เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 309 ค่ายสยงเฟิงP
บทที่ 309 ค่ายสยงเฟิง
บทที่ 309 ค่ายสยงเฟิง
เจี่ยเจินเองก็สนใจอย่างคึกคักเช่นกัน “พอดีเลย ข้ามียาพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงอยู่ เพียงแค่โปรยไปในอากาศก็ได้ผลแล้ว พวกเรามาลองดูกันเถิด”
หนานกงฉีอวิ๋น “…”
ทุกคนในรถม้า มีเขาเพียงผู้เดียวที่มีจิตใจเรียบง่ายอย่างนั้นหรือ
ทางด้านของพวกเขากำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้าตรงไปทางถ้ำโจร อีกด้านหนึ่งนายท่านสามตะลีตะลานพาโจรที่เหลือตรงเข้าไปในค่าย ระหว่างทางก็ถูกเสือทั้งสองหยอกล้อเล่นราวกับเป็นมุสิก
พวกมันชอบกระโจนออกมาอย่างกะทันหันโดยไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใด คาบคนหนึ่งไปจากนั้นก็วิ่งหนี ทิ้งไว้เพียงเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดสิ้นหวัง
จิตใจของคนกลุ่มนี้พังทลายยับเยิน บางคนถึงกับวิ่งไปร้องไห้ไป
เสียใจ…เสียใจเป็นอย่างยิ่งที่รับงานนี้ เสียใจกระทั่งเรื่องที่ตนเองกลายเป็นโจรภูเขาเสียด้วยซ้ำ
“เดรัจฉาน ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องสังหารแล้วกินเนื้อพวกมันเสีย”
แม้เขาจะเอ่ยอย่างดุร้าย แต่ใจจริงนั้นเริ่มเกิดความอลหม่านขึ้นมาแล้ว
เขาเป็นผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในค่ายแห่งนี้ ทว่าเขายังไม่อาจต่อกรกับเสือสองตนนั้นได้ ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่น ๆ ในค่ายบนภูเขาเลย
“นายท่านสาม ตอนนี้ควรทำเช่นไรดี เสือสองตัวนั้นไล่ตามพวกเราไม่หยุด เกรงว่าพวกมันจะไล่ตามเราเข้าไปถึงด้านในค่าย”
แน่นอนว่านายท่านสามย่อมรู้เรื่องนี้ แต่เขายังคงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในค่ายบนภูเขา
เพราะว่าด้านในมีคนอยู่จำนวนมาก หากนำมาเทียบกับชีวิตของเขาเองแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็ไม่มีค่าอันใด!
ยามนี้เขาหวังเพียงเสือทั้งสองจะกินคนจำนวนมากจนอิ่ม ตนเองจะได้หนีรอดไปได้
ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเสือทั้งสองจะทำเพียงแค่สังหารคน ไม่ได้กินแต่อย่างใด!
ดวงตาของนายท่านสามเผยประกายโหดเหี้ยม เหล่าพี่น้องอย่าได้กล่าวโทษข้าเลย หากจะโทษก็โทษความโชคร้ายของตนเองเสียเถิด
เดิมทีเขาก็เป็นพวกกากเดนอยู่แล้ว คาดหวังให้เขามีความผูกพันลึกซึ้งกับค่ายบนภูเขาหลังกลายเป็นนายท่านสามอย่างนั้นหรือ ไร้สาระเกินไปแล้ว!
รถม้าของพวกหนานกงหลีตามหลังไปโดยที่ความเร็วไม่มีตก เมื่อได้ยินคำรายงานจากองครักษ์เงาแล้วก็พลันเหยียดยิ้มเย้ยหยัน
“สามารถขึ้นเขากลายเป็นโจรได้ ยังหวังให้มีมโนธรรมกับจิตสำนึกพอให้ไม่เสียสละคนอื่นเพื่อตนเองได้อย่างไร”
หากโจรเหล่านั้นมีสิ่งที่เรียกว่าจิตสำนึกจริง เช่นนั้นในหมู่พวกเขาคงไม่มีเรื่องการทรยศหักหลังกันเป็นปกติ
ค่ายสยงเฟิงเป็นค่ายโจรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในบริเวณแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่อยู่โดยรอบ หรือคาราวานพ่อค้าที่ผ่านทางมาล้วนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ค่ายสยงเฟิงเป็นเพียงแค่กลุ่มโจรเล็ก ๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ทว่านับตั้งแต่ ‘นายท่านรอง’ เข้ามา พวกเขาก็ค่อย ๆ กลืนกลุ่มโจรภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามา ก่อนจะเริ่มทำการปล้นและทำเรื่องอุกอาจจนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้ทั่วทั้งค่ายมีสมาชิกกว่าห้าร้อยคน
ครั้งนี้นายท่านสามนำคนกว่าสามร้อยไปสังหารพวกหนานกงหลี เดิมทีคิดว่าเป็นงานง่าย ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายจะต้องหนีหัวซุกหัวซุกกลับมาพร้อมคนไม่ถึงร้อย
ครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงเสียหน้าและกำลังคนไป ทว่ายังทำให้ทั้งค่ายสยงเฟิงตกอยู่ในวิกฤตการณ์ล่มสลายอีกต่างหาก
“นายท่านสามกลับมาแล้ว!”
เมื่อผู้เฝ้าประตูเห็นพวกตนเองกลับมาแต่ไกลก็ร้องออกมา ทว่ายังไม่ทันจะได้ยินดีก็ต้องตื่นตกใจจนหน้าถอดสี
“เกิดอันใดขึ้น มีเหล่าพี่น้องไปกว่าสามร้อยคนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลับมาเพียงแค่นี้!”
ในตอนนี้เองทุกคนพลันตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เร็ว…รีบไปแจ้งนายท่านรองเร็วเข้า!”
หนึ่งในนั้นรีบวิ่งเข้าไปในค่ายอย่างรวดเร็วเพื่อแจ้งนายท่าน
ชายที่เหลืออยู่บนหอสังเกตการณ์ชะเง้อคอออกไปมองอีกครั้งด้วยสีหน้าวิตกกังวล คราวนี้ด้วยระยะที่ใกล้มากขึ้น ทำให้เขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
แต่เพราะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมากจนล้มลงนั่งกับพื้น
“นั่น…นั่นมันอันใดกัน!”
เขาเบิกตากว้าง รูม่านตาหดแคบอย่างรวดเร็ว เขาเห็นเสือตัวใหญ่สองตัวไล่ตามหลังกลุ่มของนายท่านสามมา
ทว่าเพียงแค่พริบตาเดียว คนที่อยู่รั้งท้ายกลุ่มก็ถูกสังหารไปสองคน
เขาใช้มือและขาอันสั่นเทาพยุงร่างของตนขึ้นมา ต้องการจะปิดประตู สกัดกั้นไม่ให้เสือทั้งสองตัวเข้าไปได้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเขาเองก็จะต้องตายไปด้วย
ทว่าก่อนที่มือจะทันได้เอื้อมถึงประตู จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหนาวยะเยือกที่ช่วงต้นคอ จากนั้นก็ไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้อีก
องครักษ์เงาลอบจัดการคนผู้นั้นอย่างเงียบเชียบ เสร็จแล้วจึงจากออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ทั้งค่ายสยงเฟิงก็ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน
เสือทั้งสองเฝ้าอยู่ด้านหน้าค่าย ไม่ปล่อยให้ผู้ใดออกมาจากประตู ส่วนองครักษ์และองครักษ์เงาต่างร่วมมือกันสังหารทุกคนในค่ายอย่างเงียบเชียบ
หนานกงหลีอุ้มเสี่ยวเป่าลงจากรถม้าอย่างไม่เร็วไม่ช้า มือข้างหนึ่งยังยื่นออกมาปิดตาของเด็กน้อยเอาไว้
ทว่ามือก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องเท่าใดนัก มันปิดบริเวณจมูกของนางอยู่
เสี่ยวเป่าจับมือของเขาเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยเรียกเสือทั้งสองด้วยเสียงนุ่มนิ่ม
ตอนนี้บนร่างของเสือทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด เห็นแล้วชวนให้ผู้คนหวาดผวา
พวกมันเลียจมูก ก่อนก้าวเข้ามาพร้อมทิ้งรอยเท้าเปื้อนเลือดเอาไว้เป็นทาง
หนานกงหลีมองเสี่ยวเป่าด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่กลัวหรือ”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่กลัว”
แม้ต้องเผชิญหน้ากับศพเหล่านั้น นางก็ไม่เกิดความกลัว
เมื่อชาติที่แล้วนางเคยได้เห็นศึกสงครามมากับตาตัวเองแล้ว
มีคนตายจำนวนมาก ยามนั้นผืนฟ้าถึงกับเปลี่ยนเป็นสีชาด แม้คนอื่น ๆ จะมองไม่เห็น แต่นางเห็น นั่นคือความอาฆาตแค้นของเหล่าชีวิตที่สูญสิ้นไป
ความอาฆาตจากสมรภูมิเป็นสิ่งที่หนักหนาที่สุด บนร่างของท่านพ่อถูกวิธีการพิเศษบางอย่างฝังคำสาปอาฆาตคอยชักนำ และรวบรวมความอาฆาตแค้นทั้งหมดเอาไว้บนตัว นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับ
คนเรายามดึกในห้วงนิทรามักจะผ่อนคลายความระมัดระวังลง ความอาฆาตที่แฝงอยู่ในคำสาปบนร่างจึงสบโอกาสลงมือ ทำให้ท่านพ่อฝันร้ายทุกครั้งที่นอนหลับ จิตใจถูกรบกวนอย่างหนัก หากผ่านไปเป็นระยะเวลานาน ไม่ว่าจิตใจจะแข็งแกร่งแค่ไหนสุดท้ายล้วนลงเอ่ยถูกทรมานจนบ้าคลั่ง
เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อขึ้นมา ยามอยู่ข้างกายเขา นางทำได้แต่เพียงใช้พลังวิญญาณชำระล้างความอาฆาตเหล่านั้นออกไป
ทว่าคำสาปอาฆาตเป็นเสมือนภาชนะบรรจุที่คอยชักนำความอาฆาตแค้นเข้ามาตลอดเวลา เมื่อนางชำระส่วนหนึ่งให้บริสุทธิ์ไปแล้ว เพียงไม่นานก็จะถูกเติมเต็มใหม่
“คิดอันใดอยู่จึงเหม่อลอยถึงเพียงนี้”
หนานกงหลีโบกมือด้านหน้าเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าเกยคางลงบนไหล่ของท่านอาเจ็ด เปลือกตาหลุบลงด้วยความเศร้าโศก
“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อ คิดว่าทำเช่นไรจึงจะสามารถกำจัดคำสาปอาฆาตบนร่างท่านพ่อได้”
นางเป็นเพียงแค่ภูตตัวน้อย แม้จะใช้พลังวิญญาณได้ แต่กลับไม่อาจทำลายสิ่งแปลกประหลาดเช่นนั้นได้!
“ตอนนี้สถานการณ์ของท่านพ่อเจ้าดีขึ้นมากแล้ว ตราบใดที่ยังรักษาสภาพเช่นนี้ต่อไป จะต้องพบหนทางแก้ไขได้อย่างแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าหนานกงหลีเองก็สนใจสภาพร่างกายของเสด็จพี่เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้หนอนกู่และคำสาปบนร่างของเสด็จพี่ก็เป็นภัยคุกคามมาโดยตลอด
เมื่อคนทั้งกลุ่มมาถึงค่ายบนภูเขา ทันทีที่หนานกงฉีอวิ๋นลงจากรถม้าก็วิ่งออกไปอาเจียนด้านข้างด้วยสีหน้าซีดเซียว
“ท่านพี่!”
เสี่ยวเป่าใช้ขาสั้น ๆ วิ่งตามไปอย่างเป็นกังวล ระหว่างยืนเขย่งช่วยตบหลังให้เขาก็ส่งพลังเข้าไปในร่างกายด้วย
ยามนี้พลังวิญญาณของนางฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว ทว่าพลังวิญญาณของนางสามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายและดูแลพืชพรรณได้เท่านั้น ไม่อาจใช้โจมตีได้แม้แต่น้อย
เสี่ยวเป่าหวนนึกถึงมังกรดำในครานั้น เมื่อต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์อันดุร้าย เขายังใช้พลังวิญญาณออกมาต้านทานอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งดูดุดันและทรงพลัง
เมื่อเทียบกันแล้ว นางช่างอ่อนแอยิ่งนัก