เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 228 บอกว่าเจ้าอ้วน เจ้ายังหอบหายใจใส่อีกหรือ
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 228 บอกว่าเจ้าอ้วน เจ้ายังหอบหายใจใส่อีกหรือ
บทที่ 228 บอกว่าเจ้าอ้วน เจ้ายังหอบหายใจใส่อีกหรือ
บทที่ 228 บอกว่าเจ้าอ้วน เจ้ายังหอบหายใจใส่อีกหรือ
เมื่อเห็นว่ากองฎีกาที่อยู่เบื้องหน้าเขามีจำนวนน้อยลง อีกทั้งได้เห็นสีหน้าทุกข์ตรมของหนานกงหลีแล้ว
อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจมองผ่านสีหน้าของเขาได้
แต่เสี่ยวเป่านั้นสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าท่านพ่อของนางอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม
นางเอียงศีรษะด้วยความฉงน ก่อนหันไปมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นยับย่นของท่านอาเจ็ด
หนานกงจ้านเองก็หนีไม่พ้น ในมือถือฎีกาส่วนหนึ่งเอาไว้ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหากองทัพที่จำเป็นต้องจัดการ
นี่นับเป็นการใช้ทุกสิ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดจริง ๆ
หนานกงหลีมองดูฎีกาที่อยู่ในมือของเขา ความโศกเศร้าบนใบหน้าพลันลดลงไปบ้าง
มีพี่น้องร่วมตกยาก เห็นแล้วภายในใจของเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
คนทั้งสองที่ตามเสี่ยวเป่าไปหาท่านพ่อของนาง ต่างถูกบังคับให้ต้องรับงานมาทำด้วยสีหน้าทุกข์ตรม
แต่…เพียงแค่ครู่เดียวเซียวเหยาอ๋องก็หันไปถามพี่สี่ว่าอักษรตัวนี้อ่านว่าอะไร
เขาสามารถทำได้ดีมากในการเจรจา ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพรสวรรค์ด้านฝีปาก ส่วนเรื่องเขียนนั้นเขากลับไม่ค่อยได้ความ แต่ตอนนี้สิ่งที่หนานกงสือเยวียนต้องการคือ ให้เขาทำความเข้าใจกับข้อมูลของราชทูตจากอาณาจักรต่าง ๆ เนื่องจากตอนที่หงหลูซื่อไปต้อนรับทูตจากอาณาจักรต่าง ๆ เขาก็ย่อมต้องไปด้วยอย่างแน่นอน
หนานกงสือเยวียนที่แต่เดิมทุกข์เพราะไม่มีคนมาช่วย ตอนนี้มีเจ้าเจ็ดเข้ามาแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่พบมาก่อนนับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
ด้วยตัวของเขาและฝีปาก รวมทั้งมีฮ่องเต้เป็นกองกำลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ผู้ที่คิดอยากฉกฉวยประโยชน์หาโอกาสสร้างปัญหาจะต้องระมัดระวังขึ้น
เสี่ยวเป่าเองก็อ่านหนังสือ ท่านั่งตอนแรกเริ่มหลังยังคงตรง แต่ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งง่วงนอน อ่านหนังสือไปหาวไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ดวงตาใสกระจ่างชุ่มน้ำจากการหาวนอน ดูแล้วน่าสงสารอยู่บ้าง
นางและหนานกงหลีเอนตัวเข้าหากัน หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่หาวออกมาพร้อมกันราวกับจะประชัน หลังจากนั้น…ทั้งสองก็พิงซบอีกฝ่ายแล้วเอนศีรษะผล็อยหลับไป
หนานกงหลี: ขอเพียงมีหนังสือหนึ่งเล่ม ที่แห่งใดก็ล้วนเป็นเตียงได้!
หนานกงสือเยวียน “…”
หนานกงจ้าน “…”
สองพี่น้องสบสายตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความจนใจในส่วนลึกของสายตาอีกฝ่าย
หนานกงสือเยวียนอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมา นี่ก็ถึงเวลานอนกลางวันของนางแล้ว
ส่วนหนานกงหลี…
หนานกงจ้านตบหน้าเขา “ตื่น”
“zzzZZZ”
ไม่เพียงแต่ไม่ตื่น ยังกรนแล้วเอนพิงเขาอีกด้วย
หนานกงจ้านยืนขึ้นแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
หนานกงหลีเมื่อไม่มีที่พิงก็พลันร่วงลงกับพื้นทันที ศีรษะกระแทกพื้น
“โอ๊ย!”
คราวนี้เขาตื่นขึ้นมาทันที มือจับศีรษะตนเองแล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวระคนงุนงง
“เหตุใดข้าจึงลงไปนอนกับพื้นเล่า?”
หนานกงจ้าววางเอกสารไว้เบื้องหน้าเขาโดยไร้เยื่อใยความเป็นพี่น้อง “ตื่นแล้วก็อ่านต่อเสีย”
หนานกงหลีกลอกตาแล้วเอนหลังล้มลงไปเหมือนศพ “อ่า ข้าหมดสติไปอีกแล้ว”
หนานกงสือเยวียนเดินออกมา “อ่านจบเมื่อใดก็ค่อยกลับไปเมื่อนั้น”
หนานกงหลีลุกขึ้นอีกครั้ง ก่อนจับจ้องไปทางเอกสารด้วยสายตาใสซื่อ “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะทำให้ข้ายุ่งยากได้อย่างไร ข้าเพียงแค่…เพียงแค่ดูอักษรมากมายแล้วเวียนหัว หากมีคนมาอ่านให้ฟังคงจะดีไม่น้อย”
เขาไม่ได้เอ่ยอ้างไปทั่ว แม้หลายปีมานี้เขาจะเป็นอ๋องเจ้าสำราญ ไม่ชื่นชอบการอ่านหนังสือ แต่ความทรงจำของเขาก็นับได้ว่าไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเรื่องมนุษยสัมพันธ์ ขอเพียงแค่มีคนพูดขึ้นมาครั้งหนึ่งเขาก็สามารถจดจำมันได้
หากไม่มีความสามารถอันใดแม้แต่น้อย ก็อย่าเรียกว่าคนเจ้าสำราญเลย เรียกว่าขยะแทนเถิด!
นอกจากนั้นแล้ว การกินดื่มและเล่นสนุกย่อมต้องพิถีพิถัน จึงจะนับเป็นคนเจ้าสำราญขั้นสูงสุด สามารถลิ้มลองอาหารรสเลิศ ดื่มด่ำกับสุราและชาชั้นยอด ต้องรู้วิธีเล่นสนุกอย่างสูงส่งไม่ธรรมดา สามารถแยกแยะของจริงของปลอม และประเมินความล้ำค่าของสมบัติได้…
มีสิ่งที่ต้องรู้มากมาย อีกทั้งยังต้องสามารถจดจำคนในแวดวงหรือเครือข่ายความสัมพันธ์ได้ และต้องรวบรวมข่าวสารต่าง ๆ ไม่เช่นนั้นหากตกข่าวขึ้นมาก็จะไม่มีหัวข้อเอาไว้สนทนากับสหายและคนรอบตัว เช่นนั้นก็ไม่อาจนับเป็นคนเจ้าสำราญได้!
“เสด็จพี่ อักษรเหล่านี้ข้ามองแล้วอ่านยากเป็นอย่างยิ่ง ท่านช่วยให้คนมาอ่านให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หนานกงสือเยวียนปรายตามองเขา หลังจากนั้นก็หันไปทางฝูไห่
ฝูไห่เข้าใจความหมายในทันที รีบเรียกขันทีหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามา
“ท่านอ๋อง คนผู้นี้คือลูกบุญธรรมของกระหม่อม คุณสมบัติอื่นไม่กล้าโอ้อวด แต่เขาก็รู้หนังสือและออกเสียงชัดถ้อย สามารถช่วยท่านอ่านหนังสือได้”
สีหน้าของหนานกงหลีเบิกบานขึ้นมาทันตาเห็น “มาอ่านให้ข้าฟังเสีย เสด็จพี่ ข้าขอออกไปด้านนอกดีกว่าจะได้ไม่รบกวนท่าน”
เมื่อหนานกงสือเยวียนพยักหน้า เขาก็พาขันทีผู้นั้นออกไปด้านนอกทันที
ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน หนานกงหลีก็สามารถจดจำลักษณะภายนอกและบุคลิกของเหล่าราชทูตทั้งหลายได้เกือบทั้งหมด
หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินว่าเขาสามารถจดจำข้อมูลเกือบทั้งหมดได้
“ท่องออกมาเสีย”
หนานกงหลีเอามือไพล่หลังพูดจาออกมาอย่างฉะฉาน เขาไม่ได้จดจำข้อมูลตามลำดับที่ถูกเรียงเอาไว้ แต่มีวิธีจดจำในแบบของตนเอง
นี่แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ได้จริง ๆ
หนานกงสือเยวียนวางฎีกาลง ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย”
หนานกงหลีเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะคลี่พัดสะบัดจนเกิดเสียงลมดังขึ้น
“นี่ไม่อาจนับเป็นสิ่งใด พวกเราคนเจ้าสำราญจำต้องเรียนรู้เรื่องราวไม่น้อย จะออกเที่ยวกับผู้ใดก็ต้องเข้าใจอุปนิสัยของคนผู้นั้นเสียก่อน หากมีความประพฤติดีจะคบหาไว้ก็ไม่เสียหาย
หากมีจุดเลวร้ายก็เป็นเพียงแค่คนรู้จักกันผิวเผิน ถ้าเป็นผู้ที่ขาดคุณธรรม ก็จำต้องระวังคนประเภทนี้เอาไว้ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะวางแผนใดเอาไว้บาง อีกทั้งยังต้องรู้ว่าผู้ใดสามารถยั่วยุได้ ผู้ใดที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ แน่นอนข้าย่อมต้องเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดแตะต้องได้ที่สุดในหมู่คนเจ้าสำราญ!”
หนานกงสือเยวียนปรายตามองอย่างไม่แยแส “บอกว่าเจ้าอ้วน เจ้ายังหอบหายใจใส่อีกหรือ*[1]?”
หนานกงจ้านเองก็หมดคำจะเอ่ย “ยังภาคภูมิใจอีกหรือ”
หนานกงหลีสงบลงทันที ไม่กล้าโอ้อวดอีกต่อไป และนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น…” ดูเหมือนจะถูกชมจนหลงระเริงไปหน่อย
“เสด็จพี่ ตอนนี้ข้าสามารถออกไปได้แล้วหรือยัง”
“ไปเถิด”
หนานกงหลีดีใจจนไม่อาจเก็บงำรอยยิ้มบนใบหน้าได้
“พรุ่งนี้อย่าได้ลืมไปรับตำแหน่งหงหลูซื่อชิงเสีย”
หนานกงหลี “…”
สมกับเป็นเสด็จพี่ผู้ไร้อารมณ์ไมตรีจิต เพียงพูดออกมาก็สามารถเป็นประหนึ่งน้ำเย็นเทราดลงดับกองไฟน้อย ๆ อันเป็นความสุขของเขาได้
หนานกงหลีออกจากตำหนักฉินเจิ้งด้วยหัวใจแตกสลาย เขาต้องการเฉ่าเหมยของหลานสาวตัวน้อยมาเยียวยาหัวใจที่โดนเสด็จพี่ทำให้บอบช้ำ
เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง หนานกงหลีก็พบเข้ากับคนสองคน
เป็นองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง ผู้เป็นหลานชายทั้งสองคนของเขา
ยามนี้หนานกงฉีซิวกำลังค่อย ๆ ฝึกลุกจากรถเข็นแล้วเดินด้วยตนเอง เมื่อเข้ามาในวังเขาก็จะได้น้องรองคอยช่วยประคอง จนวันนี้เดินได้ไกลพอสมควร ขาของชายหนุ่มสั่นเทาเล็กน้อยเช่นเดียวกับใบหน้าที่ซีดลงบ้าง
“ข้าบอกแล้วว่าให้นำรถเข็นมาด้วย แต่ท่านก็ไม่นำมา เดินไกลเช่นนี้ท่านจะต้องใช้เวลาพักฟื้นกี่วันกัน”
หนานกงฉีโม่ใช้แขนข้างหนึ่งประคองคน ให้แรงครึ่งหนึ่งตกลงมายังร่างของตน ส่วนมืออีกข้างนั้นถือผ้าเช็ดหน้าคอยซับเหงื่อ แม้ว่าปากของเขาจะพร่ำบ่น แต่ความกังวลในดวงตาก็สามารถปิดซ่อนเอาไว้ได้ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
หนานกงฉีซิวตบหลังมือเขาพลางเอ่ยปลอบโยน “ข้าไม่เป็นอันใด ท่านหมอเจี่ยบอกว่าข้าควรออกกำลังกายให้มากกว่านี้ จะได้แข็งแรงไวขึ้น”
[1] บอกว่าเจ้าอ้วน เจ้ายังหอบหายใจใส่ (说你胖你还喘上了) หมายถึง บอกว่าอีกคนเป็นเช่นไร แล้วอีกคนก็สาธยายตนเองออกมามากขึ้น มีความหมายทางประชด