เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 280 นางไม่ได้รู้สึกลำบากเลยจริง ๆ
บทที่ 280 นางไม่ได้รู้สึกลำบากเลยจริง ๆ
บทที่ 280 นางไม่ได้รู้สึกลำบากเลยจริง ๆ
เสี่ยวเป่าที่ถูกบรรดาพี่ชายรายล้อมปรี่ไปหาท่านพ่อของนางเพื่ออวดโคมไฟใบน้อยที่นางทำ
เด็กน้อยมอบโคมใบเล็กที่เขียนคำอวยพรให้ท่านพ่อ
“ท่านพ่อ โคมใบนี้เสี่ยวเป่ามอบให้ท่าน”
หนานกงสือเยวียนยื่นมือไปรับโคมไฟใบเล็กมาถือ ก่อนจะไล่อ่านถ้อยคำอวยพรที่เขียนด้วยลายมือโย้เย้ของเด็กน้อย มุมปากของเขาพลันยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ทว่าก่อนที่จะทันได้นึกยินดี เขาก็ได้ยินเสียงพึมพำมาจากร่างเล็ก
“ใบนี้สำหรับท่านอาสี่ ใบนี้สำหรับท่านอาเจ็ด ของพี่ใหญ่ ของพี่รอง…”
ครั้นฟังนางไล่นับทีละคน มุมปากของหนานกงสือเยวียนพลันกระตุกเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าจึงกลับมาไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
ที่แท้…โคมไฟใบน้อยของเขาก็มิใช่ของพิเศษ
เขาเหลือบมองโคมไฟใบอื่น ๆ ที่เสี่ยวเป่าทำแล้วลอบนึกเปรียบเทียบพวกมันอย่างเสียไม่ได้
ในที่สุดก็พบว่าอันที่อยู่ในมือของเขานั้นดูดีที่สุด ทั้งยังใหญ่ที่สุดในบรรดาโคมไฟทั้งหมด
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าจะไปแขวนโคมพวกนี้ไว้บนต้นไม้ ท่านพ่ออยากให้เสี่ยวเป่าช่วยแขวนโคมใบนั้นด้วยหรือไม่เพคะ”
เด็กน้อยวางคางบนตักของท่านพ่อ พลางเอียงศีรษะมองดูเขาด้วยดวงตากลมโตอันฉ่ำวาวเหมือนลูกแมว
หนานกงสือเยวียนที่เล่นกับโคมไฟใบเล็กในมือกล่าว “ไม่จำเป็น”
เขาอยากแขวนสิ่งนี้ไว้ในห้องบรรทม
เสี่ยวเป่าพยักหน้ารับ ก่อนจะหอบโคมใบอื่น ๆ ออกไปข้างนอกเพื่อมองหาต้นไม้ร่วมกับพวกพี่ชาย
ยามโคมแดงที่แขวนไว้บนยอดไม้ต้องลม พู่ที่ห้อยอยู่ใต้โคมจะพลิ้วสะบัดไปมา ท่ามกลางสีขาวพิสุทธิ์ของผืนหิมะทำให้ดูสะดุดตายิ่ง
ภายใต้การจัดการของหวงกุ้ยเฟย หาได้มีเพียงแค่พวกเสี่ยวเป่าที่แขวนโคมไฟที่พวกตนทำขึ้น ทว่านางกำนัลและขันทีคนอื่นเองก็เขียนคำอวยพรปีใหม่ลงบนโคมไฟที่ตนทำอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะแขวนไว้บนกิ่งไม้ด้วย
ในเวลาสองวัน นอกจากโคมที่ทำโดยเหล่าช่างฝีมือที่อาศัยอยู่ในวัง โคมส่วนใหญ่ที่แขวนอยู่ล้วนทำขึ้นโดยบรรดานางกำนัลและขันทีทั้งสิ้น
โดยโคมแต่ละใบได้เก็บความปรารถนาของแต่ละคนไว้
แม้ว่าโคมไฟเหล่านั้นจะไม่ได้ประณีต ซ้ำยังถูกทำขึ้นด้วยขนาดที่แตกต่างกัน แต่โคมไฟที่แบกรับความปรารถนาของทุกคนไว้ก็ได้นำพาความครึกครื้นมาเยือนพระราชวังที่เดิมนั้นเงียบเหงา
พลันวังหลวงก็เริ่มมีกลิ่นอายของวันปีใหม่แล้วบราวนี่ออนไลน์
แน่นอนว่าสิ่งที่แขวนอยู่บนต้นไม้นั้นเป็นเพียงโคมไฟธรรมดา ๆ เท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเก็บงำ รอจนถึงวันประชันโคมจึงจะนำโคมของจริงออกมา
สามวันก่อนจะถึงวันข้ามปี หนานกงฉีซิวก็กลับมาถึง
ภัยพิบัติจากหิมะถูกควบคุมโดยสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าผู้ประสบภัยจะยังกลับบ้านไม่ได้ แต่ในปีนี้พวกเขาจะไม่อดตายอย่างแน่นอน
สำหรับพวกเขา ยามประสบกับภัยพิบัติเช่นนี้ ขอเพียงไม่ต้องทนหิวหรือหนาวตายก็ถือว่าดีมากแล้ว
เพราะเมืองหลวงเริ่มมีการเฉลิมฉลองแล้ว หนานกงฉีซิวที่อยู่ในรถม้าจึงสามารถเห็นโคมแดงที่แขวนอยู่ใต้ชายคาบ้านทุกหลังตั้งแต่ประตูเมืองไปจนถึงพระราชวังได้ และภายใต้ราตรีกาลเช่นนี้ แสงโคมล้วนส่องสว่างเจิดจรัส ทั้งเมืองหลวงดูคล้ายกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาในบัดดล
“ไม่รู้ว่าวังหลวงในยามนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
หนานกงฉีซิวรู้สึกเป็นกังวล เสด็จพ่อของเขามิใช่ผู้ชมชอบความฟุ่มเฟือยหรือหลงระเริงไปกับความรื่นเริง
เวลานี้ทางใต้กำลังมีสงคราม กอปรกับภัยพิบัติจากหิมะที่เกิดขึ้น ปีนี้เกรงว่าในวังหลวงคงจะใช้ชีวิตกันอย่างมัธยัสถ์มากกว่าเดิม
เช่นเดียวกับเสด็จพ่อของเขา ความคิดแรกของหนานกงฉีซิวคือทำให้เสี่ยวเป่าต้องลำบากแล้ว
ทั้งที่นางควรจะเติบโตมาในพระราชวัง แต่กว่าจะได้กลับมาก็อายุปาไปสามขวบแล้ว มิหนำซ้ำปีแรกที่กลับมาก็ยังไม่ได้มีชีวิตที่ดีอีก
“เกรงว่านี่คงทำให้เสี่ยวเป่าต้องลำบากแล้ว”
เขาทอดถอนใจ “กลับจวนจิ้นอ๋องก่อน”
คงต้องลองค้นดูในคลังของตนก่อน แล้วเอาสิ่งนั้นมาชดเชยให้น้องสาว
ถ้าเสี่ยวเป่ารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางจะต้องตบอกตอบเสียงดังว่า
ไม่ลำบากเลย นางไม่ได้ลำบากเลยจริง ๆ กลับกัน นางมีความสุขมาก!
หลังจากที่รถม้าของหนานกงฉีซิวเข้ามาในวัง เขาก็พบว่าวันข้ามปีของวังหลวงปีนี้ดูจะ…มีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ?
“ช่วยข้าแขวนโคมให้สูงขึ้นอีกหน่อยสิ”
“ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้ครอบครัวของข้าปลอดภัย”
“โคมไฟที่ข้าแขวนนั้นงดงามที่สุดแล้ว แม้แต่องค์หญิงยังชมเชยโคมไฟของข้าเชียวนะ”
“นี่…เจ้าเขียนคำอธิษฐานอะไรไว้บนโคมไฟน่ะ”
นี่เหล่านางกำนัลและขันทีที่เคยเต็มไปด้วยความเข้มงวดและระมัดระวังในก่อนหน้า ยามนี้ต่างกำลังแขวนโคมด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นหรือ
ฟังจากสิ่งที่พวกเขาพูดแล้วต่างทำโคมด้วยตนเอง ทั้งยังเขียนความปรารถนาของตนลงไป
“เกิดอันใดขึ้น”
เขาจากไปนานแค่ไหนกัน เหตุใดจึงรู้สึกว่าบรรยากาศภายในวังเปลี่ยนแปลงไปมาก
ขันทีน้อยผู้เฝ้าประตูวังทั้งยังเป็นคนนำทางเขา มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าขณะอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องประชันโคม รวมถึงเรื่องที่ว่าฝ่าบาทและหวงกุ้ยเฟยเป็นผู้อนุญาตให้พวกเขาแขวนโคมไฟประดับพระราชวัง
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหล่าองค์ชายองค์หญิงต่างก็เป็นผู้ส่งเสริมเรื่องนี้
แม้ว่าการเขียนคำอธิษฐานบนโคมอาจจะไม่เป็นจริง นับเป็นเพียงการปลอบประโลมจิตใจมากกว่าก็ตาม แต่ทุกคนก็ยังยินดีทำโคมหลายใบด้วยฝีมือตัวเองในช่วงเวลาว่าง พร้อมกับเขียนคำอธิษฐานซึ่งแสดงถึงความปรารถนาดีลงไป
“เหล่าองค์ชายองค์หญิงเป็นผู้ริเริ่มทำในตอนแรกพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นทุกคนก็อาศัยช่วงเวลาเงียบงันในค่ำคืนแขวนโคมตาม ด้วยเหตุนี้จำนวนโคมจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น”
ในช่วงนี้ นอกเหนือจากนางกำนัลและขันทีที่มีสิ่งต้องทำ คนอื่นที่มีเวลาว่างมักจะถือโคมมารวมตัวกันเพื่อหาที่แขวน บางคนถึงกับทำกระดาษมงคลด้วย มันเป็นกระดาษมงคลขนาดเท่าฝ่ามือที่ทำด้วยความตั้งใจ ยามพู่ห้อยตามต้นไม้ต้องลมพลิ้วไหวก็นับว่าดูงามตายิ่ง
หนานกงฉีซิวมองโคมและกระดาษมงคลที่ไหวไปมาตามสายลมด้วยนัยน์ตากระจ่างชัด ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มราวกับเทพเซียน
บรรดานางกำนัลที่บังเอิญเห็นชายหนุ่มรูปงามดูราวกับเทพเซียนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ขณะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยต่างก็ตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกนางจะหน้าแดงด้วยความเขินอาย
ครั้นองค์ชายใหญ่จากไปแล้ว เหล่านางกำนัลถึงกล้าเงยหน้าขึ้น พลางเอ่ยกระซิบกระซาบกันว่า
“องค์ชายใหญ่ช่างเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาจริง ๆ” นางกำนัลผู้หนึ่งพึมพำขณะมองตามองค์ชายใหญ่เดินจากไป
“เพ้ย อย่าโง่ไปหน่อยเลย รูปลักษณ์ดุจเทพเซียนเช่นองค์ชายใหญ่หาใช่ผู้ที่คนอย่างเราจะริอ่านฝันถึงได้”
นางกำนัลผู้ถูกตำหนิหันมองสหายของตนเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางสัมผัสใบหน้าของตน ขณะพูดด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“ข้ายังรู้จักเจียมตนอยู่หรอก เพียงแค่ได้ยลคนเช่นองค์ชายใหญ่จากที่ไกล ๆ เช่นนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว แต่ก็อยากรู้จริง ๆ ว่าต้องเป็นคนเช่นไรจึงจะคู่ควรกับองค์ชายใหญ่”
“นั่นหาใช่สิ่งที่ข้ารับใช้อย่างเรา ๆ ควรกังวลไม่ แต่พูดไปแล้ว นอกจากองค์ชายใหญ่ องค์ชายพระองค์อื่นต่างก็หล่อเหลาสง่างามกันทั้งสิ้น”
“มิผิด ทว่าองค์หญิงน้อยนั้นดีที่สุด ข้าหวังว่าในภายภาคหน้าทุกพระองค์จะยังคงรักใคร่กลมเกลียวกันเฉกเช่นทุกวันนี้”
พวกนางกล้าพูดเรื่ององค์ชายและองค์หญิงกันเล็กน้อยเท่านั้น พลันหัวข้อก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องการประชันโคมอย่างรวดเร็ว
สำหรับเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่เบื้องล่างอย่างนางกำนัลและขันทีเท่านั้นที่เป็นกังวล แม้แต่นางสนมในวังหลังก็ล้วนเป็นกังวลเช่นกัน
บ้างใช้ข้ออ้างว่ามาเยี่ยมเยียนเพื่อลอบสังเกตการณ์ว่าสนมนางอื่นทำโคมเช่นใดกัน
แต่เพราะไม่มีผู้ใดโง่เขลา จึงไม่มีใครยอมแพร่งพราย แต่ละคนทำได้เพียงระดมสมองให้มากขึ้นเพื่อขบคิด ว่าจะทำให้โคมของพวกนางโดดเด่นยิ่งกว่าเดิมได้อย่างไร
หนานกงฉีซิวไปยังตำหนักฉินเจิ้งเพื่อรายงานความคืบหน้า รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันของภัยพิบัติหิมะ
“ราษฎรที่ประสบภัยได้รับการดูแลเบื้องต้นแล้ว ส่วนราษฎรที่เหลือในยามนี้กำลังจัดการกับหิมะทับถมภายใต้การสั่งการของหน่วยงานท้องถิ่น นอกจากผู้เคราะห์ร้ายจำนวนน้อยที่ถูกคานเรือนหล่นทับและแข็งตายในช่วงแรกที่เกิดภัยพิบัติหิมะ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มเติม…”