เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 257 ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง
บทที่ 257 ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง
บทที่ 257 ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง
จี้หนานอ๋องทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทิ้งตัวหมากในมือลงบนกระดานโดยไม่สนสิ่งใด เพียงจ้องหนานกงฉีซิวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านตั้งใจจะพูดสิ่งใดกันแน่”
ใช่แล้ว เขาก็คือองค์ชายห้าผู้แสนอาภัพคนนั้น
หนานกงฉีซิวดึงตัวหมากในมือกลับมาอย่างแช่มช้า “ข้าเพียงนึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ เพราะว่าหมู่นี้จี้หนานอ๋องกับข้าคลุกคลีอยู่ด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ท่านว่าหากข่าวนี้แพร่งพรายไปถึงเป่ยเยว่ กษัตริย์ของพวกท่านจะยินดีเชื่อว่าที่ท่านยุข้าให้แตกคอกับน้องรองเป็นการทำเพื่อเป่ยเยว่ หรือเชื่อว่าท่านวางแผนก่อกบฏด้วยการดึงข้าไปเป็นพวก”
ทั้ง ๆ ที่น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูอ่อนโยน แต่ราวกับเป็นคมดาบที่ทิ่มแทงลงบนตัวเขา
สีหน้าของจี้หนานอ๋องย่ำแย่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งคำถามนี้ไม่จำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้มากความ กษัตริย์เป่ยเยว่ พระเชษฐาของเขาจะต้องเลือกเชื่ออย่างหลังโดยไม่ต้องสงสัย
จี้หนานอ๋องยิ้มขมขื่น “องค์ชายใหญ่ท่านช่าง…เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง”
หนานกงฉีซิว “ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น หวังว่าจี้หนานอ๋องจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”
ก่อนนี้เป็นเขาที่พยายามยุยงให้สองพี่น้องผิดใจกัน ทว่าตอนนี้กลับเป็นตัวเขาที่ต้องทนทุกข์เสียเอง
มิหนำซ้ำสิ่งที่องค์ชายใหญ่พูดมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มันเป็นแผนการในที่แจ้ง*[1]
เขาเคยใช้กลยุทธ์เปิดเผยเช่นนี้มาแล้ว แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือความไม่ลงรอยระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองแห่งต้าเซี่ยเป็นเพียงภาพลวงตา ดังนั้นแผนการนี้จึงไม่เป็นผล ทว่าทางฝั่งของเขากลับเป็นเรื่องจริง
จี้หนานอ๋องเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อถึงขั้นคิดจะยกบังลังก์ให้
แต่ว่าเขาห่วงใยเป่ยเยว่มากเกินไป อาวรณ์ดินแดนที่เสด็จพ่อของตนมีชัยเหนือพวกมัน อีกทั้งตัวเขาเองก็เห็นหนทางข้างหน้าของเป่ยเยว่ได้อย่างชัดเจน จึงยอมเสี่ยงอันตรายเข้าหาองค์ชายใหญ่ด้วยความเข้าตาจน เพื่อให้อาณาจักรเป่ยเยว่อยู่รอดต่อไปให้นานที่สุด
เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้ย่อมเป็นการชักนำให้เสด็จพี่เกิดความเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะทำ
ทว่าองค์ชายใหญ่ผู้เยาว์วัยกลับยกเรื่องนี้ออกมาพูดในที่แจ้งเพื่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับมัน
ความคิคอ่านของชายหนุ่มนับว่าน่ากลัวยิ่งนัก
ยามที่ตนพยายามชักจูงให้สองพี่น้องร้าวฉาน เขายังสามารถรวบรวมข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตนโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ทั้งยังตอบโต้ด้วยความใจเย็นในเวลาเช่นนี้
จี้หนานอ๋องพูดพลางเผยยิ้มขมขื่น “ข้ารู้ดีว่าการทำให้เป่ยเยว่ฟื้นคืนกลับมาเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็มิอาจทนเห็นเป่ยเยว่ต้องเสื่อมอำนาจและสูญสิ้นโดยมิได้ทำสิ่งใดได้”
ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าแท้จริงแล้วสถานการณ์ของเป่ยเยว่ในเวลานี้ยื้อยุดต่อไปได้อีกไม่นาน การแย่งชิงอำนาจภายในระหว่างองค์ชาย และแม้แต่การช่วงชิงอำนาจระหว่างกษัตริย์กับพระโอรส หรือระหว่างขุนนางฝ่ายต่าง ๆ ล้วนเป็นความไม่สงบที่เกิดขึ้นภายใน
ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าก็คือก่อนหน้านี้เป่ยเยว่ประสบกับภัยแล้ง เหล่าขุนนางไม่เพียงล้มเหลวในการรับมือภัยพิบัติ แต่ยังขึ้นภาษีเพราะการแย่งชิงอำนาจภายในราชสำนักระหว่างองค์ชาย ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์อันตึงเครียดระหว่างราษฎรและขุนนางในเวลานี้ ถึงขั้นมีกองกำลังกบฏเกิดขึ้นในหลายพื้นที่
แม้ว่ากลุ่มกบฏเหล่านี้จะยังทำไม่สำเร็จ แต่ในภายภาคหน้ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นบราวนี่ออนไลน์
ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกพวกอนารยชนอย่างเผ่าซยงหนูและเผ่าทูเจวี๋ย*[2]จ้องจะรุกราน หากไม่มีแม่ทัพคนใดกำราบได้ เป่ยเยว่ก็ไม่ต่างจากแกะตัวอ้วนพีที่ใครเห็นก็อยากจะฉีกทึ้ง
ศัตรูของเป่ยเยว่ย่อมขาดต้าเซี่ยไปไม่ได้
เหตุที่จี้หนานอ๋องกังวลว่าต้าเซี่ยจะรุกล้ำกลืนกินเป่ยเยว่นั้นเป็นเพราะว่าในสายตาของเขา อาณาจักรอื่นล้วนเป็นหมาป่าดุร้ายที่เป็นภัยคุกคามต่อเป่ยเยว่ เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น
ทว่าต้าเซี่ยนับว่าต่างออกไป พวกเขาคือพยัคฆ์ ซ้ำยังเป็นพยัคฆ์ที่โตเต็มวัย ขอเพียงต้องการ ภายใต้การนำของหนานกงสือเยวียน แม้จะเป็นเป่ยเยว่ในยามนี้ก็มิอาจต้านทานไหว
จี้หนานอ๋องกระดกสุราพลางพูดเสียงอู้อี้ในลำคอ “เป่ยเยว่ไม่เหมือนต้าเซี่ย ตระกูลขุนนางครอบครองดินแดน อำนาจทางการทหารกระจัดกระจาย ทว่าอำนาจนี้มิได้อยู่ในมือกษัตริย์ แม้แต่เสด็จพี่ของข้าในตอนนี้ก็ถูกตรึงจากทุกทิศทาง
ยามที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็คิดจะเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง แต่เขามิได้มีจิตใจกล้าหาญและเด็ดขาดพอเหมือนกับเสด็จพ่อของท่าน ทว่าไม่ใช่กับองค์รัชทายาท พี่ชายของข้า ดังนั้นท่านพี่จึงมิได้เป็นเพียงพระโอรสของเสด็จพ่อ แต่ยังเป็นเหมือนกับไพ่ตายในมือ
ทว่าเขายังเยาว์วัยเกินไป ต่อให้มีความสามารถเพียงใด ก็มิอาจสู้รบตบมือกับจิ้งจอกเฒ่าพวกนั้นได้ ท้ายที่สุดเมื่อพี่ใหญ่ขัดขวางผลประโยชน์ของพวกมัน ขุนนางพวกนั้นก็ร่วมมือกันเพื่อสังหารเขา
นับแต่นั้นมา เสด็จพ่อก็เหมือนถูกดูดกลืนลมหายใจไปจนหมดสิ้น พระวรกายค่อย ๆ ทรุดโทรม ภาพที่พี่ใหญ่ของข้าเพียรสร้างเอาไว้พลันหวนกลับคืนดั่งกาลก่อน”
ทั้งที่เป่ยเยว่กลายเป็นเช่นนั้นไปแล้ว แต่ในยามที่เสด็จพ่อใกล้จะสิ้นลม กลับกุมมือของเขาเอาไว้ และขอให้เขาช่วยปกป้องเป่ยเยว่
เสด็จพ่อบอกว่าตนนั้นอกตัญญู ได้แต่ยืนมองแผ่นดินที่บรรพบุรุษก่อร่างสร้างขึ้นตกไปอยู่ในมือขุนนางพวกนั้นโดยไม่สามารถทำอันใดได้ เขามันเป็นพวกขี้ขลาดทั้งยังไร้ความสามารถ ไม่อาจปกป้องคุ้มครองลูกชายของตัวเอง กระทั่งไม่อาจยกราชบัลลังก์ให้แก่บุตรชายที่ตนปรารถนา
เขาพูดหลายสิ่งมากมาย แต่เมื่อเสด็จพ่อหลับตาลง ตนกลับพูดกับบิดาได้เพียงคำว่าขอโทษ
จี้หนานอ๋องไม่รู้ว่าตนเองควรจะโกรธแค้น เฉยเมย หรือให้อภัยและปล่อยวางทุกสิ่ง เพราะจิตใจสับสนว้าวุ่นดี แต่…สุดท้ายเขาก็ตัดใจปล่อยวางเป่ยเยว่ไม่ลง
“องค์ชายใหญ่ ที่จริงแล้วข้าอิจฉาท่านมาก”
น้ำเสียงของเขาฟังดูโศกเศร้า แต่ความอิจฉาที่เขามีต่อหนานกงฉีซิวนั้นเป็นเรื่องจริงบราวนี่ออนไลน์
“เสด็จพ่อของท่านมีใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีสายพระเนตรกว้างไกลเกินกว่าที่ข้าจะจินตนาการได้ อย่างน้อย ๆ จนถึงตอนนี้ข้าก็มิเคยเห็นเขาหวาดระแวงหรือหวาดกลัวบุตรชายของตนและขุนนางเลย เขามีทั้งเล่ห์เหลี่ยมทั้งความเด็ดเดี่ยว เหล่าขุนนางต้าเซี่ยเกรงกลัวเขา แต่ก็เคารพยิ่งกว่า
ตราบใดที่เขายังอยู่ พวกท่านก็มิต้องกังวลว่าตระกูลชนชั้นสูงจะเป็นใหญ่เหนือราชวงศ์ เขาได้ปูทางไว้ให้พวกท่านแล้ว ขอเพียงลูกหลานของต้าเซี่ยมิโง่เขลาจนเกินไป อย่างน้อยต้าเซี่ยก็จะตั้งมั่นยืนยาวไปได้อีกหลายร้อยปี
หากว่าความสัมพันธ์ของท่านกับองค์ชายรองเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างที่คนเขาร่ำลือ บางทีตัวข้าอาจจะไม่รู้สึกหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ เพราะพวกท่านทั้งสองล้วนมีพรสวรรค์และความเก่งกาจ หากเกิดสงครามภายในขึ้นจริง ๆ เกรงว่าอำนาจของต้าเซี่ยก็คงต้องมีการจัดระเบียบใหม่ แต่ว่าพวกท่านไม่ได้เป็นเช่นนั้น…”
น้ำเสียงของเขาจริงจังแฝงไว้ด้วยความอ้างว้าง ขณะมองอีกฝ่าย “แต่ไหนแต่ไรข้ามิเคยพบเจอองค์ชายที่สนิทชิดเชื้อราวกับเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ อย่างพวกท่านมาก่อน ข้าจินตนาการได้เลยว่าหากพวกท่านพ่อลูกปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน เกรงว่าทั่วทั้งใต้หล้าคงจะตกอยู่ในกำมือของตระกูลหนานกง”
ประโยคสุดท้ายดูคล้ายกับล้อเล่น ทว่าก็จริงจังในที
หนานกงฉีซิว “จี้หนานอ๋องมิจำเป็นต้องให้เกียรติพวกข้าถึงเพียงนี้”
ภายภาคหน้าใต้หล้านี้จะเป็นของตระกูลหนานกงหรือไม่ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
แม้จะเอ่ยอย่างถ่อมตน แต่จี้หนานอ๋องกลับมองเห็นความทะเยอทะยานในแววตาของชายหนุ่มผู้อ่อนโยนที่ดูไร้อันตรายผู้นี้
ความรู้สึกหมองหม่นในจิตใจของเขาพลันมลายหายไป
เขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ชะตากรรมของเป่ยเยว่ในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ก็มิใช่เรื่องที่จี้หนานอ๋องตัวเล็ก ๆ อย่างเขาจะควบคุมได้
จี้หนานอ๋องคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “องค์ชายใหญ่อย่าลืมเสียเล่า ท่านยังติดค้างสุราข้าหนึ่งไห”
พูดจบก็เดินออกจากกระโจมไป เพียงแต่เดินไปได้เพียงสองก้าว ก็ต้องรีบถอยกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
หนานกงฉีซิวประหลาดใจเล็กน้อย “จี้หนานอ๋องมีสิ่งใดจะกล่าวอีกหรือ”
จี้หนานอ๋องที่แข็งทื่อไปทั้งตัวก้าวถอยหลัง เขาพูดเสียงสั่นโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา
“ปะ เปล่า ไม่ใช่…อะ องค์ชายใหญ่…มีแขก…มาหาท่าน”
หนานกงฉีซิวผินหน้ามองออกไปด้านนอก ศีรษะที่ปกคลุมด้วยขนสีขาวขนาดใหญ่โผล่เข้ามา นัยน์ตาสีฟ้าสดใสสบเข้ากับตน ใบหน้าของชายหนุ่มพลันแข็งทื่อ ก่อเกิดเป็นบรรยากาศเงียบงัน
[1] แผนการในที่แจ้ง หมายถึง กลยุทธ์ในที่แจ้ง ทำได้อย่างเปิดเผยและไม่ปิดบัง
[2] ชนเผ่าทูเจวี๋ย คือชาวเติร์กโบราณ เป็นชนเผ่านอกด่านอาศัยตามทุ่งหญ้า