เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 235 ไม่ใช่อันนี้ ก่อนหน้านั้น
บทที่ 235 ไม่ใช่อันนี้ ก่อนหน้านั้น
บทที่ 235 ไม่ใช่อันนี้ ก่อนหน้านั้น
ไม่รู้ว่าการเต้นรำอันน่าตื่นตาตื่นใจจบลงตั้งแต่เมื่อใด น่าเสียดายที่เสี่ยวเป่าได้ดูไปไม่เท่าไหร่
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเสี่ยวเป่าถูกพี่สามห่อไว้ใต้เสื้อคลุม เดี๋ยวก็ป้อนของว่าง เดี๋ยวก็บีบแก้ม ลูบหัว และเกาคางไปมา
แรงที่ใช้กำลังพอดี เสี่ยวเป่าไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตอนที่ถูกลูบหัวเกาคางกลับรู้สึกสบายนิด ๆ เสียด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นเจ้าจิ้งจอกที่แลดูสิ้นหวังอยู่ในอ้อมแขน เขาก็เกาท้องของมันจนรู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว กระทั่งเป็นฝ่ายใช้หัวคลอเคลียพี่สามเสียเอง
เสี่ยวเป่า: …
พี่สามรู้จักเจ้าขนปุยดีเกินไปแล้ว!
“ฮ่องเต้ต้าเซี่ยคิดว่าสุดยอดสาวงามของหนานจ้าวเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
นางรำคนอื่น ๆ เรียงแถวเดินออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงนางรำหลักที่มีท่าทางเหนียมอาย ดวงตาคล้ายกับม่านเมฆมองไปยังชายหนุ่มผู้สง่าผ่าเผย
หนานกงสือเยวียนไม่แสดงสีหน้าใด ๆ น้ำเสียงก็ไร้อารมณ์เช่นกัน “ไม่เลว”
ปากบอกว่าไม่เลว ทว่าสายตากลับไม่ได้มองไปที่นางรำผู้นั้นแม้แต่น้อย
องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวเก็บสีหน้ากลับคืน ฮ่องเต้ต้าเซี่ยผู้นี้ยโสโอหังไม่มีผู้ใดเกิน ไม่ให้เกียรติหนานจ้าวเพียงนี้เชียวหรือ!
ทว่า…การแสดงนี้ยังต้องดำเนินต่อไป เขาได้แต่ตอบกลับไปด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“หนานจ้าวมีความตั้งใจจะผูกสัมพันธไมตรีกับต้าเซี่ย จึงได้เสาะหาหญิงงามผู้นี้มาถวายเพื่อเป็นบรรณาการแด่ฝ่าบาท ปรารถนาให้มิตรภาพระหว่างสองอาณาจักรคงอยู่ต่อไปมิเสื่อมคลาย”
แม้ในใจจะคิดอีกอย่าง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพูดจาให้ดูน่าฟัง
สิ้นคำพูดขององค์ชายสามแห่งหนานจ้าว ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็มิได้ตรัสอันใดเป็นเวลาหลายชั่วลมหายใจ
องค์ชายสามแห่งหนานจ้าว “(▼ヘ▼#)”
เจ้าจงใจใช่หรือไม่ ทำเช่นนี้ข้าก็ทำตัวไม่ถูกน่ะสิ!!
“เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ในที่สุดหนานกงสือเยวียนก็พูดขึ้น น้ำเสียงราบเรียบเหมือนเช่นที่ผ่านมา
องค์ชายสามแห่งหนานจ้าวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ใบหน้าฝืนยิ้มเต็มที ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อน!
“สตรีนางนี้คือสาวงามที่หนานจ้าวเสาะหาและรวบรวมมา ตั้งใจที่จะ…”
หนานกงสือเยวียนขัดจังหวะขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ “ไม่ใช่ประโยคนี้ ก่อนหน้านั้น”
องค์ชายสามแห่งหนานจ้าว: …
ให้ตายเถอะ นี่เจ้ายียวนข้าหรือ!
เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง ทว่าโทสะที่ลุกเป็นไฟกลับแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเย็นเยียบที่คอ ทันทีที่สบเข้ากับนัยน์ตาลุ่มลึกราวกับจะดูดกลืนวิญญาณของฮ่องเต้ต้าเซี่ย ทำเอาเขาสงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นมาทันใด
เขาทำได้เพียงซ่อนสีหน้าและเก็บอารมณ์ที่คุกรุ่นเอาไว้ จากนั้นก็พูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง
“ฮ่องเต้ต้าเซี่ยคิดว่าสุดยอดสาวงามของหนานจ้าวเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยปาก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ใช้คำพูดที่ต่างออกไป
“ธรรมดา”
คนทั้งท้องพระโรง “…”
แววตาตกตะลึงของบรรดาคณะทูตต่างจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่สามารถคืนคำพูดของตนเอง ต่อหน้าขุนนางมากมายได้อย่างหน้าตาเฉย
ท่านเป็นฮ่องเต้นะ เป็นถึงฮ่องเต้แห่งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เชียวนะ!
กษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น วาจาเปรียบได้ดั่งหยก*[1]มิใช่หรือ ทำเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน!
เมื่อเห็นสายตาชวนฉงนของทุกคน ฮ่องเต้ผู้นั้นก็เหยียดหลังตรงยังคงไม่แสดงสีหน้าใด ๆ มือยกสุราขึ้นจิบอย่างไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าบิดเบี้ยวของพวกเขาหันขวับไปมองเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ของต้าเซี่ยด้วยสายตาไม่พอใจ
‘แล้วพวกเจ้าเล่า จะไม่ทำอันใดบ้างหรือ’
ขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ของต้าเซี่ย “…”
พวกเขาดื่มสุรา ประเดี๋ยวก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ประเดี๋ยวก็ก้มมองลงพื้น จงใจไม่สบสายตาอีกฝ่าย
พวกเขาจะไปทำอันใดได้ ฮ่องเต้ของพวกเขาเป็นประเภทที่ค่อนข้างหัวรั้น ไม่ฟังความผู้ใด สนแต่ความคิดของตัวเอง แล้วก็…
พวกข้าเองก็สู้ไม่ได้! ต่อให้รวมคนมากมายเข้าด้วยกันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับเขาเสียด้วยซ้ำ
ในเมื่อสู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเข้าร่วม ฉะนั้นแล้ว…ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ของพวกเขาได้ตรัสสิ่งใดด้วยหรือ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลยนะ
พวกหนานจ้าวกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น เหตุใดพวกต้าเซี่ยถึงได้ประพฤติตนผิดทำนองคลองธรรมกันไปหมด!
โฉมสะคราญที่งดงามและร่ายรำเก่งถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับบอกว่าธรรมดาอย่างนั้นหรือ!
ตาบอดหรืออย่างไร! ไม่เห็นหรือว่าพวกผู้ชายต่างก็จ้องตาเป็นมัน ทว่าเจ้ากลับบอกเพียงว่าธรรมดาเนี่ยนะ!
มิหนำซ้ำยังจงใจกลับคำพูดตอนที่ได้ยินว่าจะมอบสาวงามให้ เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้ ไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าคำพูดเปรียบได้ดั่งทอง วาจาเปรียบได้ดั่งหยกหรืออย่างไรกัน (╯‵□′)╯︵┻━┻
หนานกงสือเยวียนยังคงนิ่งสงบ หนานกงหลีที่นั่งอยู่ด้านล่างแทบจะหัวเราะลั่นออกมา ตอนที่เสด็จพี่กลับคำพูดด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง
ยิ่งได้เห็นสีหน้าโกรธแค้นของพวกหนานจ้าว หากไม่ใช่เพราะเห็นว่ามีคนอื่นอยู่เยอะ เขาคงจะหัวเราะจนท้องแข็งไปแล้ว…
“ฮ่องเต้ต้าเซี่ย ท่าน…”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเรียบ “แสดงจบแล้วก็ออกไปเถิด ต้าเซี่ยของข้ายิ่งใหญ่ปานนี้หาได้ขาดแคลนหญิงงามไม่”
องค์ชายสาม: ไอ้บ้านี่!
โฉมงามนางนั้นได้แต่เดินออกไปด้วยสีหน้ามิสู้ดีนัก
หนานจ้าวถูกหักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าในสายตาของคณะทูตอาณาจักรอื่น ๆ ล้วนไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ
น่า…น่าสมเพชเกินไปแล้ว!
“เสด็จพ่อ”
ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในอาการเงียบงัน หนานกงฉีโม่ก็ลุกออกมาเบื้องหน้า
“นี่เป็นของขวัญจากลูกและเสด็จพี่ เสด็จพี่เดินเหินไม่สะดวก ลูกในฐานะอนุชาจึงขอทำหน้าที่แทนพ่ะย่ะค่ะ” ขณะเดียวกันก็ปรากฏแววภาคภูมิใจบนใบหน้า เขามองพี่ใหญ่ด้วยนัยน์ตายั่วยุ
ในสายตาของผู้อื่น องค์ชายรองตั้งใจจะแย่งความดีความชอบเพื่อกดหัวองค์ชายใหญ่อย่างมิต้องสงสัย
หนานกงฉีซิวโค้งคำนับขณะนั่งอยู่กับที่ สีหน้าแลดูเศร้าหมองและผิดหวังอยู่บ้าง
ทว่าอันที่จริงแล้ว เขาสามารถลุกขึ้นยืนและมอบของขวัญได้ด้วยตัวเอง แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เขาได้ปรึกษาหารือกับเสด็จพ่อและน้องรองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทูตที่มาเยือนในครั้งนี้ มีหลายพวกที่ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว พวกเขาจึงต้องแสดงละครเพื่อล่อให้ศัตรูติดกับดักตัวเอง*[2]
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าขาขององค์ชายใหญ่รักษาจนหายดีแล้ว หนานกงฉีซิวเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องพึ่งพารถเข็นได้เพียงแค่ในพระราชวังและจวนของตัวเองเท่านั้น หากแต่เมื่ออยู่ข้างนอกเขาจะนั่งรถเข็นตามเดิม
หากไม่สืบให้ละเอียดก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า ผู้ที่ขาใช้การไม่ได้มาหลายปีอย่างองค์ชายใหญ่จะสามารถกลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง
นี่ยังไม่รวมกับข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองหลวง เพียงแค่พวกเขาสอบถามเรื่องราวนิดหน่อย สมองของพวกเขาก็จะวาดภาพสองพี่น้องที่ไม่ลงรอยกันและแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูคู่แค้นไปโดยปริยาย
ส่วนเรื่องที่พวกเขาสองคนใกล้ชิดและพูดคุยกันในงานเลี้ยงเมื่อครู่ อันที่จริงล้วนระมัดระวังการแสดงออกทางสีหน้าอยู่ตลอดเวลา ในสายตาของผู้อื่น คล้ายกับว่าสองพี่น้องกำลังโต้เถียงเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ว่าพยายามระงับอารมณ์เอาไว้เนื่องด้วยกำลังอยู่ในงานเลี้ยง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนของหนานกงฉีซิวก็คล้ายกับกำลังอดกลั้น
“น้องรองมิต้องเป็นห่วงไป แม้ข้าจะเดินไม่ได้ แต่ก็ยังมีบ่าวรับใช้คอยช่วยเหลือ”
พูดจบเขาก็กวักมือ บ่าวคนหนึ่งยื่นกล่องไม้จันทน์แดงมาด้านหน้า จากนั้นก็กล่าวทูลเสด็จพ่ออย่างนอบน้อมว่า
“เสด็จพ่อ ลูกอกตัญญูนัก ของขวัญมิได้มีค่ามากมายอันใด มีก็เพียงลายมือที่พอจะมีราคาอยู่บ้าง ลูกเขียนอักษรโซ่ว*[3]ด้วยลายมือไม่ซ้ำแบบ ทั้งหมดร้อยตัวอักษร ขออวยพรให้เสด็จพ่อทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเปิดกล่องไม้จันทน์แดงออก จากนั้นก็ส่งให้ฝูไห่
ฝูไห่วางอักษรโซ่วร้อยตัวลงบนโต๊ะหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท
หนานกงสือเยวียนหยิบขึ้นดู จากนั้นก็พยักหน้า “ลายมือขององค์ชายใหญ่นับวันยิ่งประณีตงดงามนัก ไม่เลวเลย”
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ได้รับคำชม หนานกงฉีโม่ก็คล้ายกับจะไม่ยอมแพ้
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกเองก็เตรียมของขวัญให้เสด็จพ่อเช่นกัน ลูกเดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อเสาะหาช่างเขียนคำอวยพรและพระนามลงบนร่มว่านหมิน*[4]ด้วยตัวเอง ลูกขออวยพรให้เสด็จพ่อมีคุณธรรมเลื่องลือคงอยู่ไปอีกร้อยปี ราษฎรแซ่ซ้องสรรเสริญพ่ะย่ะค่ะ ”
หนานกงสือเยวียน “องค์ชายรองใส่ใจยิ่งนัก”
เพียงเท่านี้ กลิ่นอายการต่อสู้ดุเดือดระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็ได้ปะทุขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
[1] วาจาเปรียบได้ดั่งหยก หมายถึง พูดคำไหนคำนั้น
[2] ติดกับดักตัวเอง มาจากสำนวน (请君入瓮) หมายถึง การใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง
[3] อักษรโซ่ว (寿) หมายถึง อายุยืน
[4] ร่มว่านหมิน (万民伞) ปรากฏสมัยราชวงศ์ชิง ร่มนี้เปรียบเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับราษฎร