เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 261 เป็นพ่อลูกที่แปลกเสียจริง
บทที่ 261 เป็นพ่อลูกที่แปลกเสียจริง
บทที่ 261 เป็นพ่อลูกที่แปลกเสียจริง
หลังจากเปลี่ยนชุดแล้ว นางก็สวมอาภรณ์ขนสัตว์ปุกปุยสีขาวราวหิมะ ช่างเข้ากันดีกับเครื่องประดับผมทรงกลมขนปุยที่ผูกอยู่บนหัวทุยของเด็กหญิง ก้อนปุยนั่นเด้งไปมาตามจังหวะของสองขาน้อย ๆ ที่กระโดดไปรอบ ๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มปรากฏหยาดเหงื่อ ผิวขาวนวลขึ้นสีแดงก่ำ มองดูแล้วเหมือนก้อนแป้งข้าวเหนียวที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีลูกท้อ
ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ เหล่านางกำนัลอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสบีบแก้มนุ่มนิ่มขององค์หญิงน้อยเบา ๆ ระหว่างที่ช่วยแต่งตัวให้
“องค์หญิงของหม่อมฉันทรงพระสิริโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง ภายภาคหน้าจะต้องเป็นสตรีที่สวยที่สุดในอาณาจักรของเราอย่างแน่นอนเพคะ”
เสี่ยวเป่าเชิดคอขึ้นอย่างว่าง่าย ให้พวกนางกำนัลสวมเสื้อคลุมให้อีกชั้น ริมฝีปากสีชมพูเล็ก ๆ นั่นขยับเอื้อนเอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่หน้าตาดี เสี่ยวเป่าเลยหน้าตาดีด้วย”
องค์หญิงน้อยยังคงถ่อมตนมาก เหล่านางกำนัลพากันหัวเราะอย่างเอ็นดู
พลันมีเสียงดังขึ้นด้านนอกกระโจม ทำให้เสี่ยวเป่ารู้ว่าท่านพ่อของนางกำลังจะออกไปล่าสัตว์อีก ทันใดนั้นดวงตากลมโตก็ทอประกายขึ้นมาทันที
“เร็วเข้า เสี่ยวเป่าอยากออกไปแล้ว”
เสี่ยวเป่าในชุดเสื้อคลุมสีแดงสดวิ่งปรี่ออกไปด้วยความเร็วเท่าที่ขาสั้น ๆ จะก้าวไหว
“ท่านพ่อ ท่านพ่อเสี่ยวเป่าอยากไปด้วย”
พอเจอท่านพ่อ เจ้าก้อนแป้งก็รีบออดอ้อนด้วยท่าทางสดใส เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
สาเหตุที่เสี่ยวเป่าไม่ได้ติดตามท่านพ่อออกไปด้วยก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเด็กน้อยยังขี่ม้าไม่เป็น ครั้นอยากจะตามท่านพ่อออกไปด้วย จึงมักจะถูกห้ามเอาไว้เสมอ แต่ว่าครั้งนี้ต่างออกไปแล้ว
ยามนี้องค์หญิงเจาเสวี่ยมี ‘พาหนะสุดพิเศษ’ ให้นั่งแล้ว!
หนานกงสือเยวียนก้มหน้ามองบุตรสาว พลางลูบหัวทุยของนาง
“เจ้าจะไปทำอันใด”
เสี่ยวเป่าไม่ยอมปล่อยมือแม้ว่าจะต้องถูกดุก็ตาม นางจะเกาะติดท่านพ่อไปทั้งอย่างนี้แหละ
“เสี่ยวเป่าอยากตามท่านพ่อไปด้วย เสี่ยวเป่าจะเป็นเด็กดี มีเสือสองตัวตามไปปกป้องเสี่ยวเป่าด้วย”
ไม่ทันที่หนานกงสือเยวียนจะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา หนานกงหลีที่ปิดปากหาวหวอดก็ก้าวออกมา
“เสด็จพี่ทรงอนุญาตให้เสี่ยวเป่าไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไร ฤดูหนาวเช่นนี้ก็มีเหยื่อให้ล่าน้อยนัก เราไม่ได้จะไปล่าสัตว์จริงจังอยู่แล้ว ข้าก็อยากจะพาหลานสาวตัวน้อยไปเที่ยวเล่นด้วย”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเป็นประกาย “ให้พี่หก พี่เจ็ด พี่แปดไปด้วยนะเพคะ!”
เจ้าตัวน้อยรักพี่ ๆ มาก นางไม่มีทางลืมพี่ชายทั้งสามเมื่อรู้ว่าตนเองจะได้ไปเที่ยวเล่น
หนานกงสือเยวียนอุ้มเด็กเล็กขึ้นมาบนม้า “ไปสิ”
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ แต่ท่านพ่อก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นั่นหมายความว่าท่านพ่ออนุญาตแล้ว!
นางจึงรีบโบกมือน้อย ๆ ให้พี่ชายทั้งสามที่อยู่อีกด้านอย่างกระตือรือร้น
“ท่านพี่ ไปกันเถอะเพคะ!”
บุตรชายทั้งสามหันไปมองเสด็จพ่อ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตรัสอะไร ก็เป็นการยอมรับว่าไม่ได้ทรงปฏิเสธ พวกเขาจึงส่งเสียงด้วยความยินดีแล้ววิ่งมาร่วมด้วย
“เสด็จอาเจ็ด เสด็จอาเจ็ด ข้าอยากขี่ม้าด้วย”
องค์ชายแปดวิ่งตรงไปทางหนานกงหลีอย่างมีความสุข
“เอาสิ”
หนานกงฉีรุ่ยดูใจเย็นกว่า แต่ด้วยความยังเป็นเด็กคนหนึ่ง ความตื่นเต้นดีใจจึงปรากฏชัดเจนในแววตาระหว่างที่วิ่งตรงไปหาเสด็จอาสี่ ก่อนจะถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นหลังม้า
หนานกงฉีเฉินเดินไปขึ้นหลังม้าที่พี่รองนั่งอยู่ ซึ่งอาชาชั้นดีสามารถรับน้ำหนักองค์ชายทั้งสองได้โดยไม่มีปัญหา
เมื่อเสี่ยวเป่าเอ่ยเรียกเสือตัวใหญ่ให้มาหา นักล่าทั้งสองก็ทำให้เหล่าอาชาตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก
ท่ามกลางสายตาของผู้คนโดยรอบ เสือขาวและเสือดำที่อยู่คู่กันต่างย่างเท้ามาทางเสี่ยวเป่า ค้อมศีรษะลงราวกับทำความเคารพนาง
แม้ว่าม้าของหนานกงสือเยวียนจะไม่มีอาการตื่นกลัวใด ๆ แต่มันก็อึดอัดไม่น้อยที่ต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์ทั้งสองอย่างใกล้ชิดเพียงนี้ เจ้าม้าส่งเสียงขู่หลายครั้งเมื่อหันไปสบตากับเสือ
“ตามมาอย่างเชื่อฟังนะ อย่าวิ่งไล่หรือทำให้คนอื่นหวาดกลัวด้วย”
เสี่ยวเป่าแตะที่หัวของพวกมันพลางเอ่ยเตือน
“งี้ด ๆ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจะออกเดินทาง จิ้งจอกน้อยก็ไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไป รีบกระโดดผลุบออกจากอ้อมแขนของชุนสี่และกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของเสี่ยวเป่าอย่างว่องไว จากนั้นมันก็ตัวสั่นเทิ้มระหว่างซุกอยู่กับเด็กหญิง เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับเสือทั้งสองโดยตรง
“ออกเดินทางได้”
หนานกงสือเยวียนคว้าบังเหียน ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเรียบ ม้าที่เขาขี่อยู่ออกตัวนำขบวน
เมื่อคืนที่ผ่านมาหิมะตกอีกครั้ง ทำให้หิมะที่พื้นจับตัวกันหนาขึ้น ระหว่างที่ม้าวิ่ง พื้นหิมะสีขาวก็ปรากฏรอยเท้าของเหล่าอาชาทิ้งไว้เบื้องหลัง
อากาศโดยรอบไม่ได้อบอุ่นเหมือนกับการอยู่ในกระโจม หนานกงสือเยวียนกระชับร่างเล็กของบุตรสาวในอ้อมแขน และเอาเสื้อคลุมของตนเองห่อตัวนางเอาไว้จนมิดอีกชั้นหนึ่ง
เสี่ยวเป่าโผล่หัวกลม ๆ ออกมามองโลกภายนอกเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น เด็กน้อยหันหน้าไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ ทำให้ท่านพ่อใช้มือข้างที่เหลือจากการกุมบังเหียนดันนางให้กลับมา
“นั่งดี ๆ”
ลมแรงปะทะเข้ามายามอยู่บนหลังม้าเช่นนี้ ทันทีที่หัวของเสี่ยวเป่าโผล่ออกมา จมูกเล็ก ๆ ของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
เจ้าตัวน้อยซุกกลับเข้าไปในอ้อมแขนของบิดาที่แสนอบอุ่น นางรับคำอย่างเชื่อฟัง และไม่ชะโงกหน้าออกไปอีก เพียงก้มหน้าลงเล่นกับเจ้าจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนของตน
พยัคฆ์ทั้งสองติดตามม้าของหนานกงสือเยวียนมาอย่างไม่เร่งรีบ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พวกมัน
ในเหมันตฤดู หิมะสีขาวโพลนปกคลุมทั่วพื้นที่ มีร่องรอยของเกือกม้าทิ้งไว้เป็นทาง ในที่สุดพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าผาสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง
เบื้องล่างของหน้าผามองลงไปจะเห็นทะเลสาบกระจ่างใสคล้ายกับกระจกบานใหญ่ ซึ่งเวลานี้มีชั้นน้ำแข็งบางก่อตัวขึ้นมาบริเวณโดยรอบ รูปร่างคล้ายกับบุปผาผลึกน้ำแข็งดูสวยงามแปลกตา ไอหมอกจาง ๆ ลอยอยู่เหนือทะเลสาบ ใบหลิวที่ริมน้ำถูกสายลมพัดร่วงไปหมดแล้ว แม้ไม่ได้เป็นสีเขียวชอุ่ม แต่ก็ยังมีน้ำแข็งเกาะอยู่ตามกิ่งก้านของมัน ดูคล้ายกับไข่มุกส่องแสงระยิบระยับ
หมอกจาง ๆ เหนือทะเลสาบทำให้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเสน่ห์มนต์ขลังที่หาได้เฉพาะในช่วงอากาศหนาวเย็นของเหมันตฤดูเท่านั้น
ทะเลสาบจิ้งสุ่ยบนภูเขาไป่สิงเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมาก งดงามด้วยทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปทั้งสี่ฤดู บางคนถึงขั้นพูดว่าเคยเห็นฝูงผีเสื้อนับพันตัวบินอยู่เหนือทะเลสาบคล้ายกับภูตตัวน้อย ๆ กำลังร่ายรำยามบุปผาผลิบานในวสันตฤดู
ทุก ๆ ปีมีผู้คนต้องการมาเยือนทะเลสาบอันงดงามแห่งนี้ไม่น้อย แต่เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมือง ลึกเข้าไปบนภูเขาไป่สิงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชุกชุม และยังอยู่ในพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ ดังนั้นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่จึงมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงเสียมากกว่า
ทุกครั้งที่หนานกงสือเยวียนมายังภูเขาไป่สิง เขามักจะมาเยือนทะเลสาบจิ้งสุ่ยเพื่อชมทิวทัศน์อันสวยงามของแต่ละฤดูกาลอยู่เสมอ
“นี่คือทะเลสาบจิ้งสุ่ยของต้าเซี่ยเรา เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าจะเดินทางมากี่ครั้งก็ยังทำให้รู้สึกประหลาดใจได้อยู่เสมอ”
ท่ามกลางแว่นแคว้นแดนต่าง ๆ ในใต้หล้านี้ อาณาจักรต้าเซี่ยมีอาณาเขตกว้างขวาง เป็นแหล่งของทิวทัศน์งดงามตระการตามากมาย ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เช่นนี้แน่นอนว่าต้องเป็นที่หมายตาของข้าศึก เปรียบดั่งฝูงหมาป่าที่ต้องการจะรุกล้ำเข้ามายึดครอง
ทว่าในตอนนี้พวกหมาป่าเหล่านั้นต้องเผชิญหน้ากับจ้าวพยัคฆ์ผู้มากด้วยบารมี ซ้ำยังมีพยัคฆ์หนุ่มอีกสองสามตัวที่กำลังเจริญวัยอย่างน่าเกรงขาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีความต้องการในดินแดนแห่งนี้เพียงใดก็ยังไม่อาจหาญบุ่มบ่ามได้
นั่นทำให้ทิวทัศน์ที่งดงามแห่งนี้เป็นได้เพียงยอดปรารถนาของพวกเขาเท่านั้น ไม่อาจรุกรานเพื่อครอบครองมันได้ในยามนี้
เสี่ยวเป่าจับมือท่านพ่อ ร่างน้อย ๆ ของนางถูกโอบกอดไว้อย่างแนบแน่น เผยให้เห็นเพียงใบหน้าเล็กนุ่มนิ่มโผล่ออกมา ดวงตากลมโตเปล่งประกายเมื่อเห็นภาพทะเลสาบอันงดงามเบื้องหน้า เจ้าตัวน้อยอดไม่ได้ที่จะร้องโอ้โหออกมายามมองมัน
“ท่านพ่อ ที่นี่สวยงามมาก”
“ท่านพ่อ ในน้ำที่ดูใสเหมือนกระจกนั่นจะมีปลาว่ายอยู่หรือไม่”
“ท่านพ่อ วันนี้เรามาชมทิวทัศน์กันหรือเพคะ”
เสียงเจื้อยแจ้วไร้เดียงสาของเสี่ยวเป่าเอ่ยถามคำถามต่าง ๆ กับบิดาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ผู้เป็นพ่อเองก็เอ่ยตอบคำถามของนางทีละคำถามแม้จะตอบสั้น ๆ ทว่ากลับไม่มีท่าทีรำคาญใจแม้แต่น้อย
ราชทูตจากดินแดนต่าง ๆ และเหล่าองค์ชายลอบมองสองพ่อลูกอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้
ก่อนหน้านี้อาจไม่แปลกใจเท่าใดนัก องค์หญิงน้อยเรียกเสด็จพ่อว่าท่านพ่อต่อหน้าคนอื่น ๆ ในฐานะสามัญชน แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมาพวกเขากลับคืนฐานะเดิมเช่นนี้ การที่นางเรียกเสด็จพ่อว่าท่านพ่อไม่หยุด ฟังดูเป็นการเรียกอย่างรักใคร่สนิทสนมที่อาจเป็นเรื่องปกติในครอบครัวทั่ว ๆ ไป แต่สำหรับในราชวงศ์แล้วนับว่าเป็นภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
ชัดแล้วว่าฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยโปรดปรานองค์หญิงน้อยเป็นอย่างมาก ถึงขั้นทำให้ทุกคนพากันตื่นตกใจอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยผู้ทำให้กริ่งเกรงได้แม้เพียงชั่วครู่ที่ได้เข้าเฝ้า ด้วยบารมีอันน่าเกรงขามของพระองค์ ไม่มีเด็กเล็กคนไหนกล้าเข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นอย่าคิดถึงความใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้เลย
ทว่าองค์หญิงน้อยที่ดูอ่อนโยนน่ารักนุ่มนิ่มพระองค์นี้กลับทรงกล้าหาญจนน่าตกใจ
เป็นพ่อลูกที่แปลกเสียจริง!