถึงเสี่ยวเป่าหรือไม่”
เสี่ยวเป่าจับนิ้วของท่านพ่อ กระโดดขึ้นลงอยู่ข้างกายเขาเหมือนกระต่ายตัวน้อยพลางถามเสียงเจื้อยแจ้ว
“อืม”
หนานกงสือเยวียนตอบอย่างเฉยเมย
แต่เสี่ยวเป่าพอใจมาก และไม่ถามอะไรอีกแล้ว
“หลานสาว เจ้าคิดถึงแต่ท่านพ่อ เจ้าไม่คิดถึงท่านอาบ้างหรือ”
หนานกงหลีแสร้งทำเป็นเศร้า
เสี่ยวเป่ายิ้มให้เขาพร้อมกับมุ่นคิ้ว
“คิดถึงสิ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านอา ท่านอาไม่ต้องเศร้านะเจ้าคะ ฮี่ฮี่”
หนานกงหลีเหมือนคนป่วยที่ได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว
“ท่านอาก็คิดถึงเสี่ยวเป่าเหมือนกัน มามะ มาให้อากอดหน่อย”
เสี่ยวเป่าเหลือบมองมือของท่านพ่อที่นางจับอยู่ จากนั้นก็มองไปที่ท่านอา
“ท่านอากลับเมื่อไหร่ เสี่ยวเป่าจะกอดลานะเจ้าคะ”
นางไม่อยากปล่อยมือท่านพ่อไปตอนนี้
หนานกงหลีใบหน้ากระตุก
นางเห็นการจับมือกับบิดาสำคัญมากกว่าการกอดเขาอย่างนั้นหรือ?
เสี่ยวเป่ารู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาเสียอกเสียใจของท่านอา
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหนานกงสือเยวียนยิ้มในขณะนั้น ทั้งยังเป็นรอยยิ้มจากใจจริง แต่ไม่นานเขาก็กลับมาตีหน้านิ่งดังเดิม
หลังทานอาหารกลางวัน เสี่ยวเป่าพาท่านพ่อและท่านอาไปดูสวนเล็ก ๆ ของตนเอง
พื้นที่เปิดโล่งในสนามด้านข้างตำหนักถูกพลิกหน้าดิน กลายเป็นแปลงผักไปแล้ว
นางหว่านเมล็ดพืชไปเมื่อสามวันก่อน วันนี้ต้นอ่อนสีเขียวเล็ก ๆ งอกเงยออกมาจากดินสีน้ำตาลแล้ว
แม้ว่าต้นกล้าเล็ก ๆ ที่พลิ้วไหวตามแรงลมเหล่านี้จะไม่ได้มีค่าเหมือนไม้ดอกไม้ประดับอันหรูหรา แต่พวกมันก็เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาน่ารื่นรมย์