เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 290 การกระทำโจ่งแจ้ง
บทที่ 290 การกระทำโจ่งแจ้ง
บทที่ 290 การกระทำโจ่งแจ้ง
พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเต็มไปด้วยขั้นตอนความซับซ้อนจุกจิกและใช้เวลาค่อนข้างนาน
หนานกงสือเยวียนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน โดยที่มีคนอื่น ๆ ยืนดูอยู่ด้วยความเรียบร้อย และบางครั้งก็คุกเข่าตามอีกด้วย
ครึ่งชั่วยามต่อมา เสี่ยวเป่าเริ่มหาวหวอด มือลูบท้องไปมาก่อนจะเอื้อมไปจับเท้าอย่างเงียบ ๆ
เท้าน้อย ๆ ของนางเมื่อยไปหมดแล้ว
“เหนื่อยแล้วหรือ”
องค์ชายสี่ หนานกงฉีอิงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของน้องสาวแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม เขาค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปหานาง
“ขยับมาใกล้ ๆ พี่สิ”
ร่างของเขาสูงใหญ่และดูน่าเชื่อถือมากยามไม่ได้เอ่ยปากพูด
เสี่ยวเป่าโน้มตัวไปทางพี่สี่หลัง แอบขยับไปใกล้เขาอย่างว่าง่าย
“พี่สี่หิวหรือไม่”
เด็กหญิงตัวน้อยมองเขาตาละห้อย น้ำเสียงฟังดูอ่อนแรงเล็กน้อย
หนานกงฉีอิงเกาท้ายทอย เอ่อ…เขาไม่ได้นำของกินติดตัวมาเลย
สีหน้าของเขาดูเศร้าใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามพี่น้องคนอื่นว่าติดของกินมาบ้างหรือไม่ เขาก็เห็นน้องสาวเอาถุงใบเล็กที่ห้อยอยู่ตรงเอวออกมาเปิด จึงมองตามอย่างเงียบ ๆ
เขาชะโงกหน้ามองดู พลันพบว่าภายในมีของอยู่หลายอย่าง
มีทั้งของว่างและผลไม้น่ากิน
น้องสาวใส่ของมากมายลงในถุงใบเล็ก ๆ นี้ได้อย่างไรกัน!
“พี่สี่อยากกินหรือไม่”
เสี่ยวเป่าถามอย่างจริงจัง
จากนั้นก็เอาขนมเกาลัดยัดใส่มือเขาหนึ่งชิ้นโดยไม่รอคำตอบ
“พี่สี่กินเร็ว”
กินด้วยกันเช่นนี้จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้อยู่คนเดียว
เพราะอากาศหนาวเย็นทำให้ทุกคนต้องสวมเสื้อคลุมตัวหนา แต่นั่นก็ทำให้เสี่ยวเป่าแอบกินขนมได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
เด็กน้อยก้มศีรษะงุด ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อคลุมเพื่อแอบกินขนม เมื่อหัวทุย ๆ ของนางโผล่ออกมา แก้มกลมนุ่มก็พองกลมยิ่งกว่าเดิมมาก มุมปากเล็ก ๆ เลอะขนมเล็กน้อย ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างรู้สึกผิด จะมีใครเห็นภาพนี้นอกจากพี่สี่หรือไม่
เด็กหญิงตัวน้อยท่าทางราวกับหนูชางฉู่ที่แอบขโมยอาหารจนเต็มกระพุ้งแก้ม ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
หัวใจของหนานกงฉีอิงอ่อนยวบเมื่อเห็นภาพอันน่ารักน่าเอ็นดูของน้องน้อย
“รีบกินเถิด พี่จะบังให้เจ้าเอง”
ยามเขายังเยาว์วัยก็มักต้องทนหิวระหว่างพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ยืนหิวท้องกิ่วต้องการของกินอย่างมาก หลังกลับตำหนักก็รู้สึกทนหิวไม่ไหวจนต้องเข้าไปกอดพระมารดาด้วยน้ำตา
พระมารดากลับเขกหัวเขาหนึ่งที และบ่นว่าเหตุใดจึงไม่รู้จักซ่อนของกินเอาไว้เพื่อแอบกินยามลับตาผู้คนระหว่างทำพิธีเล่า
จากคำบอกเล่าของพระมารดาทำให้เขารู้ว่าคนอื่น ๆ ท่ามกลางฝูงชนที่ดูตั้งใจกับพิธีการอย่างเคร่งครัดแม้แต่ขุนนางผู้ใหญ่บางคนก็ยังแอบทำเช่นนี้ไม่ต่างจากเด็กเล็ก
ตั้งแต่นั้นมาเมื่อมีพิธีการที่ต้องใช้เวลายาวนานเช่นนี้ พระมารดาก็มักจะเตรียมของกินให้เขาลอบเอาเข้ามากินเสมอ
พอเขาเริ่มโตขึ้นและทนความหิวได้นานถึงได้เลิกทำเช่นนั้นไป
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่น้องสาวตัวเล็กของเขาจะหิวมาก โชคดียิ่งที่เขาได้เห็นท่าทางน่ารักของนางยามแอบกินขนม
เสี่ยวเป่าแอบยัดขนมเข้าปากเป็นชิ้นที่สามเพื่อประทังความหิว และเริ่มพบว่าพี่ชายกำลังมองมาที่นาง
เจ้าตัวน้อยแก้มแดงด้วยความเขินอาย แต่ก็ยังพยายามทำเป็นยืนนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม
ทว่าหลังจากยืนนิ่งไปได้ไม่นาน ร่างน้อยขององค์หญิงก็เริ่มโซเซอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงานจนนางต้องยอมแพ้ เอนตัวไปพิงพี่ชายที่อยู่ข้างกัน
การมีพี่ชายเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน…
เมื่อพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษสิ้นสุดลง เด็กน้อยก็พบว่าเท้าเล็ก ๆ ทั้งสองข้างแทบจะไม่ใช่ของนางอีกแล้ว
เสี่ยวเป่าก้าวเท้าอย่างอ่อนแรงและเกือบจะเสียหลักล้มหน้าคะมำ
หนานกงฉีอิงซึ่งอยู่ใกล้สุดรีบคว้าตัวน้องสาวไว้อย่างรวดเร็วเพราะสายตาเฉียบคมเห็นเข้าพอดี
นางตัวเบาหวิวราวกับลูกเจี๊ยบ
เพียงชั่วอึดใจ องค์หญิงน้อยก็อยู่ภายในอ้อมแขนแข็งแกร่งของพี่สี่แล้ว
“พี่จะอุ้มเจ้าเอง”
เสียงของพี่สี่ดังขึ้น เสี่ยวเป่าซบหน้าลงไหล่กว้างของพี่ชายอย่างสงบ ร่างกายที่แนบชิดนุ่มนิ่มไปทั้งตัวราวกับเป็นตุ๊กตาตัวจิ๋วบราวนี่ออนไลน์
“พี่สี่ ข้าอยากอุ้ม ๆ บ้าง”
หนานกงฉีจวินเห็นแล้วก็เข้ามาร่วมด้วย
หนานกงฉีอิงเหลือบมองเขา จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยอย่างพาซื่อ
“ไม่ได้ เจ้ายังเด็กเกินไป เรี่ยวแรงเพียงนั้น เจ้าจะพาน้องหญิงล้มไปด้วย”
หนานกงฉีจวิน “…”
เขาไม่ควรพูดเรื่องนี้กับพี่สี่เลย!
หลังจากเข้าร่วมพิธีการนานจนหมดแรง เสี่ยวเป่าก็ฟื้นคืนพลังอย่างรวดเร็วเมื่อได้กินอาหาร
เพียงแต่…นางเริ่มเจ็บเข่านิดหน่อยแล้ว QAQ
เด็กน้อยไม่ได้หงอยลงแต่อย่างใด นางยังกระตือรือร้นที่จะไปหาท่านพ่อเพื่อบ่นเรื่องนี้ ซ้ำยังอวดหัวเข่าแดง ๆ ให้บิดาดูอีกด้วย
ฝูไห่ที่อยู่ด้านข้างอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้น รู้สึกเป็นห่วงองค์หญิงน้อยยิ่ง
“เหตุใดจึงทรงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมช่วยทำแผลดีหรือไม่”
หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยตอบ “ไปเอายาจินชวงมา”
ฝูไห่รีบร้อนไปหยิบยามา
หนานกงสือเยวียนเป็นคนลงมือทายาให้เสี่ยวเป่าเอง
เด็กน้อยพิงกายอยู่ในอ้อมแขนของบิดาพลางเอ่ยเสียงใส “ท่านพ่อทายาให้ เสี่ยวเป่ารู้สึกหายเจ็บเลย”
หนานกงสือเยวียนบีบแก้มกลม ๆ ของธิดา สายตาคู่นั้นมองอย่างเป็นห่วง “ไม่เจ็บแล้วหรือ”
เสี่ยวเป่าตอบรับในลำคอ นางรู้สึกดีมาก เพราะเป็นถึงภูตน้อยที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ แผลเท่านี้นับว่าเล็กน้อยมาก!
แต่เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อไม่ได้คิดเช่นนั้น
เพราะหลังจากนั้นท่านพ่อก็ไม่ยอมปล่อยเสี่ยวเป่าลงอีกเลย
กระทั่งงานเลี้ยงในวังเริ่มต้นขึ้น เขาก็ยังอุ้มร่างน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนตลอดเวลา
เสี่ยวเป่า “…ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าทำท่านพ่อเป็นห่วงหรือเพคะ”
ตอนนี้นางลงเดินเองได้แล้วจริง ๆ!
ฝูไห่กงกงประกาศว่าฮ่องเต้เสด็จแล้ว เหล่าขุนนางบู๊บุ๋นต่างรีบคุกเข่าลงทั้งสองข้าง หนานกงสือเยวียนก้าวเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่งโดยอุ้มเจ้าก้อนแป้งน่าเอ็นดูไว้ในอ้อมแขนแกร่ง
พระพักตร์ของฝ่าบาทยังดูเรียบเฉย ฉลองพระองค์สีดำปักดิ้นทองบนพระวรกายยิ่งขับเน้นให้ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมบารมีอย่างยิ่ง
ทว่าทุกสายตากลับจับจ้องไปที่องค์หญิงน้อยซึ่งอยู่ในอ้อมแขนมากกว่า
เสี่ยวเป่าบิดตัวไปมาในอ้อมแขนของท่านพ่ออย่างไม่สบายตัว ยกมือคู่น้อยขึ้นมาปิดหน้า พยายามหลบซ่อนด้วยความคิดที่ว่าหากนางไม่เห็นพวกเขา พวกเขาก็ไม่เห็นนางเช่นกัน!
ฮือ…ท่านพ่อปล่อยเสี่ยวเป่าลงไปที
“อยู่นิ่ง ๆ”
เสียงทุ้มของหนานกงสือเยวียนพลันเอ่ยขึ้น “ไม่อยากให้อุ้มแล้วหรือ”
เสี่ยวเป่าก้มหน้าเล็ก ๆ แล้วส่ายหน้าไปมา
ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าเดินเองได้ มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นเสียหน่อย!
ต่อไปถ้าเจ็บตัว นางไม่ควรไปอ้อนท่านพ่ออีกแล้ว
เสี่ยวเป่าก้มหน้าลงด้วยความขุ่นเคือง แก้มกลมขาวราวหิมะพองออกคล้ายปลาปักเป้า
ขุนนางทั้งสองฝ่ายเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบ ๆ ลอบมององค์หญิงน้อยในอ้อมแขนฝ่าบาทด้วยสีหน้าพิกลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ฝ่าบาทที่เคยปล่อยให้องค์หญิงน้อยไปไหนมาไหนเพียงลำพัง คราวนี้กลับอุ้มนางมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง!
ทว่าเรื่องนี้หาได้เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด พวกเขาเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ ขณะที่ฝ่าบาทอุ้มองค์หญิงน้อยและนั่งลง
ทุกคน “…”
มีหลายคนสบถอยู่ในใจแต่ไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้
ทุกคนลอบมองกันไปมา เพียงรอให้ใครบางคนหาญกล้าพอที่จะกราบทูลเรื่องความเหมาะสมกับฮ่องเต้
ครั้นไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา จึงต้องมีใครสักคนรวบรวมความกล้ากราบทูลขึ้น
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…”
“หุบปาก ข้าต้องให้เจ้ามาสั่งสอนด้วยอย่างนั้นหรือ”
เพียงเท่านั้น ผู้กล้าก็พลันปิดปากสนิทด้วยความกลัวจนหัวหด
ให้ตาย…ฮ่องเต้ทรงน่าเกรงขามเกินไปแล้ว!
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา “องค์หญิงเจาเสวี่ยได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าเนื่องจากเข้าร่วมพิธีก่อนหน้านี้ ข้าเป็นบิดาจะอยู่เฉยได้อย่างไร”
พระองค์จงใจเน้นคำว่า ‘บิดา’ อย่างหนักแน่นจนไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก
แม้จะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ทั้งยังเป็นบิดาของเด็กหญิงด้วย
และเพราะเป็นมนุษย์เขาจึงยังมีความรักใคร่ หวงแหน ลำเอียง ทั้งยังแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าโปรดปรานในตัวเสี่ยวเป่ามากเพียงใด