เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 281 ส่วนที่เหลือเก็บมานี่
บทที่ 281 ส่วนที่เหลือเก็บมานี่
บทที่ 281 ส่วนที่เหลือเก็บมานี่
เมื่อได้ยินข่าวว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว เสี่ยวเป่าก็รีบวิ่งตรงไปหาทันที
เด็กน้อยเดินเขย่งเท้าเข้ามา เดิมทีนางต้องการจะกระโจนใส่พี่ใหญ่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
แต่เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่กับท่านพ่อเหมือนกำลังคุยเรื่องราชกิจ เจ้าก้อนแป้งก็ปิดปากตนเองแล้วเดินเข้าไปอย่างเรียบร้อย ไม่ส่งเสียงดังออกมา
เท้าเล็กค่อย ๆ ย่องเข้าไปอยู่ด้านข้างพี่ใหญ่ มือของนางประสานไพล่หลังมองท่านพ่อด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
หนานกงสือเยวียนชำเลืองมองนาง ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา ทำเพียงแค่ฟังต่อไป
เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นว่าท่านพ่อไม่ได้บอกให้ตนออกไป นั่นหมายความว่าเป็นเรื่องที่นางสามารถฟังได้ ดังนั้นจึงเงี่ยหูฟังด้วยสีหน้าจริงจังทันที
หลังฟังไปสักพัก เสี่ยวเป่าก็รู้เรื่องที่ผู้ประสบภัยจากพายุหิมะส่วนใหญ่ได้รับความช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว พลันรู้สึกขอบคุณท่านพ่อเป็นอย่างยิ่ง
เสี่ยวเป่ายืดหน้าอกน้อย ๆ ของตนด้วยความภาคภูมิใจ ท่านพ่อของนางยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว!
สีหน้าของเด็กเล็กเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ เมื่อได้ยินคำชื่นชมสรรเสริญที่มีต่อท่านพ่อ รอยยิ้มภาคภูมิใจก็พลันแย้มกว้าง หากแต่ยามได้ยินว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะอากาศหนาวเหน็บและบ้านเรือนพังทลายไปมากเพียงใด ใบหน้าน้อย ๆ ก็ยับยู่ จากนั้นดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาด้วยความสงสาร เมื่อได้ยินพี่ใหญ่เอ่ยว่ามีเด็กกำพร้ามากน้อยเพียงใดเพราะภัยพิบัติครั้งนี้
การเปลี่ยนแปลงไปมาเช่นนี้ หนานกงสือเยวียนย่อมสังเกตเห็นได้ไม่ยากเย็น
“ตอนนี้ทางราชสำนักได้แจกจ่ายเงินและเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ให้กับทุกคนเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่รอฤดูหนาวสิ้นสุด พวกเขาก็จะเริ่มทำไร่นาเลี้ยงชีพต่อไปได้”
ชีวิตเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก บางครั้งก็เปราะบาง เพียงแค่เจอเรื่องเล็กน้อยก็สูญสิ้น
บางคราก็เข้มแข็ง ไม่ว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงใด ขอแค่มีความหวังสักเล็กน้อย ก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “เจ้าทำได้ดีมาก”
แม้น้ำเสียงจะยังคงสงบนิ่งเช่นเคย แต่ก็สัมผัสได้ถึงการชมเชยอยู่ภายใน
เมื่อได้รับการชมเชยจากเสด็จพ่อ มุมปากของหนานกงฉีซิวก็ยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนงดงาม
“นี่คือสิ่งที่ลูกสมควรทำ”
เขาลดสายตาลงมองดูเจ้าก้อนแป้งที่อยู่ข้างกาย ภายในดวงตามีรอยยิ้มน่าเอ็นดูอย่างชัดเจน
หลังจากพูดคุยเรื่องราชกิจเสร็จแล้ว นิ้วเรียวเห็นข้อกระดูกชัดของหนานกงฉีซิวก็เช็ดดวงตากลมโตแดงก่ำของเสี่ยวเป่าอย่างแผ่วเบา
“เหตุใดเจ้าจึงขี้แยถึงเพียงนี้”
น้ำเสียงของเขามีความหยอกล้ออยู่ในที การเคลื่อนไหวนั้นอ่อนโยนยิ่งบราวนี่ออนไลน์
เสี่ยวเป่ามุ่ยปาก พองแก้มป่องจนเหมือนปลาทองตัวน้อย
“เสี่ยวเป่าไม่ได้ร้อง ตามันแดงเอง!”
หนานกงฉีซิวยิ้มอย่างหยอกเย้า “เอาละ ตกลง ตกลง เสี่ยวเป่าไม่ได้ร้องไห้ แล้วได้พบพี่ชายไม่ดีใจบ้างเลยหรือ”
“แน่นอนว่าย่อมดีใจ”
เด็กน้อยตอบกลับทันที ก่อนจะดึงฝ่ามือเรียบเนียนดั่งหยกของพี่ใหญ่ออกมา แล้ววางโคมรูปร่างเหมือนลูกพลับบนมือ
“เสี่ยวเป่ามอบให้พี่ใหญ่ ขอให้เรื่องราวทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี”
หนานกงฉีซิวมองโคมดวงน้อยในมือด้วยสายตาที่อ่อนลง เสี่ยวเป่ายังเขียนคำว่าขอให้พี่ใหญ่ร่างกายแข็งแรงเอาไว้บนโคมอีกด้วย แม้ลายมือจะโย้เย้ตามประสาเด็กแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความจริงจังยามเขียนได้อย่างชัดเจน
หนานกงฉีซิวสามารถจินตนาการภาพเสี่ยวเป่าถือพู่กันเขียนตัวหนังสืออย่างจริงจังได้เสียด้วยซ้ำ
เขาก้มตัวลงจากนั้นใช้นิ้วเขี่ยจมูกเล็ก ๆ ของเด็กน้อย
“ขอบคุณเสี่ยวเป่า ข้าชอบมันมาก”
หนานกงสือเยวียนมองดูด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
โคมที่อยู่ในมือบุตรชายคนโตดูดีกว่าที่เสี่ยวเป่ามอบให้เขา แสดงให้เห็นว่ามีฝีมือชำนาญมากขึ้น
“วันนี้ทำได้เท่าใด”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยแทรกบทสนทนาของสองพี่น้องด้วยเสียงเรียบเฉย เมื่อเอ่ยออกมาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เด็กน้อยจะเมินเฉยต่อเขา
เสี่ยวเป่าเหยียดนิ้วกลม ๆ ทั้งสิบออกกว้าง จากนั้นก็ตอบออกมาด้วยเสียงใสกังวาน
“สิบอัน!”
หนานกงสือเยวียนส่งเสียงอืม “เอาออกมาให้ข้าดูหน่อย”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า ขาสั้น ๆ วิ่งตรงเข้าไปทำท่าออดอ้อนท่านพ่อ
“เสี่ยวเป่ารักท่านพ่อมากที่สุดแล้ว โคมมีจำนวนมากเกินกว่าที่เสี่ยวเป่าจะถือได้ ท่านพ่อให้คนไปเอาดีหรือไม่”
เสียงนุ่มนิ่มเจื้อยแจ้วสามารถทำให้ใจคนฟังละลายลงได้
มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้น ก่อนจะลดมันลงอย่างรวดเร็ว
“ได้”
ท่าทางของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาราวกับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
เพียงไม่นาน โคมอีกเก้าอันที่เสี่ยวเป่าทำก็ถูกนำมาวางเรียงไว้ด้านหน้าหนานกงสือเยวียน
เขากวาดดวงตานิ่งสงบมองโคมเหล่านั้นทีละอัน
โคมที่เสี่ยวเป่าทำขึ้นในครั้งนี้มีความงดงามประณีตกว่าครั้งก่อนมาก ขนาดและรูปร่างเองก็แตกต่างกันออกไป
มีแม้กระทั่งโคมกระต่ายน้อยกับหนูชางฉู่ ยกเว้นสองอันที่เสี่ยวเป่าเขียนคำลงไปแล้ว ที่เหลือล้วนยังไม่มีตัวอักษรใด
หนานกงสือเยวียนมองดู ไม่เห็นว่าอักษรใดเขียนเกี่ยวกับตัวเขา
นิ้วเรียวยาวชี้ไปทางโคมทั้งสองที่เขียนอักษรเอาไว้ “นำออกไปเสีย”
ฝูไห่ก้าวออกมาด้านหน้าแล้วนำโคมทั้งสองออกไปทันที
“ส่วนที่เหลือเก็บมานี่”
เสี่ยวเป่า “???”
เสี่ยวเป่า “!!!”
โคมของนาง ทั้งหมดล้วนถูกท่านพ่อเอาไปแล้ว!
เจ้าก้อนแป้งเบิกตาอ้าปากค้าง
หนานกงฉีซิวที่อยู่ด้านข้างเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
ปรากฏว่า… เสด็จพ่อก็ยังเผยท่าทีราวกับเด็กน้อยเช่นนี้ออกมาได้
เสี่ยวเป่ามองท่านพ่อด้วยดวงตาใสแจ๋ว “ท่านพ่อ ท่านต้องการโคมมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
หนานกงสือเยวียนจับจ้องไปทางนาง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงคลุมเครือ “ไม่เต็มใจหรือ”
เสี่ยวเป่ารีบส่ายหน้าทันที นางจิ้มนิ้วเข้าหากันแล้วเอ่ยออกมา “ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่… เพียงแต่เสี่ยวเป่ายังมีของพี่ชายหลายคนที่ยังเขียนไม่เสร็จ”
หนานกงสือเยวียน “โอ้”
พี่ชายของเจ้า เกี่ยวอันใดกับข้า
ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ส่งโคมคืน
“มานี่ ข้าจะสอนเจ้าเขียนหนังสือ”
หนานกงสือเยวียนอุ้มเสี่ยวเป่า จากนั้นก็หยิบโคมที่เก็บเอาไว้ขึ้นมา
“ต้องการจะเขียนสิ่งใด”
เสี่ยวเป่าเอียงหัวน้อย ๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สมใจปรารถนา!”
“อืม”
เขาเอาพู่กันใส่ในมือเด็กน้อยให้ถือเอาไว้ มือใหญ่กำมือเล็กเขียนลงบนโคมทีละตัวอักษร ทว่าคำที่นำหน้าสุดนั้นคือ ‘ท่านพ่อ’
ภายใต้สายตาแปลกประหลาดของบุตรสาว องค์จักรพรรดิยังคงเขียนตัวหนังสือต่อไปโดยไม่สะทกสะท้าน
หนานกงฉีซิวยกมือขึ้นปิดปาก ซ่อนรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
โคมหลังจากนั้นทั้งหมดล้วนเขียนนำหน้าด้วยคำว่าท่านพ่อ
เสี่ยวเป่า “…”
ใบหน้าน้อย ๆ ยุ่งเหยิง
“ท่านพ่อชอบโคมของเสี่ยวเป่าหรือ”
ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนยังคงเรียบเฉย ไม่ได้กล่าวออกมาว่าชอบหรือไม่ชอบ
เสี่ยวเป่าแกว่งขาแล้วเอ่ยออกมาอย่างเบิกบานใจ “หากท่านพ่อชอบ เช่นนั้นก็มาทำโคมร่วมกับเสี่ยวเป่าสิ”
หนานกงสือเยวียนนิ่งค้างไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็พยักหน้าช้า ๆ
“ได้”
ฝูไห่ที่สังเกตอารมณ์สีหน้าท่าทางฮ่องเต้ได้เป็นอย่างดี รีบสั่งให้คนไปเตรียมของในการทำโคมมา
“ลูกยังมีงานอยู่ เช่นนั้นต้องขอตัวก่อน”
หนานกงฉีซิวไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป หลังจากได้เห็นเสด็จพ่อผู้ขี้อิจฉากินน้ำส้มสายชูเสียแล้ว
เขาคิดว่ามันค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ แต่ก่อนเขารู้สึกว่าเสด็จพ่อเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งอันห่างไกล ดูแล้วไม่มีอารมณ์ของมนุษย์เลยสักนิด ทว่าตอนนี้ถึงเก็บไว้ไม่พูดอันใด ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความหวงที่มีต่อน้องหญิง ทำให้ดูมีชีวิตและความเป็นมนุษย์มากขึ้น
แม้จะกินน้ำส้มสายชูกับบุตรชายของตนเองก็ตาม
เมื่อจากไปแล้ว มุมปากของหนานกงฉีซิวก็แย้มเป็นรอยยิ้ม หิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องด้านนอกหยุดลงแล้ว ดวงตะวันกลางฟ้าเผยกายออกจากหมู่เมฆ ส่องแสงอันไม่อบอุ่นแต่งดงามออกมา ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกจิตใจเบิกบาน