เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 304 ตระกูลอวี๋
บทที่ 304 ตระกูลอวี๋
บทที่ 304 ตระกูลอวี๋
ใบหน้าของเจ้าเมืองเขียวคล้ำเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
เขารู้ดีว่าน้องภรรยาเป็นคนยโสโอหังไม่รู้จักสงบปากสงบคำ มักแสดงอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองจินโจว คิดว่าเมืองจินโจวแห่งนี้เป็นถิ่นของตนเองที่ทำสิ่งใดตามใจได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด
แต่เมื่อได้พบกับคนจากวังหลวงเข้าจริง ๆ กลับพูดจาพล่อย ๆ ใส่ท่านอ๋องและองค์ชาย เขาก็แทบจะเป็นคนทุบตีน้องภรรยาให้ตายคามือ
“จับคุณชายอวี๋ไปขังคุกข้อหาพูดจาล่วงเกินท่านอ๋อง”
“ลูกเขย…”
แม่ยายของเจ้าเมืองหลี่ตื่นตระหนก นางกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ถูกสามีห้ามปรามเอาไว้
รอยยิ้มกลับปรากฏบนใบหน้าเขา “ตัวอวี้ทำตัวไม่ถูกต้องจริง ๆ เขาต้องได้รับบทเรียน ในฐานะตัวแทนตระกูลอวี๋โปรดประทานอภัยแก่บุตรชายกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋ตัวอวี้ถูกปิดปากพร้อมกับลากออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามารดาของเขาจะทุกข์ใจและเป็นห่วงเพียงใดก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้
หลังจากที่เจ้าเมืองหลี่และผู้นำตระกูลอวี๋โค้งคำนับส่งท่านอ๋องและองค์ชาย สีหน้าของพวกเขาก็หมองลงทันที
“เหตุใดเรื่องถึงกลายเป็นเช่นนี้ ลูกชายของข้าต้องถูกขังเช่นนี้หรือ ลูกเขย เจ้าจะปล่อยให้เรื่องเป็นเช่นนี้หรือ”
อวี๋ฮูหยินเต็มไปด้วยความกังวล
นางมีบุตรชายเพียงคนเดียว จึงมักตามใจจนไม่สนถูกผิด ไม่คาดคิดว่าทำให้เขาต้องพบเจอกับเรื่องร้ายแรงเช่นนี้
เจ้าเมืองหลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านพ่อตาแม่ยาย ข้าไม่สามารถปล่อยตัวตัวอวี้ได้ในตอนนี้ พวกท่านต้องไปเตรียมขอประทานอภัยโทษต่อเซียวเหยาอ๋องและองค์ชายสาม หากสิ่งที่เขาพูดไปถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทแล้วถูกสั่งประหารขึ้นมา นั่นต้องแย่แน่ เราต้องระวังให้มาก ข้าจะดูแลตัวอวี้เอง”
“เอาละ ๆ… เช่นนั้นเราไปเตรียมตัวกันเถอะ”
ตระกูลอวี๋คุ้นชินกับชีวิตที่แสนราบรื่นดั่งการแล่นเรือในวันที่ลมสงบในเมืองจินโจว พวกเขาไม่เคยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน กระทั่งการมาถึงของท่านอ๋องและองค์ชาย
เมื่อกลับมาถึงเรือนรับรอง เจี่ยเจินก็นั่งไขว่ห้างและเคี้ยวขาหมู
“ท่านอ๋องสร้างเรื่องให้เจ้าเมืองจินโจวต้องขุ่นเคืองใจตั้งแต่มาถึงเช่นนี้ ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างความยุ่งยากให้ในอนาคตหรือ”
เสี่ยวเป่าเอาขาหมูขึ้นมาแทะ แก้มนิ่มและริมฝีปากน้อย ๆ มันเยิ้มไปหมด
หนานกงฉีอวิ๋นเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดแก้มและปากให้นางอย่างอ่อนโยนระหว่างที่น้องสาวกำลังเพลิดเพลินกับการแทะขาหมู ไม่ทันไรนางก็ทำแก้มเปื้อนอีกครั้ง
พี่ชายไม่ได้ใจร้อนและมองน้องสาวอย่างเอ็นดูที่เห็นว่านางกำลังแทะขาหมูอย่างเอร็ดอร่อย
หนานกงหลีพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมออกมา “ท่านอ๋องเช่นข้ามีสิ่งใดต้องกลัวงั้นหรือ”
วันรุ่งขึ้น สมาชิกตระกูลอวี๋มาถึงหน้าเรือนรับรองเพื่อขอประทานอภัยโทษ
หนานกงหลีเอ่ยตอบรับด้วยรอยยิ้มฝืนทน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ประทานอภัยอะไรให้ เพราะรู้สึกรังเกียจคำพูดสวยหรูน่าขนลุกของอวี๋ตัวอวี้
ครอบครัวอวี๋จากไปด้วยใบหน้าสิ้นหวัง เสี่ยวเป่ากลับมาจากด้านนอกพอดี ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หนานกงหลีโบกพัดไปมาพลางเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น ใครทำให้เด็กน้อยของเราไม่พอใจกัน”
เสี่ยวเป่าย่ำเท้าแรง ๆ มือเล็กถือถังหูลู่เอาไว้ ถึงจะโกรธอยู่แต่นางก็ยังไม่ลืมที่จะอ้าปากกัดขนมหวานหนึ่งคำใหญ่ แก้มอ่อนนุ่มขยับขึ้นลงตามจังหวะการเคี้ยว
“คนตระกูลอวี๋เป็นคนไม่ดีเพคะ”
เสี่ยวเป่าตื่นเต้นที่ได้มาสถานที่ใหม่ ๆ นางจึงตื่นแต่เช้า นำป้ายวิญญาณของมารดาใส่ลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวังแล้วออกไปเดินเล่น
ระหว่างที่องค์หญิงน้อยกำลังเพลิดเพลินกับการเลือกซื้อของกินอยู่นั้น นางบังเอิญพบฮูหยินและแม่บ้านตระกูลอวี๋ออกมาเดินซื้อของเช่นกัน
พวกเขามาพร้อมกับข้ารับใช้ที่ถือไม้น่ากลัวเอาไว้ในมือ หยิบสิ่งของที่ต้องการไปตามอำเภอใจแล้วหย่อนเหรียญทองแดงเพียงเล็กน้อยเป็นการจ่ายเงิน
เงินเพียงน้อยนิดนั้นไม่มีทางเทียบได้กับมูลค่าของที่หยิบไปเลย
หญิงชราผู้หนึ่งและหลานชายเอาไก่มาขาย ถูกคนเหล่านั้นปล้นไก่ไปถึงสามตัวแต่กลับจ่ายเงินมาเพียงสิบอีแปะเท่านั้น
หญิงชราถือเงินสิบอีแปะที่ได้รับมาและร้องไห้อย่างขมขื่น
นางเป็นคนยากจนไม่ได้มีเงินทอง ทำงานหนักเลี้ยงไก่ได้ไม่กี่ตัว แม้จะขายเพียงไข่ก็สมควรได้เงินมากกว่านี้ ไม่ต้องพูดถึงไก่รุ่นสามตัวที่ถูกฉวยเอาไปเลย
เสี่ยวเป่าไม่พอใจอย่างมากที่เห็นเช่นนั้น นางอารมณ์เสีย สั่งให้สัตว์ที่ติดตามนางไปจัดการพวกเขาจนกรีดร้องเสียงหลง
หลังจากเรื่องวุ่นวายจบลง เสี่ยวเป่าและพี่ชายก็เอาของที่ถูกปล้นไปทั้งหมดคืนให้ทุกคน และได้รับรู้เรื่องราวมากมายของคนตระกูลอวี๋จากพวกเขา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนของตระกูลอวี๋เข้ามาปล้นของจากร้านค้า และร้านค้าส่วนใหญ่ในเมืองจินโจวที่เป็นของตระกูลอวี๋เองก็มีราคาสูงมาก ชาวบ้านต้องพยายามหาเงินมาซื้อของจำเป็นในชีวิตประจำวันจากพวกเขาโดยเฉพาะอาหารอย่างไร้ทางเลือก
ไม่เพียงแค่ผู้คนที่อาศัยในเมืองจินโจวเท่านั้นที่ต้องทนทุกข์กับเรื่องเช่นนี้ แม้แต่พ่อค้าจากต่างเมืองที่เดินทางมาก็ถูกคนเหล่านี้ข่มขู่ทำร้ายเช่นกัน
คุณชายตระกูลอวี๋ฉุดคร่าหญิงสาว คุณหนูฉุดชายหนุ่ม ไม่มีใครในเมืองนี้กล้าขัดขืนพวกเขาบราวนี่ออนไลน์
และเจ้าเมืองหลี่ก็มักเข้าข้างตระกูลอวี๋เสมอ
เสี่ยวเป่ายังพบว่าเสี่ยวอันได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากบังเอิญมีเรื่องกับตระกูลอวี๋โดยไม่ได้ตั้งใจ
ตลอดทางกลับเรือนรับรอง นางไม่อาจระงับความโกรธในใจได้เลย
“ท่านอาเจ็ด เราให้ท่านพ่อจัดการคนตระกูลอวี๋ได้หรือไม่เพคะ”
ทันทีที่พูดจบ นางก็เอ่ยปฏิเสธตนเองขึ้นมาอีกที “ไม่สิ ท่านพ่องานยุ่งมาก เสี่ยวเป่าไม่ควรหางานให้ท่านพ่อยุ่งมากกว่าเดิม”
เด็กน้อยยังคงห่วงใยบิดาของตนเสมอ
แต่เสี่ยวเป่าก็โกรธมากเช่นกัน หากรู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ท่านอาเจ็ดทุบตีเขา นางคงจะตามไปร่วมเตะด้วยสักสองสามที
เสือสองตัวเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเสี่ยวเป่า เพื่อปลอบโยนเด็กน้อยราวกับรู้สึกได้ว่านางกำลังอารมณ์ไม่ดี
หนานกงหลี “เพียงแค่เจ้าเมืองเล็ก ๆ อาเจ็ดและพี่สามของเจ้าจัดการให้เอง”
ถึงจะเป็นอสรพิษร้ายเพียงใดก็ต้องยอมจำนนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมังกรตัวจริง
อย่างเดียวที่พวกเขากังวลคือกลัวว่าเจ้าเมืองหลี่และตระกูลอวี๋จะรวมหัวกันเข้ามาทำร้ายเสี่ยวเป่าที่ดูเป็นเพียง ‘ลูกเจี๊ยบตัวน้อย’ มากกว่า
เมื่อทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เจี่ยเจินก็ได้กำชับให้เสี่ยวเป่าพกพิษหลายชนิดติดตัวเอาไว้
หนานกงฉีอวิ๋นทำอาวุธลับขึ้นมา และทายาพิษลงไปก่อนจะซ่อนมันเอาไว้ที่ข้อมือ ข้อเท้า หรือแม้กระทั่งที่เครื่องประดับผม
เสี่ยวเป่ายังคงเก็บตัวต่อไว้ใกล้ตัว และมีเสือทั้งสองตัวคอยตามอารักขาไม่ห่างกาย
หนานกงหลีเห็นว่าหลานสาวตัวน้อยมีอาวุธครบมือเตรียมพร้อมแล้วก็พยักหน้าอย่างไว้วางใจ
“เช่นนี้ข้าก็สามารถลงดาบเจ้าคนพวกนั้นได้อย่างไม่ต้องกังวลแล้ว”
ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าเจ้าเมืองหลี่จะยิ้มแย้ม แสดงท่าทีนอบน้อมทุกครั้งที่พบเซียวเหยาอ๋องและองค์ชายสาม แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
เมื่อเจ้าเมืองหลี่มาพบเขาอีกครั้ง หนานกงหลีก็วางถ้วยชาลงอย่างเย็นชา
“เจ้าเมืองหลี่ ข้าจำได้ว่าบอกให้เจ้าไปแจ้งนายอำเภอของเมืองต่าง ๆ ให้พวกเขาพาช่างฝีมือที่มีความรู้เรื่องการก่อสร้างมาเรียนรู้เรื่องการสร้างเตียงเตา นี่ผ่านไปกี่วันแล้ว”
เจ้าเมืองหัวเราะเช่นเคย “ท่านอ๋อง ยามนี้ใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ นายอำเภอน่าจะกำลังยุ่งมาก ช่างฝีมือเองก็เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดที่กระหม่อมทำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงหลี “ฤดูใบไม้ผลิ? เจ้าคิดว่าท่านอ๋องเช่นข้าไม่เข้าใจเรื่องฤดูกาลและการทำการเกษตรอย่างนั้นหรือ”
“หา…หามิได้…”
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดเห็นเช่นไร หากไม่มีใครมาภายในสองวันนี้ ข้าก็ชักสงสัยในความสามารถของเจ้าในฐานะเจ้าเมืองแล้ว นี่อาจจะต้องรายงานแก่เสด็จพี่เสียหน่อย…”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเจ้าเมืองหลี่พลันซีดเผือด รีบลุกจากไปทันที