เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 256 กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงทราบสิ่งที่ท่านทำหรือไม่
- Home
- เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช
- บทที่ 256 กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงทราบสิ่งที่ท่านทำหรือไม่
บทที่ 256 กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงทราบสิ่งที่ท่านทำหรือไม่
บทที่ 256 กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงทราบสิ่งที่ท่านทำหรือไม่
“ท่านพี่ สุราหรือไม่”
หนานกงฉีโม่แสยะยิ้มให้จี้หนานอ๋อง ท่าทางยโสโอหังยิ่ง จากนั้นก็วางไหสุราลงบนโต๊ะข้าง ๆ
ทันทีที่เปิดออก กลิ่นสุราอันคุ้นเคยก็ลอยฟุ้งออกมา
จี้หนานอ๋องที่ยังคงรู้สึกอัดอั้นตันใจก็มิวายหันไปทางกลิ่นอย่างช่วยไม่ได้
“องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง พวกท่านเองก็มีเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับเก็บไว้ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าองค์หญิงน้อยผู้นั้นจะให้สุราแก่เสด็จพ่อและเสด็จอาอีกสองคนของนางโดยไม่มีเหลือให้พี่ชายเลย
หนานกงฉีซิวเผยรอยยิ้มเจื่อน “จริงของท่าน แต่น่าเสียดายที่มีไม่มากนัก หากจี้หนานอ๋องอยากจะ…”
“อยาก”
จี้หนานอ๋องพยักหน้าอย่างว่องไวโดยไม่รีรอให้เขาพูดจบ เผลอหลงลืมคำว่าเกรงใจไปชั่วขณะ
มีอันใดให้ต้องเกรงใจกันอีก ถูกหลอกอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจยุยงให้ทั้งสองผิดใจกันจริง ๆ แต่เขาก็เล่นหมากล้อมกับองค์ชายใหญ่นานถึงเพียงนี้ ทั้งยังถูกปฏิบัติราวกับเป็นตัวตลก เขาก็ต้องได้อะไรตอบแทนในความเหนื่อยยากบ้างมิใช่หรือ
หากเขาจะขอสุราก็คงไม่มากเกินไปกระมัง
หนานกงฉีซิว “…ข้าแบ่งให้ท่านได้เพียงหนึ่งไหเท่านั้น”
จี้หนานอ๋องรู้สึกว่าสุราเพียงไหเดียวนั้นน้อยเกินไป ไม่พอให้เขาดื่มสองวันเสียด้วยซ้ำ
แต่พอคิดว่าเจ้าพวกข้างนอกนั่นเกือบจะทะเลาะกันเพียงเพื่อสุราอันน้อยนิดโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรี จี้หนานอ๋องพลันรู้สึกว่าได้สุราเพิ่มมาอีกไหก็ถือว่ามีชัยแล้ว!
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเป็นอันตกลง
เหตุที่หนานกงฉีซิวมิได้สร้างความลำบากใจให้แก่จี้หนานอ๋อง ก็เพราะถึงอ๋องแห่งเป่ยเยว่ผู้นี้จงใจยุแยงให้เกิดความร้าวฉานจริง ทว่าเขาทำไปทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้อมูลที่เขาสืบทราบมา ซึ่งถูกพวกเขาชักจูงให้เกิดความเข้าใจผิด มิหนำซ้ำยังไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อเป่ยเยว่
จี้หนานอ๋องมิเคยพูดสิ่งใดที่เป็นการหมิ่นเกียรติตัวเขาหรือน้องรอง เป็นแผนร้ายที่มิได้ปิดบังแต่อย่างใด จุดนี้เองจึงไม่รู้สึกว่าเป็นที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์ หากว่าเป็นเขา สถานการณ์เช่นนี้ไม่แน่ว่าบางทีก็อาจจะทำเช่นเดียวกัน
“จี้หนานอ๋อง ทุกสิ่งที่ท่านทำลงไป กษัตริย์ของท่านรับรู้บ้างหรือไม่”
หนานกงฉีโม่เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเฉื่อยชา ยกขาขึ้นพาดพลางกระดกสุรา ท่าทางดูยโสทว่าสง่างาม
จี้หนานอ๋องเหลือบมองเขาอยู่หลายทีอย่างอดไม่ได้ ช่างยากจะจินตนาการได้ว่าองค์ชายที่สูญเสียการสนับสนุนจากตระกูลมารดา ซ้ำมารดายังถูกขับไล่ให้ไปอยู่สำนักชี ไร้ซึ่งวาสนาต่อราชบัลลังก์ตลอดไป บัดนี้กลับดูสบายอารมณ์ยิ่งนัก
องค์ชายรองที่เขาเคยเจอ แม้ดวงตาจะแฝงรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั่นเป็นเพียงเปลือกนอก ดูห่างเหินเย็นชา ทั้งใบหน้าที่ปรากฏรอยเศร้าหมอง เห็นได้ชัดว่าอารมณ์แปรปรวนไม่น้อย
แต่ว่าตัวเขาในยามนี้คล้ายกับปลดเปลื้องพันธนาการบนร่างออกจนหมด เริ่มสดใสและมีชีวิตชีวา กระทั่งดูโดดเด่นเสียยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อองค์ชายใหญ่อย่างแท้จริง
คิดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ ราชวงศ์นี้มีที่สำหรับมิตรภาพพี่น้องชวนให้อบอุ่นหัวใจเช่นนี้ด้วยหรือ
จี้หนานอ๋องตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ
“เสี่ยวเป่า!”
เสียงของหนานกงฉีโม่ขัดจังหวะห้วงความคิดของเขา เมื่อหันไปตามเสียงก็พบเข้ากับองค์หญิงน้อยผู้นั่งดูเรื่องสนุกอยู่อีกด้านมาโดยตลอด กำลังแอบย่องมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้ มือน้อย ๆ ปัดป่ายไปมาพยายามขโมยสุราอย่างเงียบเชียบ
เสี่ยวเป่ากอดไหสุราเตรียมจะวิ่งหนีแต่ถูกหิ้วจนตัวลอย ขาสั้นป้อมปัดป่ายในอากาศ ศีรษะลู่ลงพลางทำแก้มป่องอย่างไม่พอใจราวกับลูกปลาทอง
“แอบขโมยสุราอีกแล้วนะ”
หนานกงฉีโม่อุ้มนางไว้ในอ้อมแขน และดีดหน้าผากใสกลมเกลี้ยงเบา ๆ จากนั้นก็หยิบไหสุราคืนไป
“พวกท่านทำเกินไปแล้ว สุราของเสี่ยวเป่าแต่ไม่ให้เสี่ยวเป่าดื่ม!”
ใบหน้างดงามฉายแววน้อยอกน้อยใจ
หนานกงฉีซิวแย้มยิ้มอ่อนโยนราวกับสายลม มือบีบแก้มนุ่มนิ่มที่พองโตของนาง
“เจ้านี่นะ เสด็จพ่อบอกแล้วมิใช่หรือว่าดื่มได้แค่ครึ่งเดือนครั้ง”
เสี่ยวเป่าทำแก้มป่องพลางมองไหสุราตาปริบ ๆ ทั้งยังลอบกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อก ดูตะกละตะกลามที่สุด
“แต่ว่า…มันหอมมากเลยนี่นา พี่ใหญ่ให้เสี่ยวเป่าดื่มนิดหนึ่งนะ พวกเราไม่บอกเสด็จพ่อก็ได้นี่นา”
หนานกงฉีโม่บีบจมูกของนางเบา ๆ “เจ้าเข้าใจความสามารถในการดื่มของตัวเองผิดไปหรือเปล่า ดื่มนิดเดียวก็เมาจนหน้าแดงแล้ว เจ้าคิดหรือว่าเสด็จพ่อจะไม่รู้”
เสี่ยวเป่าไม่พูดไม่จา อีกทั้งยังไม่ยอมรับ เพียงกอดอกพลางทำเสียงฮึดฮัดอย่างดื้อรั้นไม่ยอมแพ้
หนานกงหลี “เสี่ยวเป่ามานี่เถอะ หากพวกเขาไม่ให้ อาเจ็ดจะให้เอง”
ดวงตาเสี่ยวเป่าเป็นประกาย จากนั้นก็รีบวิ่งไปหาอย่างว่าง่ายและถูกท่านอาเจ็ดคว้าตัวเอาไว้
“ไปกัน พวกเราใช้ลูกไม้กับเสด็จพี่นิดหน่อย หากเจ้าอ้อนเขาต้องยอมแน่”
จากนั้นก็หันหลังเดินไปโดยที่เสี่ยวเป่าไม่ทันได้ตั้งตัว โซซัดโซเซไปจนถึงทางเข้ากระโจม แต่จู่ ๆ ก็วกร่างกลับมาและคว้าไหสุราที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งด้วยความว่องไวแล้ววิ่งออกไป
สามคนในกระโจมที่เหลือ “…”
หนานกงฉีโม่ตะโกนด้วยความไม่พอใจ “เสด็จอาเจ็ดจะเกินไปแล้วนะ!”
เขาลุกขึ้นยืนและรีบไล่ตามออกไป เสด็จอาที่กล้าขโมยสุราของหลาน เห็นทีจะมีเพียงหนานกงหลีผู้ไร้ยางอายคนเดียวเท่านั้น!
ไม่นานภายในกระโจมก็เหลือเพียงจี้หนานอ๋องและหนานกงฉีซิว
จี้หนานอ๋องมองทางเข้ากระโจมด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่อย่างไรเสีย สุรานี้องค์ชายรองก็เป็นคนนำมา หากอ๋องแห่งเป่ยเยว่อย่างเขาไล่ตามไปด้วยก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ
“กษัตริย์เป่ยเยว่ทรงทราบสิ่งที่ท่านทำหรือไม่”
เมื่อภายในกระโจมเงียบลง หนานกงฉีซิวก็เอ่ยถามในสิ่งที่หนานกงฉีโม่พูดขึ้นก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ต่างกันตรงที่ครั้งก่อนแฝงไปด้วยน้ำเสียงเสียดสีและยั่วยุ ทว่าครั้งนี้หนานกงฉีซิวกำลังถามด้วยความจริงจัง
จี้หนานอ๋องนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาประชันหมากกับองค์ชายใหญ่ต่อไป พลันดื่มสุราที่เหลืออยู่ในจอกเพียงน้อยนิดไม่ลง
“เกรงว่าจะเป็นความคิดของท่านเองสินะ”
หนานกงฉีซิวเผยรอยยิ้มทางแววตา ให้ความรู้สึกอ่อนโยนไร้อันตราย
แต่จี้หนานอ๋องมิเชื่อในท่าทีเหล่านั้น
“แล้วอย่างไรหรือ”
หนานกงฉีซิววางหมากขาว น้ำเสียงฟังดูหนักแน่นและมั่นใจ “กษัตริย์แห่งเป่ยเยว่แก่ตัวลงทุกที ความเคลือบแคลงสงสัยนับวันก็ยิ่งทบทวีหนักข้อขึ้น เขาไม่เพียงหวาดระแวงในตัวบุตรชายที่เติบใหญ่และค่อย ๆ เผยเขี้ยวเล็บ แต่เหล่าอ๋องทั้งหลายเองก็ใช่ว่าจะวางใจ โดยเฉพาะโอรสผู้เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิผู้ล่วงลับแห่งเป่ยเยว่ นอกจากองค์รัชทายาทที่สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ก็เหลือองค์ชายห้าผู้มีคุณธรรมและความสามารถไม่ด้อยไปกว่าองค์รัชทายาท จริงหรือไม่…จี้หนานอ๋อง”
จี้หนานอ๋องถือตัวหมากค้างอยู่นาน ครู่ต่อมาเขาถึงได้วางหมากดำลงบนกระดาน
“องค์ชายใหญ่ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากผู้ใดหรือ เหตุใดข้าถึงมิเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน” จี้หนานอ๋องดูสงบนิ่ง แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนบีบตัวหมากแรงเกินไปจนปลายนิ้วเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว
หนานกงฉีซิวเพียงยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ตอบกลับ จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “น่าเสียดาย แม้อดีตฮ่องเต้แห่งเป่ยเยว่ต้องการจะรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง แต่ช่วยไม่ได้ที่อำนาจในมือของพวกขุนนางนั้นแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งยังไม่มีอำนาจทางการทหารในมือ ซ้ำด้วยพระวรกายอ่อนแอ ยิ่งองค์รัชทายาทผู้เป็นที่รักก็มาด่วนจากไปทำให้สุขภาพทรุดโทรมหนัก
ทว่าสุดท้ายแม้ในใจจะอยากยกบัลลังก์ให้แก่องค์ชายห้าเพียงใด แต่ก็รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นแล้วก็เท่ากับเป็นการบีบให้บุตรชายคนที่ห้าของตนต้องเดินบนเส้นทางสู่ความตาย เพราะเหตุนี้ในท้ายที่สุด ด้วยแรงกดดันจากทุกทิศทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากมอบบัลลังก์ให้องค์ชายรองผู้ซึ่งในยามนั้นตระกูลมารดากุมอำนาจทางทหารเอาไว้ และเมื่อองค์ชายห้าผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความสามารถได้ขึ้นเป็นอ๋อง เขาก็จะค่อย ๆ จางหายไปจากสายตาของผู้คน เป็นเพียงท่านอ๋องผู้อ่อนน้อมถ่อมตน ไร้ซึ่งอำนาจอย่างแท้จริง”