เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 308 โจรภูเขา
บทที่ 308 โจรภูเขา
บทที่ 308 โจรภูเขา
เสียงการต่อสู้พร้อมด้วยเสียงดาบดังก้องขึ้นในหุบเขาที่ว่างเปล่า
คนสวมเครื่องแบบทางการมีเพียงราวห้าสิบคน แต่มีพวกโจรมีอย่างน้อยสามร้อยคนปิดล้อมพวกเขาไว้
เรื่องครั้งนี้ดูคล้ายจะเป็นการฆ่าสังหารฝ่ายเดียว
ทว่าคนในเครื่องแบบทางการนั้นต่างได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีอาวุธครบครันกว่าพวกโจร แม้พวกโจรจะมีคนมากกว่านี้หลายเท่า พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้
ชายร่างกำยำผู้นั่งอยู่บนหลังม้ามองมาอย่างเหยียดหยามจากระยะไกล เขาเปลือยอก แขนกำยำเต็มไปด้วยเส้นเลือด ถือมีดพร้าไว้ในมือ
“เจ้าคนแซ่หลี่นั่นกังวลเกินไปแล้ว ดันขอให้ข้าพาคนมาซะมากมายเพื่อจัดการกับคนแค่ไม่กี่คน”
เขามองดูรถม้าสองสามคันด้วยความรังเกียจ “คนแค่นี้ ไม่คณนามือพี่น้องที่ถูกส่งไปหรอก”
“นายท่านสาม นายท่านรองกล่าวว่าคราวนี้เราควรระวังไว้ พวกมันมีเสือสองตัวด้วยขอรับ”
นายท่านสามกุมมีดพร้าและเยาะเย้ยเหยียดหยาม “เสือ? อย่าว่าแต่เสือเลย แม้จะมีหมีตาบอดมา ข้าก็ล้มมันได้! พี่รองระแวงมากเกินไป จะทำอะไรก็ต้องพิจารณาสิ่งนี้สิ่งนั้นไปซะหมด ถ้าให้ข้าพูด ก็แค่ทำ ๆ ให้มันจบเสีย!”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงเสือคำรามสะท้านแผ่นดินก็ดังออกมาจากรถม้า สัตว์ในป่าต่างตกใจกลัวจนเตลิดหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ม้าทุกตัวหวาดกลัวจากแรงกดดันของเสือโคร่งจนบางตัวแข้งขาอ่อนแรงล้มกองกับพื้น บางตัวก็วิ่งเตลิดหนีไป
พวกโจรแต่เดิมอยู่ในสภาพดี ต่างหวาดกลัวกับเสียงคำรามนี้ ก่อนทั้งกลุ่มจะตกอยู่ในความโกลาหล
ใบหน้าของนายท่านสามซีดเผือดและน่าเกลียด ขณะควบคุมม้าที่ขี่ให้สงบลง
เขารีบเหยาะม้าตรงไปข้างหน้าพร้อมกับมีดพร้าบนไหล่ “ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าหนอนแมลงนั่นตัวใหญ่เพียงใดกัน!”
เขาล่าสัตว์ป่าไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันตัว เขายังจะกลัวเสือได้อย่างไร
ครั้นนายท่านสามพุ่งไป เสือดำยักษ์จากรถม้าก็กระโดดออกมาขย้ำคอของโจรคนหนึ่งทันที นอกจากนี้ภายใต้กรงเล็บเสือยักษ์ยังมีชายอีกคนหนึ่งที่ส่งเสียงกรีดร้องพลางกระอักเลือด
กรงเล็บอันแหลมคมของเฮยอู๋ฉางออกแรงอีกเล็กน้อย แผ่นหลังของชายคนนั้นก็ถูกเล็บอันแหลมคมแทงทะลุจนเป็นรู สิ้นใจทันที
ชั่วขณะนี้ มันกลายเป็นเฮยอู๋ฉาง ผู้ส่งสารแห่งนรกมาเก็บเกี่ยววิญญาณ
อีกด้านหนึ่ง ไป๋อู๋ฉางเองก็ไม่ยอมแพ้
มันกัดคนตายไปทีละคน พลางเลียเลือดจากปากแล้วจ้องมองโจรขี้ขลาดด้วยแววตากระหายเลือด
ทันทีที่ปรากฏตัว ดูเหมือนพวกมันจะทำการล่าสังหารทุกคน ไม่ต้องพูดถึงศัตรู เมื่อได้เห็นภาพนั้น แม้แต่คนฝ่ายเดียวกันยังนึกตกใจ
โชคดีที่แม้เฮยไป๋อู๋ฉางจะดูบ้าคลั่ง แต่พวกมันยังคงมีสติอยู่
“เจ้าเดรัจฉานทั้งสอง วันนี้พวกเจ้าจะต้องตกตายภายใต้มีดของท่านปู่อย่างข้า!”
เสียงของชายผู้ดุร้ายกึกก้องราวกับฟ้าคำราม ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับมีดพร้าในมือ
เขาจ้องมองเสือสองตัวอย่างดุร้าย คล้ายไม่เกรงกลัว แต่อันที่จริงเขาแค่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป
มั่นใจว่าตนฉลาดกว่าสัตว์ป่า และด้วยอาวุธในมือ เขาย่อมสามารถเอาชนะเสือทั้งสองได้อย่างแน่นอน
แต่เฮยไป๋อู๋ฉางเป็นเสือธรรมดาหรือ พวกมันเป็นเสือที่แม้แต่กองทัพของหนานจ้าวก็มิอาจต่อกรได้ แค่หนึ่งตัวก็เทียบได้กับกองทัพชั้นยอด
แน่นอนว่านายท่านสามไม่รู้ แต่หลังจากต่อสู้กับพวกเสืออยู่หลายกระบวนท่า เขาก็ไม่สามารถฟันร่างกายที่ยืดหยุ่นของเสือดำได้ ทั้งมันยังตบม้าของเขาตายอีก
ทันทีที่เขาตกลงจากหลังม้า อุ้งเท้าใหญ่ของเสือขาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ฟาดลงมาทันที เพื่อไม่ให้ถูกตบตาย เขาจึงยกมีดขึ้นต้าน ก่อนม้วนกลิ้งเพื่อหลบหลีกการโจมตีนี้
แต่มือที่ถือมีดพร้ากลับสั่นสะท้านจนตื้อชา
ภายนอกนายท่านสามดูดุร้าย แต่จริง ๆ แล้วภายในใจเขาเต็มไปด้วยความสับสน
นี่มันเสือจริง ๆ หรือ
มีดของเขาทิ้งเพียงบาดแผลเล็ก ๆ ไว้บนอุ้งเท้าของเสือขาว ทั้งยังมีเสียงประกายไฟแลบยามใบมีดถูเข้ากับเล็บของมันด้วย
เสือสองตัวล้อมนายท่านสามไว้อีกครั้งด้วยแววตากระหายเลือด
ในขณะนี้ นายท่านสามที่ได้ประมือกับพวกมันสั้น ๆ ไม่กล้าหยิ่งผยองอีกต่อไป เขาได้ตัดสินใจยอมแพ้
แต่ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากสวมชุดดำและสวมหน้ากากพลันปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ การเคลื่อนไหวของพวกเขาวูบไหวรวดเร็วเหมือนภูตผี โดยทุกการเคลื่อนไหวล้วนเป็นการโจมตีสังหาร ในเวลาเพียงครู่เดียว พวกโจรส่วนใหญ่ก็ตกตายกันไปแล้ว
นายท่านสามตกตะลึง ก่อนใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
“พวกเราติดกับดักเข้าแล้ว!”
ชั่วขณะนี้ เขาเลิกคิดถึงการจัดการเสือสองตัวไปนานแล้ว เหลือเพียงความคิดที่อยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“จะหนีหรือ”
หนานกงหลีในรถม้ายกยิ้ม ก่อนจะยกม่านของรถม้าขึ้น พลางมองออกไปอย่างสบาย ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับบรรดาซากศพและเลือดจากชิ้นส่วนที่ขาดกระจายอยู่บนพื้น การแสดงออกของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในดวงตาของเขายังมีรอยยิ้ม
“ไม่มีวันเสียหรอก”
นายท่านสามรีบหนีไปพร้อมกับลูกสมุนที่พ่ายแพ้ ทางเฮยไป๋อู๋ฉางก็ไล่ตามไปอย่างไม่รีบร้อน
“พี่สาม เสี่ยวเป่าดูได้หรือไม่”
ในรถม้า เสี่ยวเป่านั่งอย่างเชื่อฟังในอ้อมแขนพี่ชายขณะถูกปิดหู เมื่อเสียงข้างนอกเงียบสนิท พี่ชายจึงก็ยอมปล่อยหูนาง เจ้าก้อนแป้งพลันเบิกดวงตากลมโตสุกใสแล้วเอ่ยถามเสียงหวาน
ใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงฉีอวิ๋นซีดเล็กน้อย “ไม่… ไม่ได้”
ครั้นพิจารณาจากวิธีการพูดคำหนึ่งแล้วหายใจติดขัดหลายครา คล้ายจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ประสบกับเหตุการณ์ที่มีเสียงกรีดร้องและเสียงดาบแทงทะลุเนื้อคนเช่นนี้
แม้จะไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง แต่เขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าสถานการณ์ภายนอกจะน่าสยดสยองเพียงใด
เมื่อมองดูพี่ชายของนาง เสี่ยวเป่าก็เป็นกังวลยิ่ง
นางรีบลุกขึ้นเอาน้ำให้ดื่มพลางตบหลังเพื่อปลอบใจ
“ท่านพี่อย่ากลัวไปเลยเพคะ”
เสี่ยวเป่าซาบซึ้งใจจริง ๆ ท่านพี่กลัวมากแท้ ๆ แต่เขากลับยกมือขึ้นปิดหูนางแทน
หนานกงหลีมองไปทางหลานทั้งสองด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าสาม เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ เจ้าต้องรู้จักทำความคุ้นเคยกับเรื่องนี้เข้าไว้”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาเลื่อนสายตามองเสี่ยวเป่าอีกครั้ง “เสี่ยวเป่า เจ้ายังเด็กอยู่ ยังไม่ถึงเวลา”
คนคนนี้ก็แสดงความสองมาตรฐานอีกคน
เสี่ยวเป่าพองแก้ม ยืดอกแล้วพูดว่า “ข้าไม่กลัว!”
ในเวลานี้ มีเสียงมาจากภายนอก “ท่านอ๋อง พวกมันหนีไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงหลีส่งเสียงรับ “พวกเราควรจะไปต่อหรือ…”
เสี่ยวเป่ายกมือเล็ก ๆ ขึ้น “ปล้นพวกโจร!”
ครั้นเสียงนุ่มนิ่มของเด็กน้อยดังขึ้น ดวงตาหลายคู่ก็พลันมองมาที่นาง
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ก่อนลดมือลงอย่างประหม่า พลางเอ่ยถามเบา ๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรือเพคะ”
นางจิ้มนิ้วเล็ก ๆ เข้าหากัน ใบหน้าน่ารักขึ้นสีด้วยความเขินอาย
“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่ายังไม่มีของที่ระลึกให้ท่านพ่อเลย”
มุมปากของหนานกงหลีกระตุก “เจ้าอยากส่งของที่ระลึกแบบไหนให้ท่านพ่อของเจ้ากัน”
ดวงตากลมโตที่งดงามของเสี่ยวเป่ากะพริบช้า ๆ ก่อนจะใช้เสียงที่นุ่มนวลที่สุดพูดถ้อยคำที่โหดร้ายที่สุดด้วยสายตาอันไร้เดียงสาเป็นที่สุด
“เงินจากถ้ำโจร…”
นางได้ยินมาว่าพวกโจรปล้นเงินของผู้คนไปมากมาย
ทางหนานกงหลี “…เจ้าเป็นเด็กน้อยที่ฉลาดมาก!”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าความคิดนี้ดียิ่ง!