เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 248 หนึ่งพันตำลึง
บทที่ 248 หนึ่งพันตำลึง
บทที่ 248 หนึ่งพันตำลึง
“เซียวเหยาอ๋อง ในเมื่อท่านมีเหล้านี้ เช่นนั้นแล้วเจิ้นหนานอ๋องย่อมต้องมี…”
หนานกงหลียกพัดปิดปากพลางขบขันด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเลศนัย
“ใช่แล้ว เขาก็มี แต่จะขายหรือไม่นั้น… ข้าเองก็มิอาจทราบได้”
เขาพูดพลางยักไหล่
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คนที่หัวไวรีบบึ่งไปหาเจิ้นหนานอ๋องทันที
เจิ้นหนานอ๋องที่จู่ ๆ ก็ถูกรายล้อมด้วยผู้คนมากหน้าหลายตานั้นยังไม่ทันเอื้อนเอ่ยสักคำว่า เขาจะขายเหล้าให้ราชทูตทั้งหลายหรือไม่ ทว่ากำลังตั้งใจเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างน้องเจ็ดกับคนเหล่านั้นต่อ
เหล้าที่เขามีสามารถขายได้อย่างนั้นหรือ
ในฐานะอ๋องผู้น่าสงสารคลังสมบัติว่างเปล่าเช่นเขาแล้ว คำตอบของเจิ้นหนานอ๋องก็คือขายอย่างแน่นอน!
แม้เหล้านี้จะรสชาติดีและเขาเองก็ชื่นชอบอยู่ไม่น้อย แต่เขาจะยอมแบกรับความเจ็บปวดเพื่อเปลี่ยนเหล้าเป็นเงิน เขาจะได้มีเงินซื้ออาหารซื้อหญ้าเลี้ยงม้าเลี้ยงทหารในกองทัพของเขา
ยิ่งในยามที่เหล้าขายได้ราคาสูงเช่นนี้เขายิ่งต้องรีบคว้าโอกาสไว้
หนานกงหลีรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อเห็นพวกเขาอยากจะรีบควักเงินออกมาจ่าย แต่ก็ต้องแสร้งทำหน้าลำบากใจ
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกท่านมีกันไม่น้อย แต่ข้ามีเหล้าเพียงสองถัง หากข้าขายมันให้คนใดคนหนึ่ง คนที่เหลือย่อมต้องไม่พอใจเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะแบ่งเหล้าใส่ขวด แต่ละขวดมีขนาดเท่ากัน ราคาขวดละหนึ่งพันตำลึงเงิน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเหล้านี้ได้ ฉะนั้นแต่ละคนจะสามารถซื้อเหล้าได้มากสุดเพียงสามขวดเท่านั้น”
เมื่อได้ยินราคาที่เจ้าเจ็ดเสนอ หนานกงจ้านเกือบจะพ่นชาในปาก
หนึ่งพันตำลึงเงิน นี่มันไม่ใช่เหล้าแล้ว แต่เป็นเงิน!
แม้ราคาที่ตั้งจะสูง แต่กลับไม่มีผู้ใดโต้แย้ง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขากลับไม่พอใจที่สามารถซื้อเหล้าได้เพียงคนละสามขวดเท่านั้น มันน้อยเกินไป!
หนานกงจ้าน “…”
ในใต้หล้านี้เขามีคนเดียวที่ขัดสนใช่หรือไม่ อ๋องอย่างเขา… ร่ำรวยไม่ได้ครึ่งของขุนนางเหล่านั้นด้วยซ้ำ
คิดแล้วน้ำตาจะไหล
หลังจากตกลงกันแล้ว แทบทุกคนที่ซื้อเหล้าบอกว่าพวกเขาต้องการเหล้าสามขวด
แต่หนานกงหลีกลับไม่ตอบรับพวกเขาในทันที ทั้งยังกล่าวต่ออีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหล้าแต่ละถังจะแบ่งได้กี่ขวด ฉะนั้นต้องรอจนกว่าจะกลับเมืองหลวงเสียก่อนค่อยเจรจากันอีกที
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายไปแล้ว หนานกงจ้านก็เดินตามหลังหนานกงหลีมาเงียบ ๆ
“พี่สี่ ท่านว่าวันนี้เสด็จพี่จะยังล่าหมีได้อีกหรือไม่ ไม่สิ เมื่อวานล่าหมีได้ก็เพราะบังเอิญ ยามนี้พวกหมีคงกำลังจำศีล ไม่รู้ว่าเสด็จพี่จะล่าเสือได้หรือไม่ หนังเสือนี่ห่มได้อุ่นมากนะ”
เขาพลางพูดพลางเดิน แต่แล้วก็พบว่าไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้างหลัง
พอหันกลับไปมองก็เห็นพี่สี่ของตนกำลังพึมพำบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จึงขยับเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อแอบฟัง
“เหล้าหนึ่งขวดมีราคาหนึ่งพันตำลึงเงิน เหล้าหนึ่งถังที่เสี่ยวเป่ามอบให้น่าจะแบ่งได้ประมาณยี่สิบขวด ยี่สิบขวดเป็นเงินสองหมื่นตำลึง สี่สิบขวดเป็นเงินสี่หมื่นตำลึง ธัญพืชหนึ่งต้านสามตำลึง ข้าวหนึ่งต้านห้าตำลึง ด้วยเงินจำนวนนี้สามารถซื้อธัญพืชได้…”
หนานกงหลี “…”
เขาคิดไว้แล้วว่าพี่สี่ต้องกำลังนึกถึงบางอย่างอยู่ เขาพูดด้วยตั้งเยอะแต่กลับไม่เข้าหูพี่สี่เลยสักนิด ที่แท้เขาก็กำลังคำนวณเงินอยู่นี้เอง
จุ๊ ๆ พี่สี่น่าสงสารมาก เขาได้เงินจากการขายเหล้า แต่ไม่ได้ใช้จ่ายกับตัวเองเลย
หนานกงหลีไม่ปฏิเสธว่าการกระทำเช่นนี้ยอดเยี่ยมมาก เขาเองก็นับถือใจพี่สี่และเสด็จพี่มาก ทว่าหากจะให้เขาเจริญรอยตามสองคนนั้นแล้วละก็… บอกเลยว่าเขาทำไม่ได้
เขาน่ะ… เพียงอยากจะกินดื่มไปวัน ๆ และใช้ชีวิตให้มีความสุขก็เท่านั้น
เมื่ออ๋องทั้งสองเดินทางมาหาหนานกงสือเยวียน ก็พบว่าเขากำลังสอนเสี่ยวเป่าเขียนชื่อตนเองอยู่
เจ้าตัวน้อยถือพู่กันไว้ในมือ ดวงตาจับจ้องที่กระดาษขาวนวลด้วยความแน่วแน่ มือใหญ่ของท่านพ่อก็จับมือนางเขียนชื่อนางลงบนกระดาษทีละขีด ๆ
หนานกงจิ่นซี
นางจ้องคำว่าจิ่นพลางขมวดคิ้วเป็นปม
“ท่านพ่อ เหตุใดชื่อของเสี่ยวเป่าถึงได้เขียนยากกว่าชื่อของท่าน!”
หนานกงสือเยวียน “ฝึกฝนให้มาก อีกหน่อยก็เขียนได้”
เสี่ยวเป่าหน้ามุ่ยแต่ก็ส่งเสียงตอบรับว่าเข้าใจ ทว่ายังดีที่ท่านพ่อจับมือนางเขียน หากนางต้องเขียนด้วยตัวเอง อักษรที่มีขีดเยอะเช่นนี้คงได้เละไม่เป็นท่าแน่
“เสี่ยวเป่า ลองทายดูซิว่าเหล้าที่เจ้าหมักขายได้ราคาเท่าใด”
เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นางสนใจยิ่งนัก รีบผึ่งหูฟังทันที
“ข้าจะแบ่งเหล้าใส่ขวดขาย แต่ละขวดมีราคาเท่านี้”
เขายกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว
เสี่ยวเป่า “หนึ่งร้อย!”
“ผิด มากกว่านั้น”
เสี่ยวเป่าอ้าปากค้าง หนานกงสือเยวียนก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน
แม้จะมีคำคำกล่าวที่ว่า ขุนนางควรปฏิบัติต่อเงินเหมือนมูลสัตว์ แต่ผู้ใดบ้างจะไม่ชอบเงิน
โดยเฉพาะผู้มีฐานะฮ่องเต้อย่างเขา หนานกงจ้านเพียงต้องดูแลคนทั้งกองทัพ แต่หนานกงสือเยวียนต้องดูแลคนทั้งอาณาจักร
ถึงเขาจะแข็งแกร่งเรืองอำนาจ แต่อำนาจก็มิอาจเปลี่ยนเป็นเงินได้ ในการประชุมขุนนางสิบครั้ง เหล่าขุนนางในราชสำนักที่เคยพร่ำบอกว่าเงินทองไม่สำคัญ ทะเลาะกันเรื่องเงินไปแล้วแปดครั้ง
ฉะนั้นแล้ว… เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้ก็ขาดแคลนเงินและอาหารเช่นกัน
เหล้าหนึ่งขวดราคาหนึ่งพันตำลึง!
แม้หนานกงสือเยวียนจะยังคงมีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม แต่ในใจของเขา… กำลังเริ่มคำนวณเช่นเดียวกับหนานกงจ้านว่า หากขายเหล้านี้เขาจะสามารถช่วยเหลือคนได้กี่มากน้อย
เสี่ยวเป่าตื่นเต้นที่สุด “ปีหน้าเสี่ยวเป่าจะหมักเหล้าอีก!”
เด็กน้อยค้นพบเส้นทางรวย
หนานกงสือเยวียนเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่ว่าเจ้าต้องการผลไม้ชนิดใด ที่ในนาหลวงของข้าล้วนปลูกมันได้”
ใช้ที่ดินบนภูเขาปลูกผลไม้ ไม่ต้องเสียไร่นาอุดมสมบูรณ์ก็ยังหาเงินได้ นี่มันกำไรเห็น ๆ
หนานกงหลี “ข้าด้วย ๆ ที่ดินศักดินาของข้าก็ปลูกได้ อาเจ็ดย่อมต้องสนับสนุนเจ้าอยู่แล้ว!”
เห็นหรือไม่ว่าหลานสาวตัวน้อยเป็นดาวนำโชคจริง ๆ ด้วย
อิจฉา! อิจฉาเสด็จพี่เหลือเกิน
ส่วนหนานกงจ้านก็ออกปากว่าเขาจะร่วมด้วย!
จากนั้นคนทั้งสี่จึงปิดประตูเพื่อหารือถึงแผนการสร้างรายได้มาเติมเต็มท้องพระคลังและคลังเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าก่อนการล่าสัตว์จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
การล่าสัตว์ในฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะเหยื่อจำนวนมากมักจะจำศีล ไม่ออกมาให้เห็นได้ง่ายนัก
แต่ผู้ใดใช้ให้โอรสสวรรค์ถือกำเนิดในยามที่อากาศหนาวเช่นนี้กันเล่า
ทว่าการควบม้าท่ามกลางหิมะขาวก็ไม่เลวเลยจริง ๆ
เสี่ยวเป่ามาส่งท่านพ่อก่อนแล้วจะไปหาพี่ใหญ่ เพื่ออยู่เล่นกับเขาสักพักหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปเล่นกับพี่ชายทั้งสามคน
หนานกงฉีซิวสวมหมวกขนสัตว์ เสื้อคลุม และถุงมือให้นาง พร้อมกำชับเสียงอ่อนโยนว่าห้ามไปไกลเกินไป
“อากาศหนาว อย่าได้ถอดถุงมือเชียว”
ตั้งแต่เสี่ยวเป่ามอบถุงมือให้เสด็จพ่อในงานเลี้ยงวันนั้น ต่อมาพวกเขาทุกคนต่างก็ได้รับถุงมือที่มีเอกลักษณ์และสีแตกต่างกัน เสี่ยวเป่าเองก็มีของตัวเองหนึ่งคู่
การสวมถุงมือในสภาพอากาศเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้อุ่นขึ้นแล้ว ยังสามารถปกป้องมือจากการโดนหิมะกัดได้อีกด้วย
ตอนนี้แม้แต่ขุนนางของต้าเซี่ยก็มีถุงมือคนละคู่
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟังพร้อมเอ่ยตอบเสียงหวาน “เสี่ยวเป่าทราบแล้วเพคะ พี่ใหญ่หากท่านคิดถึงเสี่ยวเป่าก็ให้คนมาตามนะเพคะ เสี่ยวเป่าจะกลับมาหาท่านทันที!”
นางพูดพลางเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มใบหน้าหล่อเหลาของเขา
“บ๊ายบ๊ายพี่ใหญ่ ท่านเองก็สวมถุงมือด้วย”
หนานกงฉีซิวยกยิ้มนุ่มนวลพลางลูบหัวเล็ก ๆ แล้วพยักหน้า
ในระหว่างที่กำลังเดินจากไปพร้อมกับพี่ชายทั้งสาม เสี่ยวเป่าก็ยังอุตส่าห์หันกลับมามองเขา
ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่บนรถเข็นที่มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด นุ่มนวลประดุจหยกล้ำค่า สง่างามในชุดสีขาวบริสุทธิ์ สุภาพอ่อนโยนราวกับเทพเซียน น่ามองจนไม่อยากละสายตา