เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 229 ในฐานะอ๋องผู้หนึ่งนับว่าท่านยากจนเป็นอย่างยิ่ง
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 229 ในฐานะอ๋องผู้หนึ่งนับว่าท่านยากจนเป็นอย่างยิ่ง
บทที่ 229 ในฐานะอ๋องผู้หนึ่งนับว่าท่านยากจนเป็นอย่างยิ่ง
บทที่ 229 ในฐานะอ๋องผู้หนึ่งนับว่าท่านยากจนเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อนถึงเพียงนี้ หรือว่าต้องการให้ข้าแบกท่านขึ้นหลังไปหาเสด็จพ่อกัน”
หนานกงฉีซิว “ไม่…”
หนานกงฉีโม่เดินไปด้านหน้าโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะโอบแขนไปด้านหลังยกตัวของเขาขึ้นขี่หลังได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะยืนตรงขึ้น
“พี่ใหญ่ อย่าหาว่าข้าตำหนิท่านเลย สำหรับคนที่โตแล้วเช่นนี้ท่านนับว่าผอมเกินไปมาก หลังจากนี้กินเพิ่มขึ้นอีกหน่อยเถิด”
หนานกงฉีซิวหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่ใหญ่ ทว่ากลับต้องให้น้องชายมาคอยดูแล
“เสด็จอาเจ็ด”
ทั้งสองคนมองเห็นหนานกงหลีที่เดินเข้ามา
“ไปหาเสด็จพ่อของพวกเจ้าหรือ”
“อืม ข้ามีเรื่องบางอย่างจำต้องรายงานให้รับรู้”
“ไปเถิด มีความสัมพันธ์กันในหมู่พี่น้องนับเป็นเรื่องดี”
มีคนข้างนอกจำนวนไม่น้อยคาดเดาว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเปรียบประหนึ่งน้ำกับไฟ เหอ ๆ…ความสัมพันธ์ประหนึ่งน้ำกับไฟเป็นเช่นนี้หรือ
เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามพี่น้องของเขาแล้ว หนานกงหลีก็อดหยิบพัดขึ้นมาพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยความเศร้าใจไม่ได้
“เฮ้อ…เหตุใดข้าจึงไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง!”
ไปเอาเฉ่าเหมยของหลานสาวตัวน้อยต่อดีกว่า
เสี่ยวเป่าตื่นขึ้นมาเองหลังจากนอนกลางวันไปครึ่งชั่วยาม เมื่อลุกขึ้นมาก็เห็นท่านอาสี่ พี่ใหญ่ และก็พี่รอง ทำให้นางอดมีความสุขไม่ได้
รอจนพวกเขาปรึกษาหารือกับท่านพ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พากันไปเก็บเฉ่าเหมยมากิน อีกทั้งยังเก็บเผื่อพี่น้องคนอื่น ๆ ด้วย
“พี่ใหญ่เก่งกาจยิ่งนัก ยามนี้สามารถเดินได้นานขึ้นกว่าเดิมแล้ว!”
หนานกงฉีซิวเดินอย่างแช่มช้า เสี่ยวเป่าจึงใช้ขาสั้น ๆ ก้าวเดินช้า ๆ ตามเขาไป เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่มีท่าทางเหนื่อยล้า ก็รีบใช้พลังวิญญาณเข้ารักษาทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสความอบอุ่นอีกนั่นอีกครั้ง หนานกงฉีซิวก็ลูบหัวของเสี่ยวเป่าด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย
น้องหญิงช่างไร้เดียงสาเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีแผนการอันใดแม้แต่น้อย วันข้างหน้าหากไปทำเช่นนี้กับผู้อื่นจะเป็นเช่นไร
แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องหาโอกาสคุยกับเด็กน้อย ความสามารถเช่นนี้ย่อมสามารถใช้ปกป้องตนเองได้ แต่ก็อย่าได้หุนหันพลันแล่นเห็นใครบาดเจ็บก็ใช้ออกมา
“โอ้ พวกเจ้ามาแล้ว”
ด้านในลาน หนานกงหลีเอนกายบนเก้าอี้โยก ข้างกายมีกระถางไฟอยู่ ทำตัวลอยชายประหนึ่งคนใหญ่คนโต
วันนี้อากาศภายในลานยังคงหนาวเหน็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยื่นมือเปล่าออกไปด้านนอก
เมื่อวางกระถางไฟไว้ด้านข้าง ก็สามารถอังมือที่เย็นเยียบให้อบอุ่นขึ้นมาได้ อีกทั้งบนโต๊ะเล็ก ๆ ยังมีเฉ่าเหมยสีแดงสดกับขนมส่วนหนึ่งวางเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีกาน้ำร้อนบนเตาเอาไว้ให้หนานกงหลีชงชา
เช่นนี้แล้วเขาจะไม่สุขสำราญได้อย่างไร
“มา มา มา ทุกคนมากินเฉ่าเหมยเร็ว น้ำเดือดแล้วข้าจะชงชาให้พวกเจ้าเอง”
เมื่อเอ่ยถึงชาขึ้นมา เขาก็มองไปทางเสี่ยวเป่าด้วยความอิจฉา “หลานสาวตัวน้อย เจ้าช่างเลือกสำราญกับชาเสียยิ่งกว่าท่านอาเจ็ดของเจ้าเสียอีก ดื่มเพียงแต่ชาอวิ๋นอู้ อีกทั้งยังมีเมล็ดบัวทองคำขาวอีกมากถึงเพียงนั้น”
ปีนี้วัดต้ากั๋วส่งชาอวิ๋นอู้และเม็ดบัวทองคำขาวมามากยิ่งกว่าปีที่แล้ว ทว่าทั้งหมดนั้นล้วนถูกกำหนดมอบให้เสี่ยวเป่า
ชาของเด็กน้อยผู้นี้มีค่ามากยิ่งกว่าชาของรักของหวงของเขาเสียอีก ไหนจะยังเม็ดบัวอีก
ปีนี้เขาได้รับชาและเม็ดบัวเพียงอย่างละหนึ่ง
เสี่ยวเป่าจับมือพี่ใหญ่ให้มานั่งข้างกระถางไฟ จากนั้นตนเองก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย
“เป็นไต้ซือฮุ่ยเยวี่ยนที่มอบให้กับเสี่ยวเป่า!”
เจ้าก้อนแป้งส่ายหัวไปมาอย่างมีความสุข
“เสี่ยวเป่าอยากดื่มชานม”
หนานกงหลีดีดหน้าผากเล็ก ๆ ของนางอย่างแผ่วเบา “ช่างเสียของเหลือเกิน!”
ทว่าเขาก็ยังคงหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้ไปหานมวัวหรือไม่ก็นมแกะมา
เสี่ยวเป่าแกว่งขาสั้น ๆ ของตนเองอย่างมีความสุข พร้อมเอ่ยออกมาเสียงหวาน “ขอบคุณท่านอาเจ็ด~”
หนานกงหลีเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ทว่าท่วงท่าการชงชาและแจกจ่ายให้กับคนอื่นยังคงดูลื่นไหลคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง
“หากอยากดื่มชาคงต้องมาหาเสี่ยวเป่ากับเสด็จพี่เสียแล้ว”
บ้านของเขามีเพียงแค่กระป๋องเดียว หลังจากดื่มหมดก็ไม่มีอีกแล้ว
เสี่ยวเป่าโบกมือน้อย ๆ ด้วยความภาคภูมิใจ “ท่านอาเจ็ดสามารถมาได้ทุกเมื่อ!”
หนานกงจ้านจิบชา มองดูของกินอันงดงามประณีตละเอียดอ่อนทุกชนิดบนโต๊ะตัวเล็กอย่างไม่ค่อยคุ้นชิน
เขามักจะอยู่ในค่ายทหารมาโดยตลอด แม้ว่าอาหารจะมีความประณีตมากกว่าทหารทั่วไปอยู่บ้าง แต่ก็ล้วนมาจากหม้อใหญ่เดียวกันกับแม่ทัพคนอื่น ๆ การดื่มชาก็เพียงแค่ใส่น้ำเดือดชงธรรมดา ไม่เคยมีชาที่ล้ำค่าเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรเสียเมื่อเทียบกับการดื่มชาที่มีค่าดั่งทองคำนี้แล้ว เขาต้องการจะแลกเปลี่ยนชาเป็นทองคำจริง เพื่อให้เหล่าทหารในค่ายได้มีเนื้อกินเพิ่มอีกสักนิดมากกว่า
ถึงจะรสชาติดี แต่ราคามากถึงเพียงนี้ก็ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดเหมือนกัน!
ในฐานะเจิ้นหนานอ๋อง เขาย่อมได้รับเบี้ยหวัด อีกทั้งยังได้มากกว่าน้องเจ็ดเสียด้วยซ้ำ เสด็จพี่มอบที่นา หมู่บ้าน และกิจการให้เขาเป็นจำนวนมาก กล่าวตามหลักเหตุผลแล้ว เขาสมควรร่ำรวยยิ่งกว่าเซียวเหยาอ๋องเสียด้วยซ้ำ
ทว่า…เขาเป็นชายหยาบกระด้างที่ไม่มีความสามารถด้านการบริหารดูแลทรัพย์สินภายใต้ชื่อของตน อีกทั้งใต้บังคับบัญชาของเขายังมีทหารอีกจำนวนมาก แม้ว่าทุกปีจะได้รับเงินและเสบียงไม่มีขาด แต่หากต้องการให้ทหารของตนมีชีวิตความเป็นอยู่และยุทโธปกรณ์ที่ดียิ่งขึ้น ก็จำต้องควักกระเป๋าของตนเอง
เสด็จพี่ของเขาคือฮ่องเต้ กองทัพที่คอยปกปักพิทักษ์อาณาจักรต้าเซี่ยไม่ได้มีเพียงแค่กองทัพของเขา ยังมีกองทัพในพื้นที่แห่งอื่นอีก เสด็จพี่ย่อมไม่สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาได้มากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำให้กองทัพอื่นขุ่นเคือง และเกิดเป็นปัญหาระยะยาวได้
เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องทำด้วยตนเองเท่านั้น
“พี่สี่ ท่านคิดสิ่งใดอยู่หรือ”
หนานกงจ้านที่กำลังดื่มชาด้วยความเหม่อลอย ตอบออกมาทันทีโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินคำถาม
“คิดเรื่องเงิน”
พูดจบแล้วเขาก็รีบเอ่ยต่อทันที “ไม่มีอันใด”
หนานกงหลีตบไหล่เขาด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ลำบากท่านแล้ว ในฐานะอ๋องผู้หนึ่งนับว่าท่านยากจนเป็นอย่างยิ่ง”
สีหน้าของหนานกงจ้านมืดครึ้มลง “เบี้ยหวัดของข้าสูงกว่าเจ้า”
“แต่ท่านใช้จ่ายมากกว่าข้า อีกทั้งยังไม่ได้ใช้เงินเหล่านั้นเพื่อตนเอง”
หนานกงหลีพึมพำออกมา เขารู้ว่าพี่สี่ของตนห่วงใยเหล่าทหารมากเพียงใด จนต้องทนลำบากเช่นนี้
“ในหมู่พี่น้องอย่าได้เกรงใจกันเลย ข้าจะสนับสนุนท่านสองแสนตำลึงเงิน นี่นับเป็นเบี้ยหวัดทั้งปีของจวนข้า”
หนานกงจ้าน “ไม่…”
“อย่าได้เกรงใจไป อย่างมากสุดข้าก็แค่ไม่ออกไปร่ำสุรากับสหายสักครึ่งปี ขอเพียงแค่ข้าไม่ออกไปด้านนอก ก็จะสามารถควบคุมมือตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายมือเติบ!”
นี่ยังรู้ตัวด้วยหรือว่าตนเองใช้จ่ายเงินเก่งยิ่ง
เสี่ยวเป่าชูมือขึ้นพร้อมเอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “เสี่ยวเป่าเองก็สามารถมอบเงินให้ท่านอาสี่ได้เช่นกัน”
กล่าวจบ นางก็หันไปมองทางพี่รองของตนเองแล้วพูดเสริมขึ้นว่า “พี่รองกับท่านพ่อเองก็ด้วย”
หนานกงหลีเลิกคิ้ว “อันใดกัน? ไม่มีส่วนของท่านอาเจ็ดกับพี่ใหญ่เจ้าอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วของตนเองเข้าหากัน “ท่านอาเจ็ดกับพี่ใหญ่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน พี่รองกำลังจะไปเมืองหน้าด่าน ดังนั้นย่อมขาดแคลนเงินเหมือนท่านอาสี่”
คำพูดนี้มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่งจนเขาไม่อาจโต้แย้งได้!
หนานกงฉีซิวแย้มยิ้มอ่อนโยนระหว่างบีบจมูกของเสี่ยวเป่าขยับไปมา “เช่นนั้นพี่ใหญ่เลี้ยงเจ้าเอง ดีหรือไม่”
เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินจริง ๆ ค่าใช้จ่ายของจวนจิ้นอ๋องก็มีไม่มาก อีกทั้งยามสร้างจวนเสด็จแม่ได้มอบทรัพย์สินบางส่วนให้เขา อีกทั้งบางระยะยังคอยส่งตำลึงมาให้ด้วย
ไม่เหมือนกับน้องรองและน้องสาม ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด น้องสามนับได้ว่าขัดสนด้านเงินทองมากที่สุดมาโดยตลอด น้องรองเองก็ต้องทนทุกข์กับความไม่เป็นธรรมมาไม่น้อย วันข้างหน้าเองก็ไร้การสนับสนุนจากตระกูลมารดา
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็เกิดความรู้สึกทุกข์ใจในฐานะพี่ใหญ่ขึ้นมา เขาจึงต้องการจะมอบเงินให้กับน้องรองเช่นเดียวกัน
เสี่ยวเป่าแทะเฉ่าเหมยในมือ แก้มกลม ๆ ขยับไปมาขณะเอ่ยตอบพี่ใหญ่ “เสี่ยวเป่าไม่ถลุงเงิน เลี้ยงง่ายมาก”
เสี่ยวเป่าที่คิดว่าตนเองเลี้ยงง่ายเป็นอย่างยิ่ง จับจ้องไปทางสุราในมือของท่านอาทั้งสองและเหล่าพี่ชาย ก่อนจะเลียปากตนเอง
“สุรามิใช่ว่าหาเงินได้ง่ายมากหรอกหรือ”
กลิ่นหอมยิ่งนัก เสี่ยวเป่าเองก็ต้องการจะดื่มด้วย
เจ้าก้อนแป้งจอมตะกละจับจ้องไม่วางตา