เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 300 ฝ่าบาทส่งพวกข้ามา
บทที่ 300 ฝ่าบาทส่งพวกข้ามา
บทที่ 300 ฝ่าบาทส่งพวกข้ามา
เสี่ยวเป่าตาโตในทันทีเมื่อได้ยินว่าท่านพ่อจะฝึกองครักษ์เงาให้ตนเอง
“ใช่คนที่กระโดดไปกระโดดมา ซ่อนตัวในความมืดดูเท่สุด ๆ ไปเลยใช่หรือไม่ เสี่ยวเป่าเคยเห็น!”
อิ่งอีที่กำลังซ่อนตัวคอยคุ้มกันได้ยินองค์หญิงพูดว่าอาชีพของพวกเขานั้นดีเลิศ แม้จะมองเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ใบหูกลับขึ้นสีแดงก่ำ
จะเป็นไปได้อย่างไร องครักษ์เงาอย่างพวกเขาน่าละอายที่สุดมิใช่หรือ
“แต่ว่าเรื่องนี้…ต้องถามพวกเขาก่อนนะ”
เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วชนกัน นางไม่อาจตัดสินใจแทนผู้อื่นได้
“เสี่ยวเป่าจะไปถามพวกเขาเอง”
พูดจบเจ้าตัวน้อยก็รีบวิ่งไปยังกลุ่มของพวกเด็ก ๆ จากนั้นก็เริ่มพูดจาสะเปะสะปะ แต่นางไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เงาเท่าใดนัก สุดท้ายก็อธิบายไม่เข้าใจ จึงส่งสายตาปริบ ๆ ไปให้ท่านอาเจ็ดและพี่ชาย
พวกท่าน…พวกท่านพูดเองดีกว่า
หนานกงหลีเขกศีรษะน้อย ๆ ของนาง “ถอยไป ข้าเอง”
ส่วนฝีปากนี้ก็ช่างพูดเสียเกินพอดี พูดเจื้อยแจ้วราวกับชักแม่น้ำทั้งห้า
หัวหน้าองครักษ์เอามือกุมหัว “…”
ท่านอ๋องพูดสารพัดสิ่งมากมายให้เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวพวกนี้ฟังไป พวกเขาก็ไม่เข้าใจหรอก
เป็นอย่างที่คาด แววตาของพวกเด็ก ๆ ดูสับสนมึนงงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีบางคนที่พอฟังเข้าใจ อย่างเช่น…
“จะบนสวรรค์หรือในนรกก็ไม่มีอะไรที่องครักษ์เงาทำไม่ได้ บางคนถึงขั้นเปลี่ยนหน้าได้เป็นพันเป็นหมื่นเชียวนะ”
เด็กคนหนึ่งถามขึ้น “ใช่…ใช่พวกไร้หน้าหรือไม่ ข้าได้ยิน ได้ยินมาว่าคนพวกนี้จะลอกหน้าของผู้อื่นมาใส่บนหน้าตัวเอง”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาซีดเผือดในทันใด
หนานกงหลีหวนนึกถึงบรรดาองครักษ์เงาท่าทางโหดเหี้ยมของเสด็จพี่ จากนั้นก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ใช่แล้ว น่ากลัวมาก”
หัวหน้าองครักษ์แทบจะล้มทั้งยืน
อิ่งอีในเงามืด “…”
เยี่ยมมาก ปล่อยหมัดฮุกเช่นนี้เลยหรือ!
เซียวเหยาอ๋องทำลายภาพลักษณ์ของพวกเขาไม่เหลือชิ้นดี!
“เซียวเหยาอ๋องให้กระหม่อมอธิบายเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าองครักษ์รีบพูดแทรกพลางปาดเหงื่อ เขารับรู้ได้ถึงไอสังหาร
คิดเพียงครู่เดียวก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นองครักษ์ที่ฝ่าบาทส่งมาคุ้มครององค์หญิง
เขารู้ว่าไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะไม่ลงมือทำสิ่งใด เพียงแต่…ต่อไปเกรงว่าองค์หญิงคงต้องไปไหนมาไหนกับพวกเขาจริง ๆ เสียแล้ว~
หัวหน้าองครักษ์อธิบายหน้าที่ในฐานะองครักษ์เงาอย่างตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมมอบสิ่งเย้ายวนใจที่สุดให้กับพวกเขา
สรุปก็คือเป็นงานที่เสี่ยงอันตราย การงานมั่นคงทั้งยังเงินเดือนสูง ต้องฝึกฝนอย่างหนักไม่เว้นวัน แต่ก็มีอาหารให้กินจนอิ่มและมีเสื้อผ้าดี ๆ ให้สวมใส่
แค่ได้กินอาหารและมีเสื้อผ้าให้ใส่ เพียงเท่านี้ก็นับเป็นสิ่งล่อตาล่อใจเด็กเร่ร่อนไร้ที่พึ่งพิง ทั้งยังต้องอดมื้อกินมื้อไปวัน ๆ อย่างพวกเขายิ่งกว่าสิ่งใด
“ข้ายินดีทำ”
เด็กที่เป็นผู้นำเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น พลางมองหัวหน้าองครักษ์ด้วยสายตาเป็นประกาย
“ข้าจะทำ”
“พวกข้าก็ด้วย”
เด็กคนอื่น ๆ ตอบโดยไม่แทบไม่ต้องคิด
หัวหน้าองครักษ์รู้สึกพอใจยิ่ง แต่เขาก็ต้องพูดให้ชัดเจน “พวกเจ้าต้องคิดให้ดี ๆ องครักษ์เงาเปรียบเหมือนดาบในมือของนาย อาจตายได้ตลอดเวลา และทำได้เพียงซ่อนตัวในเงามืดเท่านั้น”
“ตอนนี้พวกข้าเป็นขอทาน เดิมทีก็เผชิญกับชีวิตที่ต้องหิวตาย หนาวตาย หรือไม่ก็ถูกทุบจนตายอยู่แล้ว เป็นองครักษ์เงาได้เรียนรู้ทักษะ กินอิ่มนอนหลับ ซ้ำยังได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ ข้าไม่กลัวการฝึกหนักหรอก!”
เขาถามเป็นสิ่งสุดท้าย “หากว่าพวกข้าเป็นองครักษ์เงาแล้ว จะสามารถปกป้องนางได้หรือไม่?”
เขามองเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเล่นกับพวกเสืออยู่อีกด้าน นางทั้งไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ มีดวงตาสดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
ตัวเขาเคยวาดฝันมานับครั้งไม่ถ้วนโดยหวังว่าตนจะมีความสุขเช่นนั้นบ้าง แต่เมื่อตื่นจากความฝัน เขายังคงต้องกัดฟันอดทนพาพวกพ้องของตนออกหาเศษอาหารต่อไป ท่ามกลางสายตาดูถูกเหยียดหยามราวกับมองพวกเขาไม่ต่างไปจากสุนัขตัวหนึ่ง
บางทีพวกเขาอาจเทียบสุนัขไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะว่าบางครั้งก็ต้องแย่งอาหารพวกมันกิน
ครอบครัวส่วนใหญ่ที่แม้แต่ตัวเองยังมิอาจรับประกันได้ว่าจะได้กินอิ่มนอนหลับ แล้วผู้ใดเล่าจะยอมแบ่งปันอาหารให้กับคนที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
“เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกข้าขายตัวเป็นทาสใช่หรือไม่”
ในที่สุดเด็กคนนั้นก็ถามขึ้นโดยไม่สบตาบราวนี่ออนไลน์
ทุกคนต่างรู้ดีว่าการเป็นทาสช่างน่าสังเวชใจเพียงใด
หัวหน้าองครักษ์ตอบโดยไม่ปิดบัง “ถูกต้อง แต่เมื่อพวกเจ้าอายุสี่สิบก็สามารถเลือกที่จะเกษียณได้ นายของเจ้าจะคืนฐานะทาสให้ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสามารถเลือกใช้ชีวิตอย่างสันโดษ หรือจะผันตัวมาเป็นองครักษ์หรือทหารเต็มตัวก็ย่อมได้เช่นกัน แต่คนที่เลือกใช้ชีวิตอย่างปกติจะต้องถูกทำลายวรยุทธ์”
ฝ่าบาทเป็นผู้กำหนดให้องครักษ์เงาเกษียณได้เมื่อมีอายุสี่สิบปี นับว่าเป็นปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับทาสที่คอยปกป้องคุ้มครองนายในมุมมืดมาเกือบครึ่งค่อนชีวิตของพวกเขา
เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังถึงตรงนี้ก็ไม่หลงเหลือความลังเลใด ๆ อีก
“ดีมาก กินข้าวเช้าเสร็จแล้วข้าจะให้คนพาพวกเจ้าไปยังที่ที่พวกเจ้าจะต้องอยู่หลังจากนี้”
และในเวลานี้เอง อิ่งอีก็ส่งพิราบส่งสารออกไปเพื่อแจ้งข่าวถึงองค์เหนือหัว
ครั้นหนานกงสือเยวียนได้อ่านจดหมายก็ส่งองครักษ์เงาจำนวนหนึ่งออกไป
ทางด้านเสี่ยวเป่า เมื่อพวกเขากินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทาง
ขณะที่นางกำลังกังวลว่าจะทำอย่างไรกับเด็กพวกนั้น คนทั้งสองในชุดสีดำสนิท ใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“อ๊า!!!”
เสี่ยวเป่าอ้าปากกว้างและร้องอุทานตามพวกเด็ก ๆ
หนานกงหลีเห็นดังนั้นมิรู้จะร้องไห้หรือว่าหัวเราะดี เขาเคาะศีรษะน้อย ๆ ของนาง
“เจ้าจะร้องตกใจไปไย ใช่ว่ามิเคยเห็นเสียหน่อย”
เสี่ยวเป่าหัวเราะคิกคัก “เห็นทีไรก็รู้สึกตื่นเต้นทุกทีนี่นา”
“องค์หญิง ฝ่าบาทส่งพวกข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวเป่าก็ร้องไม่ออก
นางรีบหลบอยู่ข้างหลังท่านอาเจ็ดด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ท่านพ่อ ท่านพ่อให้พวกเจ้ามาจับเสี่ยวเป่ากลับไปหรือ”
เจ้าตัวน้อยโผล่หน้ามามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ
หนึ่งในองครักษ์เงาเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทส่งพวกข้ามารับเด็ก ๆ พวกนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่า “เด็ก ๆ ที่ว่ารวมเสี่ยวเป่าด้วยหรือไม่”
นางอยากเที่ยวเล่นข้างนอกต่ออีกหน่อย ยังพาท่านแม่ไปไม่ถึงไหนเลย
“ฝ่าบาทเพียงให้กระหม่อมมาแจ้งท่านว่าอย่ามัวเตร็ดเตร่นานเกินไป ให้กลับบ้านด้วย”
เสี่ยวเป่าได้ฟังก็รู้ทันทีว่าท่านพ่ออนุญาตให้นางอยู่เที่ยวเล่นต่อ!
เจ้าตัวน้อยยิ้มแก้มปริพร้อมกับรับปากอย่างมั่นอกมั่นใจ “บอกท่านพ่อว่าไม่ต้องเป็นห่วง เสี่ยวเป่าเที่ยวเล่นไม่นานก็จะกลับแล้ว!”
หนานกงหลีหัวเราะพลางโบกพัดในมือ “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าจะกลับไปถึงต้องใช้เวลาเท่าใด”
“เซียวเหยาอ๋อง องค์ชายสาม”
องครักษ์เงาตรงหน้าพูดขึ้นอีกครั้ง สองคนที่ถูกเรียกชื่อสะดุ้งเฮือกในบัดดล รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีนัก
ไม่ผิดไปจากที่คาด…
“ฝ่าบาทตรัสว่าได้จดชื่อพวกท่านไว้แล้ว กลับไปจะคิดบัญชีทีหลัง”
ทั้งสองคน “…”
ยามนี้ได้แต่ขอร้องให้เสด็จพี่/ท่านพ่อลืม ๆ พวกเขาไปเสียจะดีกว่า!
องครักษ์เงาพาตัวพวกเด็ก ๆ ออกไป รวมทั้งเสี่ยวอันที่อยู่ในสภาพอิดโรยก็ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เจี่ยเจินฝังเข็มให้นางก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ทั้งยังทิ้งยาไว้ให้จำนวนมากแล้วค่อยจากไป
พวกเขาออกจากอารามร้างท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ กำลังดี เสี่ยวเป่ามิได้นั่งรถม้า ทว่าขี่อยู่บนหลังอันใหญ่โตของไป๋อู๋ฉาง
บนหลังเจ้าเสือขาวมีสิ่งที่คล้ายกับอานม้าวางอยู่ นางนั่งอย่างมั่นคง แกว่งขาคู่น้อยไปมาโดยกอดป้ายชื่อของท่านแม่ไว้ในอ้อมแขน พลางมองดูทิวทัศน์รอบ ๆ อย่างมีความสุข
ในบรรดาพวกที่เดินเท้า แม้แต่องครักษ์สวมชุดเกราะพร้อมกับดาบคู่กายก็ยังมิน่าเกรงขามเท่ากับเด็กคนนี้!