เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 238 แล้วเสี่ยวเป่าเล่า
บทที่ 238 แล้วเสี่ยวเป่าเล่า
บทที่ 238 แล้วเสี่ยวเป่าเล่า
“ท่านพ่อลองดื่มเร็ว”
เสี่ยวเป่าตื่นเต้นจนลืมเรียกเขาว่าเสด็จพ่อ
หนานกงสือเยวียนกระแอมหนึ่งทีก่อนจะคว้าแก้วเหล้ามาไว้ในมือ ของเหลวสีม่วงสวยงามแกว่งไปมาในถ้วยแก้วใส สวยงามราวกับงานศิลปะ กลิ่นหอมดึงดูด ทว่าสีสวยงามเช่นนี้ยิ่งชวนให้ผู้คนอดใจลิ้มลองมันไม่ไหว
ทันทีที่เขาลองจิบก็พลันต้องประหลาดใจ
เหล้านี้ไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอม ทว่ายังละมุนลิ้น รสชาติอบอวลในปาก ฤทธิ์ของเหล้านี้สูงกว่าเหล้าที่เขาเคยดื่ม ทั้งยังมีรสชาติหอมหวานขององุ่นอ่อน ๆ ดื่มแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็หลุดออกจากภวังค์แห่งรสชาติอันน่าทึ่งของเหล้านี้ จึงได้พบว่ามีดวงตาหลายคู่กำลังจ้องมาที่เขา
หนานกงสือเยวียน: …
ฮ่องเต้หนุ่มค่อย ๆ จิบเหล้าองุ่นพลางดื่มด่ำไปกับรสชาติของมันอย่างช้า ๆ จนหมดแก้ว ก่อนจะตามด้วยเหล้าพลับ
เหล้าสองชนิดนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าเรื่องคุณภาพนั้นเรียกได้ว่ากินกันไม่ลงเลยทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาพลันคิดไม่ตก เด็กสามขวบหมักเหล้าที่กลมกล่อมและมีเอกลักษณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
“เป็นอย่างไรบ้างเสด็จพี่ รสชาติดีหรือไม่”
หนานกงหลีแทบนั่งไม่ติดเบาะ ดวงตาตื่นเต้นจับจ้องเขาอย่างใจจดใจจ่อ จะขาดก็แต่หางที่สะบัดไปมา นัยน์ตาสีดอกท้ออันทรงเสน่ห์ฉายคำว่า ‘อยากดื่ม’ อย่างชัดเจน
ด้านหนานกงสือเยวียนยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก ทว่าในใจกลับไม่อยากแบ่งปันเหล้าพวกนี้ให้แก่ผู้ใด แม้เหล้านี้จะมีถึงสี่ถังก็ตาม แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอ จึงอยากเก็บไว้กินอีกนานหน่อย
ทว่า…
เขาคงจะดูเป็นคนตระหนี่ไม่น้อย หากไม่แบ่งปันเหล้านี้ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ลิ้มลองสักหน่อย
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนใจกว้าง ทั้งยังไม่ใช่คนที่เห็นแก่ชื่อเสียงหน้าตา แต่ก็ไม่สามารถทำให้ต้าเซี่ยต้องขายหน้าได้
ฉะนั้น… เขาจึงจำใจสั่งให้คนแบ่งเหล้าทั้งสองชนิด และพยายามเก็บสีหน้าไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเขาไม่เต็มใจ ทุกคนจะได้เหล้าชนิดละหนึ่งจอกเท่านั้น ไม่มีมากกว่านั้นแล้ว!
เสี่ยวเป่าชะโงกหน้ามองจอกแก้ว ความปรารถนาในแววตาดวงน้อยกำลังจะกลายเป็นความจริง
ทว่าหนานกงสือเยวียนกลับดันหัวนางไว้พลางเอ่ยอย่างรู้ทัน “เด็กดื่มไม่ได้”
เสี่ยวเป่าทำหน้ามุ่ยพลางพองแก้ม พยายามใช้เสียงเล็ก ๆ โต้เถียงว่า “เสี่ยวเป่าดูเหมือนเด็กสามขวบก็จริง แต่ความจริงแล้ว เสี่ยวเป่าสี่ขวบแล้วนะเพคะ ไม่ใช่เด็กสามขวบอีกต่อไปแล้ว!”
นางอธิบายพร้อมทั้งยกนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วเพื่อยืนยันอีกทาง และเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง!
“สี่ขวบก็ยังเป็นเด็ก”
“ได้อย่างไรกัน หนึ่ง สอง สามขวบเป็นเด็ก หลังจากสามขวบถือเป็นเด็กโต ฉะนั้นเสี่ยวเป่าจึงเป็นเด็กโตที่สามารถดื่มเหล้าได้นิดหน่อยแล้ว”
คนตัวเล็กพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้ตนได้ลองดื่มเหล้า
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะดื่มแก้วเดียว แค่แก้วเดียวได้หรือไม่ ก็กลิ่นหอมมันลอยมาเชิญชวนเสี่ยวเป่าเองนี่เพคะ”
ความอยากมีมากจนมนุษย์คนหนึ่งกลายร่างเป็นแมวน้อยขี้อ้อนจอมตะกละ
หนานกงสือเยวียน “ได้”
ทันทีที่ได้รับอนุญาต ดวงตาเสี่ยวเป่าก็ทอประกาย รีบใช้แขนสั้น ๆ เอื้อมไปหยิบแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าท่านพ่อ
ทว่านิ้วยังไม่ทันได้แตะ จอกเหล้าดังกล่าวก็ถูกเจ้าของนิ้วเรียวฉกไปต่อหน้าต่อตา
หนานกงสือเยวียนจุ่มตะเกียบลงในเหล้าเล็กน้อย ก่อนจะนำมาจ่อตรงปากนาง
“ดื่ม”
เสี่ยวเป่า “…”
ท่านพ่อทำเกินไปแล้ว!
“ซูด!”
หลังได้ลิ้มลองเหล้าน้อยนิดที่ติดปลายตะเกียบ เสี่ยวเป่าก็กอดอกด้วยความโมโหพร้อมหน้ามุ่ยไม่หยุด และแล้วก็สะบัดหน้าหนีวิ่งดุ๊กดิ๊กไปที่อื่น
ในเมื่ออยู่กับท่านพ่อ ท่านพ่อไม่ให้ดื่ม นางก็จะไปอยู่กับพวกพี่ ๆ และท่านอาทั้งสองก็แล้วกัน!
หนานกงสือเยวียนมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กที่กำลังวิ่งจากไปด้วยท่าทางแสนงอนก็ลอบยิ้ม ความหงุดหงิดที่เกิดจากการจำใจแบ่งปันเหล้าแก่ผู้อื่นพลันเบาบางลงไปหลายส่วน
ทันทีที่ได้รับเหล้าทั้งสองชนิดมาอย่างละหนึ่งจอก ผู้คนด้านล่างก็ไม่รอช้า รีบลิ้มลองมันทันที
บางคนชื่นชมสีสันสวยงามของเหล้าผลไม้ บางคนเพียงจิบเบา ๆ ตาก็เป็นประกาย บางคนรีบร้อนเทเหล้าทั้งจอกเข้าปากในคราวเดียว ละเลียดรสชาติที่ยังคงอยู่ในปากไม่จางหายไปโดยง่าย พออยากจะดื่มอีกก็พบว่ามันหมดแล้ว!
ก่อนได้ลิ้มลองเพียงกลิ่นหอมก็เย้ายวน หลังได้ลิ้มลองพลันรู้สึกไม่หน่ำใจ ทว่าเหล้าในจอกก็หมดแล้ว คนทั้งหลายเสียดายที่จอกเหล้าซึ่งทำจากแก้วใสนี้มีขนาดเล็กเกินไป คงจะดีไม่น้อยหากเปลี่ยนเป็นจอกที่ใหญ่กว่านี้!
“ฮ่องเต้ต้าเซี่ย เหล้าที่ท่านพระราชทานนี้รสชาติดีไม่น้อย เพียงแต่จอกแก้วนี้ดูเหมือนจะเล็กไปหน่อย ไม่ทราบว่าท่านพอจะเปลี่ยนเป็นใบที่ใหญ่กว่านี้ได้หรือไม่”
ชาวเผ่าหมานไม่สันทัดเรื่องถ้อยคำอ้อมค้อมสละสลวย จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
หนานกงสือเยวียนหัวเราะในลำคอ อยากได้จอกใหญ่กว่านี้อย่างนั้นหรือ บังอาจนัก!
“ทุกท่านต่างก็เห็น เราเองก็มีเหล้านี้อยู่เพียงน้อยนิด เมื่อครู่แบ่งให้พวกท่านได้ลิ้มลองกันทุกคนแล้ว หากยังอยากจะดื่มอีก หึ… ไม่มีแล้ว”
ความหมายที่ซ่อนอยู่คือ อย่าทำตัวหน้าไม่อายไม่รู้จักพอ
สายตาที่เต็มไปด้วยความหวังหลายคู่พังทลายลงในบัดดล รีบหันไปสั่งให้คนนำเหล้าที่เหลือกลับไป
ทว่าเหล่าคนที่ยังอยากดื่มอีกต่างก็ยกมือไขว่คว้าความว่างเปล่า… ไม่นะ!
หากไม่ใช่เพราะไม่กล้าทำกิริยาไม่เหมาะสมในเวลานี้ เกรงว่าคนตะกละพวกนั้นคงวิ่งมากอดขาเขาร้องไห้คร่ำครวญแล้ว
หนานกงหลีเองก็เลียริมฝีปากเพราะรู้สึกยังไม่หนำใจเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้โง่ จึงเห็นด้วยกับวิธีการของเสด็จพี่
แม้ส่วนแบ่งในตอนนี้จะหมดแล้ว แต่การที่เสด็จพี่ตั้งใจเก็บมันไว้เอง อย่างน้อยวันหน้าเขาก็สามารถไปหาเสด็จพี่เพื่อขอมันอีกได้
หนานกงจ้านดื่มเสร็จก็หันมองเสี่ยวเป่าอยู่หลายครั้ง นัยน์ตาสีมรกตฉายแววประหลาดใจไม่หยุด
“เหล้านี้ เสี่ยวเป่าเป็นคนหมักจริงหรือ”
หนานกงหลีดื่มเหล้าในจอกหมดจนหยดสุดท้ายด้วยความเสียดาย แล้วหันไปมองทางต้นเสียง “แล้วอย่างไร”
“เพียงแต่… นางเพิ่งจะสามขวบ”
เหล้าผลไม้นี้เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เสี่ยวเป่ายังเป็นเพียงเด็กสามขวบ แต่สามารถหมักเหล้าได้รสชาติดีกว่าเหล้าที่พวกเขาเคยดื่มเสียอีก พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเลยหรือ!
หนานกงหลีขบขันทันทีที่เห็นใบหน้าตกตะลึงของพี่สี่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงแกล้งทำเป็นกางพัดในมือแล้วโบกมันเบา ๆ
“ใจเย็น ๆ ก็แค่หมักเหล้าเอง แม้ข้าจะแปลกใจอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอันใดนัก”
หนานกงจ้านมองน้องเจ็ดของตน ก่อนจะกวาดตามองเหล่าหลานชายที่ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย ดูไม่แปลกใจอันใดเลย เขาพลันรู้สึกว่าตนเองคงแก่กว่าจะเข้าใจคนพวกนี้!
หนานกงฉีโม่ยกยิ้มมุมปาก ดวงตาจิ้งจอกก็ยิ้มตาม “เสด็จอาสี่ ท่านเคยเห็นเฉ่าเหมยหรือไม่”
หนานกงจ้านส่ายหัว ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเฉ่าเหมยก็คือตอนที่หลานสาวตัวน้อยส่งพวกมันไปให้เขาที่หนานเจียง เขารบเหนือยันใต้มาก็หลายปี ไม่เพียงแต่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของอาณาจักรใกล้เคียงเป็นอย่างดี ทว่ายังพอจะรู้อีกว่าเฉ่าเหมยนี้ไม่เคยปรากฏในอาณาจักรอื่นมาก่อน
หนานกงฉีโม่คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผลไม้ที่มีนามว่าเฉ่าเหมยนี้ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อนนั้น เป็นเสี่ยวเป่าที่เพาะพันธุ์มันขึ้นมา”
องค์ชายห้ารีบกล่าวสำทับ “เสี่ยวเป่ายังสามารถทำให้ผึ้งเชื่อฟังได้ เสด็จอาสี่ ข้าขอบอกท่านไว้เลยว่า หากจะพูดถึงสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในพระราชวังนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ของเสี่ยวเป่า คนแปลกหน้าอย่าแม้แต่จะคิดบุกรุกเข้าไป หากเข้าไปแล้วก็มีแต่จะถูกผึ้งต่อยจะตัวพรุน ไม่สิ… เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้”
องค์ชายหก หนานกงฉีเฉินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ “ข้าวในนาหลวงของเสด็จพ่อที่เก็บเกี่ยวไปเมื่อเดือนก่อน ได้ผลผลิตมากกว่าแปดร้อยจินต่อหมู่นั้น รวมถึงต้นกล้าเหล่านั้นก็เป็นเสี่ยวเป่าที่เพาะพันธุ์”
ท่าทางภาคภูมิใจราวกับกำลังพูดถึงผลงานของตนเอง
หนานกงฉีซิววางจอกเหล้าแล้วหันมองสีหน้าเสด็จอาสี่ที่เปลี่ยนจากตกใจกลายเป็นมึนงง พลันเขากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“แม้ข้าจะเป็นผู้เสนอแนวคิดการเลี้ยงปลาในนาข้าว ทว่าคนต้นคิดก็คือเสี่ยวเป่า”
องค์ชายสาม หนานกงฉีอวิ๋นเอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่ทุกครั้งที่เขากล่าวชื่นชมน้องสาว เขาจะไม่รู้สึกประหม่าเลยสักนิด
“ที่ข้าคิดค้นเครื่องมือนั้นได้ก็ต้องขอบคุณเสี่ยวเป่าเช่นกัน น้องหญิงเก่งที่สุด”
หลังจากพูดจบเขาก็หดคอก้มลงมองโต๊ะตรงหน้า เขายังเหลือเหล้าอยู่ครึ่งจอก แต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกตะลึง จอกเหล้าของเขาอยู่ที่ใด!
หนานกงฉีอวิ๋นพยายามมองหาจอกเหล้าของตน แต่พี่น้องคนอื่น ๆ ยังคงอวดน้องสาวต่อไป
เสี่ยวชี หนานกงฉีรุ่ย “เสด็จอาสี่ ท่านรู้เรื่องปุ๋ยเพิ่มผลผลิตหรือไม่ นั่นก็เป็นผลงานของเสี่ยวเป่า!”
เสี่ยวปาที่กำลังทำตัวไม่ถูกเอ่ยปากขึ้นบ้าง “เสด็จพี่ พวกท่านล้วนพูดไปหมดแล้ว แล้วข้าจะพูดอันใดเล่า”
องค์ชายสี่ หนานกงฉีอิงยกมือเกาหัวพร้อมกล่าวออกมาตามตรง “ข้าก็ยังไม่ได้พูดเช่นกัน”
แต่ต่อมาเขาก็กล่าวเสริมว่า “เสื้อคลุมขนสัตว์พวกนั้นก็เป็นความคิดของเสี่ยวเป่าเช่นกัน”
เสี่ยวปาพลันนึกออกอีกเรื่องหนึ่งจึงรีบร้อนพูดออกมา
“แล้วก็ ๆ ทุ่งหญ้าด้วย หญ้ามากมายพวกนั้นที่เสี่ยวไป๋และม้าของพี่รองชื่นชอบพวกนั้นก็เป็นเสี่ยวเป่าที่ปลูก!”
หนานกงจ้านรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว หลานสาวตัวน้อยเป็นคนบอกเขาเอง
หนานกงจ้าน “…”
แท้จริงแล้ว… หลานสาวตัวน้อยของเขาเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เขากำลังสับสน แววตาลุ่มลึกจึงมองหาเสี่ยวเป่าโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็พบว่า…
หลานสาวตัวน้อยของเขาอยู่ที่ใด เมื่อครู่หลานสาวตัวน้อยผู้อ่อนโยนยังอยู่ที่นี่มิใช่หรือ
หลังจากความครึกครื้นจบลงแล้ว หนานกงหลีก็ตาลีตาเหลือกมองหาหลานสาวตัวน้อย แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมองหาอย่างไรก็หาไม่พบ
“เสี่ยวเป่าอยู่ที่ใด”
เหล่าพี่ชายที่เพิ่งอวดน้องสาวเสร็จพากันกวาดตามองหาน้องสาว แล้วคนเล่า!
หนานกงฉีอวิ๋นยกมือสารภาพ อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา “เหล้า… เหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งจอกของข้าหายไปด้วย หาอย่างไรก็หาไม่พบ”
ทุกคน “…”
ดีจริง เรื่องกระจ่างแล้ว
แต่เจ้าก้อนแป้งไปแอบดื่มอยู่ที่ใด
และแล้วหนานกงจ้านก็พบว่าคนตัวเล็กแอบเข้าไปดื่มเหล้าอยู่ใต้โต๊ะ
โต๊ะเบื้องหน้าพวกเขาถูกคลุมไว้ด้วยผ้าผืนใหญ่ หากเป็นผู้ใหญ่ก็คงไม่สามารถเข้าไปซ่อนได้ ทว่าสำหรับเสี่ยวเป่าแล้ว มันมีพื้นที่เหลือเฟือให้นางเข้าไปซ่อน
“เจ้าตัวเล็กนี่จริง ๆ เลย ถึงขั้นแอบดื่มเหล้าใต้โต๊ะ!”
หนานกงฉีโม่บีบจมูกกระจิริดของเสี่ยวเป่าส่ายไปมาเพื่อระบายอารมณ์
หนางกงหลีเคาะพัดลงบนหัวนาง “เหล้าล่ะ”
เสี่ยวเป่ามองพวกเขาตาแป๋ว มือเล็ก ๆ ถือจอกเหล้าซ่อนไว้ด้านหลัง ก่อนจะเรอออกมาพร้อมกลิ่นเหล้า
หนานกงฉีซิวจนใจ “ดูท่าคงไม่เหลือแล้ว”
“ไยถึงได้ตะกละเช่นนี้ เวียนหัวหรือไม่”
“เหล้าที่เจ้าหมักมีฤทธิ์แรงกว่าเหล้าทั่วไปมากนะ”
เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ย “เสี่ยวเป่ายังไหว เสี่ยวเป่าดื่มไปแค่นิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ”
นางกล่าวพลางชี้ไม้ชี้มือสะเปะสะปะ
นางเพิ่งจะดื่มไปแค่นิดเดียวเองนะ
เสี่ยวเป่าแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เหล้าที่นางหมักรสชาติดีไม่น้อยเลย คิกคิก