เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 286 ของจากเมืองหลวง
บทที่ 286 ของจากเมืองหลวง
บทที่ 286 ของจากเมืองหลวง
หนานกงฉีโม่เดินตามหลังเซี่ยสุยอันเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ
หากเทียบกันแล้วเขามีผิวขาวกว่าเซี่ยสุยอันมาก มือเท้าทั้งสี่เรียวยาว ใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากบางเผยให้เห็นรอยยิ้ม กิริยาท่วงท่าสูงส่งมิลดน้อยลงแต่อย่างใด ไร้ซึ่งอารมณ์หม่นหมองอย่างที่ผ่านมา ทว่าดูเป็นผู้ใหญ่และควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น ผู้พบเห็นต่างรู้สึกพึงพอใจในตัวเขา ช่างเป็นชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผยยิ่ง!
“วิ่งพรวดพราดเข้ามาได้อย่างไร หัดเอาเยี่ยงอย่างแบบองค์ชายรองบ้าง เลิกส่งเสียงเอะอะตลอดเวลาเสียทีเถอะ”
เซี่ยสุยอันกลอกตาใส่บิดาของตน “เกรงว่าหากข้าทำตัวสุขุมเรียบร้อย ท่านจะสงสัยว่าข้าเป็นตัวปลอมน่ะสิ”
เซี่ยสุยอันมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือตั้งแต่วัยเยาว์ เขาสังหารศัตรูในสนามรบด้วยความอาจหาญจนเป็นที่รู้จักในนามแม่ทัพหนุ่ม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีนิสัยทะนงองอาจเช่นนี้
แน่นอนว่านั่นเป็นท่าทียามพบเจอผู้คนข้างนอก แต่เขาค่อนข้างปล่อยตัวตามสบายกับคนในครอบครัว ด้วยเหตุนี้บิดาของเขาจึงไม่สบอารมณ์อยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ยังไม่เท่าไหร่ ในค่ายทหารมีแต่พวกนิสัยหยาบกระด้าง เขาก่อเรื่องนิดหน่อยก็ถูกท่านพ่อไล่ตี ทว่าก็ตีไม่โดนเพราะเขาวิ่งหนีได้รวดเร็วปานลมกรด
แต่ว่าตอนนี้…
เมื่อมีองค์ชายรองเข้ามา เขาก็มักจะถูกท่านพ่อยกตนเองไปเปรียบเทียบอยู่เสมอ ๆ องค์ชายรองช่างเหมาะกับตำแหน่งลูกบ้านอื่นที่พ่อแม่มักจะพูดเชยชม รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ซ้ำยังฉลาดหลักแหลม ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์ มิหนำซ้ำยังพูดจาฉะฉาน มิเพียงแค่ท่านพ่อของเขา กระทั่งท่านแม่ก็เอาแต่พูดถึงองค์ชายรองแทบตลอดทั้งวัน
จะทำกันเกินไปแล้ว!
ทว่าตัวของเซี่ยสุยอันก็มิใช่คนใจแคบ อย่างไรเสียนิสัยของเขาก็เป็นเช่นนี้ ท่านพ่ออยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป
นัยน์ตาเรียวยาวของหนานกงฉีโม่โค้งขึ้น เขาถอดชุดคลุมเผยให้เห็นชุดข้างในสีแดงประดุจดอกเหมยแลสว่างสดใส
สีสันเช่นนี้หากเป็นชายอื่นย่อมไม่มีทางดูหล่อเหลาแน่นอน ทว่าเมื่ออยู่บนตัวขององค์ชายรอง กลับช่วยส่งเสริมบุคลิกและรูปลักษณ์ของเขาให้สง่ามากยิ่งขึ้น ดูคล้ายกับดอกเหมยแดงตั้งตระหง่านอย่างองอาจท่ามกลางผืนหิมะสีขาว
“แม่ทัพเซี่ยกล่าวเกินไปแล้ว แม่ทัพน้อยเซี่ยสร้างชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เรื่องทำศึกข้าสู้เขามิได้เลย”
เซี่ยสุยอันส่งสายตาภาคภูมิใจไปให้บิดาของตนทันที
แม่ทัพเซี่ยจ้องลูกชายตัวดีของตนแวบหนึ่ง ถูกชมไม่กี่คำก็ได้ใจใหญ่เชียวนะ!
เขาเป็นคนแข็งกระด้าง ลูก ๆ ที่เกิดมาก็ล้วนแต่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ลูกชายแต่ละคนซุกซนไม่มีใครเกิน ส่วนลูกสาวเองก็ไม่น้อยหน้า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยชื่นชอบศิลปะสี่แขนง*[1] แต่กลับโปรดปรานศิลปะการต่อสู้กว่าเป็นไหน ๆ
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับท่าทางคร่ำครึของพวกบัณฑิตที่วัน ๆ เอาแต่พูดจาเหน็บแนมผู้อื่น ทว่าเขาก็ให้ความเคารพนับถือต่อผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง
เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก เซี่ยสุยอันนับว่าเป็นเด็กฉลาดทีเดียว เขาถึงขั้นเคยคิดจะให้บุตรชายคนเล็กเติบโตไปเป็นขุนนางรับราชการ เป็นบัณฑิตกิริยามารยาทเรียบร้อย คุณสมบัติก็นับว่าไม่เลว
แต่ช่วยไม่ได้ที่บุตรชายตัวดีดันมิชอบศึกษาเล่าเรียน ทว่ากลับชื่นชอบการต่อสู้ ยิ่งเติบโตก็ยิ่งวิ่งหนีไปยังหนทางที่ตนไม่หวังจะให้เป็น จนบัดนี้ตัวเขาได้ยอมแพ้ไปแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นข้องหมองใจ เหตุใดตนถึงมิสามารถเคี่ยวเข็ญให้ลูกชายเป็นปัญญาชนได้!
เซี่ยสุยอันกลอกตาใส่บิดาที่กำลังจ้ององค์ชายรองตาเป็นมัน มีหรือจะไม่รู้ว่าท่านพ่อกำลังคิดสิ่งใด
หึ ๆ…
ตอนนี้ที่ท่านเห็นท่วงท่าสง่าผ่าเผยขององค์ชายรอง นั่นก็เป็นเพราะท่านยังไม่เคยเห็นด้านมืดของเขาต่างหาก!
สุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์เป็นเช่นไร? หนานกงฉีโม่ก็คือเช่นนั้น!
การทำข้อตกลงค้าขายกับสามชนเผ่าในครั้งนี้ ตอนแรกเริ่มพวกเขาต้องเจอกับบรรดาเผ่าทุ่งหญ้าที่มาสร้างปัญหา แต่ในระหว่างที่กำลังคุยเล่นกับองค์ชายรอง พวกเขากลับทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก่อนที่เซี่ยสุยอันจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ชนเผ่าพวกนั้นก็ลงไม้ลงมือกันเสียแล้ว
ในที่สุดเหล่าลูกสมุนที่พวกซยงหนูส่งมาสืบข่าวก็ถูกจับได้ มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ระหว่างซยงหนูกับสองเผ่าที่เหลือก็เป็นอันต้องร้าวฉาน ทำให้พวกเขาตกลงที่จะร่วมมือกับฝ่ายของตนด้วยความเต็มใจ ท่าทางที่ถูกใส่ร้ายแต่กลับซาบซึ้งจนน้ำตาไหลมันช่างงี่เง่าสิ้นดี!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยสุยอันก็รู้สึกว่าองค์ชายรองผู้นี้ช่าง…น่ากลัวยิ่งนัก
อย่างไรเสียนิสัยหน้าไหว้หลังหลอก ต่อให้เพิ่มท่านพ่อเข้าไปอีกคนก็ไม่ยากเกินความสามารถของเขา
หากญาติผู้พี่มิได้เขียนบอกในจดหมายอย่างแจ่มชัดว่าสามารถเชื่อใจเขาได้ เซี่ยสุยอันคงสงสัยว่าองค์ชายรองผู้นี้เสแสร้งแกล้งทำเป็นแน่!
ถึงอย่างไรเขาก็เชื่อใจญาติผู้พี่ของตน แล้วไหนจะเรื่องที่องค์ชายรองเคยประสบพบเจอมาอีก…
เขาชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเห็นใจ การที่ต้องพบเจอกับตระกูลมารดาเช่นนั้นช่างเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจยิ่งนัก
“แม่ทัพน้อยเซี่ย ดื่มสุราหรือไม่?”
หนานกงฉีโม่ชูจอกสุราในมือพลางมองเขาอย่างยิ้ม ๆ
เซี่ยสุยอัน : …สายตาคลุมเครือถูกเห็นเข้าจนได้ ความสามารถในการรับรู้อันว่องไวช่างสุดยอดจริง ๆ!
แต่ว่า…ได้ดื่มสุราสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
เซี่ยสุยอันกระหายอย่างยิ่งที่จะดื่มเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับที่เขานำติดตัวมา มีเพียงเหล้านั่นที่บุรุษคู่ควรดื่ม!
“องค์ชายรอง เหล้าองุ่นกับเหล้าลูกพลับที่ท่านนำมายังมีเหลืออีกหรือไม่”
เซี่ยสุยอันพุ่งตัวเข้าไปด้วยความกระตือรือร้น แม่ทัพเซี่ยที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจอยู่ข้าง ๆ พยายามเงี่ยหูฟัง
ที่เมืองหลวงสุราสองชนิดนี้นับว่าโด่งดังทีเดียว ชื่อเสียงของพวกมันขจรขจายมาไกลจนถึงแถบนี้
ว่ากันว่า ‘เหล้าลูกพลับทองคำพันชั่งหาซื้อไม่ได้ เหล้าองุ่นหายากในรอบหมื่นปี’ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่าบรรดาทูตจากต่างแดนต่างแย่งชิงสุราจนเลือดตกยางออก ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ ถึงขนาดมีนักประพันธ์จำนวนไม่น้อยที่แต่งกลอนถึงสุราทั้งสองชนิดนี้
แม่ทัพเซี่ยผู้ไม่เคยดื่มเหล้าองุ่นและเหล้าลูกพลับมาก่อนก็รู้สึกเหยียดหยามพวกมัน ชีวิตนี้เขาดื่มสุรามามากมายนับไม่ถ้วน เคยลิ้มลองสุราชั้นยอดมาทุกชนิด มันก็เป็นแค่คำกล่าวเกินจริงที่ถูกพูดต่อ ๆ กันมาก็เท่านั้น
แต่หลังจากที่องค์ชายรองมาถึง ทั้งยังนำสุราสองไหมามอบให้แก่เขา และบอกว่าองค์ชายใหญ่ตั้งใจส่งมาให้พวกเขา
เพียงซดเข้าไปอึกเดียว แม่ทัพเซี่ยก็ติดใจในทันที
ของที่เขาเคยดื่มก่อนหน้านี้มินับเป็นสุราเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นสุราผสมน้ำชัด ๆ!
ทว่ามีสุราเพียงแค่สองไห ส่วนสมาชิกในครอบครัวของเขาที่ชอบดื่มดันมีหลายคน
เดิมทีแม่ทัพเซี่ยคิดจะเก็บไว้ดื่มคนเดียว แต่มิรู้ว่าเจ้าลูกตัวดีเซี่ยสุยอันไปรู้ข่าวมาจากที่ใด พาลูกสะใภ้มาค้นสุราที่เขาซ่อนเอาไว้จนเจอ ทั้งยังแบ่งสุราทั้งสองไปเกือบครึ่ง
ทำเอาแม่ทัพเซี่ยอยากร้องไห้ให้กับสุราของตน
สุราที่เหลือพวกนั้นต่อให้ดื่มอย่างประหยัดเพียงใดก็มีวันหมดอยู่ดี
พอได้ลิ้มรสสุราชั้นยอดเช่นนั้นแล้ว ช่างเป็นเรื่องทรมานจิตใจหากต้องกลับไปดื่มสุราไร้รสชาติพวกนั้นอีก
บัดนี้เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าองค์ชายรองยังมีสุราเหลืออยู่อีกหรือเปล่า แล้วจะรังเกียจหรือไม่หากเขาจะขอดื่มด้วยสักอึกสองอึก
หนานกงฉีโม่มองสองพ่อลูกแวบหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความตะกละตะกลามของพวกเขา
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก คนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
“รายงาน มีของส่งมาจากเมืองหลวงขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาทั้งสามคู่ภายในห้องก็พลันเป็นประกายทันที
เซี่ยสุยอันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “มีของพวกข้าหรือไม่ มีของส่งมาถึงจวนแม่ทัพหรือเปล่า?”
ญาติผู้พี่ต้องส่งสุรามาให้พวกเขาเป็นแน่!
แม้ว่าแม่ทัพเซี่ยจะสำรวมท่าที แต่ก็มองพลทหารที่เข้ามาแจ้งข่าวด้วยสายตาเป็นประกายไม่แพ้กัน
พลทหาร : กดดันอย่างหนัก.jpg
“มีขอรับ”
ทั้งสามเดินออกไปด้านนอก เมื่อเห็นข้าวของมากมายเต็มคันรถ สองพ่อลูกตระกูลเซี่ยก็มองเห็นไหสุราด้วยสายตาอันเฉียบคมในทันใด จากนั้นก็หัวเราะร่าด้วยความยินดีปรีดา
“สุรา!”
สองพ่อลูกก้าวฉับอย่างว่องไว แม่ทัพเซี่ยเองก็ละทิ้งท่าทีเคร่งขรึม เขาพับแขนเสื้อขึ้นหวังจะใส่สุราทั้งหมดลงในถุงจนเกือบจะทะเลาะกับลูกชายของตน
แม่ทัพเซี่ยตบหัวของเขาดังป้าบ “ไอ้ลูกอกตัญญู คิดจะแย่งของของพ่อเจ้าหรือ!”
[1] ศิลปะสี่แขนง (琴棋书画) เป็นสี่สิ่งศิลปวิทยาอันทรงคุณค่าของจีน ได้แก่ ดนตรี หมากล้อม อักษร และศิลปะวาดภาพจีน