เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 312 เหมืองเงิน
บทที่ 312 เหมืองเงิน
บทที่ 312 เหมืองเงิน
ชายหนุ่มผู้หิวโหยแม้จะอ่อนแรงจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่พอได้กลิ่นหอมก็พร้อมกลืนอาหารที่บิดาป้อนให้
“ช้าหน่อย ๆ สำลักขึ้นมาจะเสียของ”
เมื่อเห็นบุตรชายกินได้ ชายชราก็น้ำตาไหลพราก ขอเพียงบุตรชายยังกินได้เขาก็ดีใจแล้ว คนรากหญ้าอย่างพวกเขาขอแค่ได้กินอิ่มนอนหลับ เพียงเท่านี้ก็มีชีวิตต่อไปได้แล้ว
แต่เสี่ยวเป่าคิดว่าบาดแผลของเขา ไม่สิ… บาดแผลของพวกเขาต้องได้รับการรักษา
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะไปตามท่านอาเจ็ดกับท่านพี่มาที่นี่”
เมื่อเห็นว่าเทพธิดาตัวน้อยกำลังจะจากไป ทุกคนก็เริ่มวิตกกังวล
“เทพธิดาตัวน้อยจะไปที่ใด ให้พวกเราไปกับท่านด้วยเถิดขอรับ”
พวกเขากลัวว่าจะเหล่าผู้คุมจะไปตามพรรคพวกกลับมาที่นี่
เสี่ยวเป่า “แต่อีกหลายคนคงเดินไปไม่ไหวแน่”
“ไหว พวกเราไหว พวกเราทุกคนยังเดินไหว”
พวกเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจเดียว แต่แร่เงินพวกนั้น…
เงินทั้งนั้น ผู้ใดก็ต้องอยากนำกลับไปด้วย พวกเขาทั้งรักทั้งเกลียดเหมืองเงินนี้
“ไม่ได้ เอาไปไม่ได้!”
ผู้ที่รู้กฎหมายเท่านั้นจึงจะเข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะหากพบเหมืองเงินจะต้องแจ้งให้ทางการทราบโดยเร็วที่สุด ไม่สามารถฉกฉวยไปตามใจชอบ
และต่อให้พวกเขาจะเอาแร่เงินไปได้ พวกเขาก็ยังต้องหาทางถลุงเงินออกมา นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างพวกเขาจะทำได้
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเทพธิดาตัวน้อยบอกว่านางเป็นองค์หญิง
เสี่ยวเป่าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ แต่นางพอจะรู้ว่าเงินได้มาจากแร่เหล่านี้ นางต้องรีบไปบอกเรื่องนี้ให้พวกท่านอาเจ็ดช่วยหาทางแก้ไข
หลังจากกินดื่มเพียงพอแล้ว ทุกคนก็เริ่มมีเรี่ยวแรงอีกครั้ง พวกเขาจึงช่วยพยุงกันและกันเดินตามหลังเทพธิดาตัวน้อยและเสือทั้งสองออกจากเหมือง
หลังจากเดินอ้อมไปอ้อมมา ในที่สุดคนทั้งหลายก็ออกจากกลางหุบเขาได้สำเร็จ พอใกล้ถึงค่ายสยงเฟิง เสี่ยวเป่าพลันได้ยินเสียงเรียกชื่อนาง
“ท่านพี่ ท่านอาเจ็ด ท่านอาจารย์ ข้าอยู่นี่!”
เสี่ยวเป่าตะโกนเสียงดัง แต่เสียงเล็ก ๆ ของนางเหมือนจะถูกลมพัดหายไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าเสือขาวแกว่งหางไปมา ดวงตากลมโตเหลือบมองพี่ชายหมายจะแสดงความเหนือกว่า ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมคำรามเสียงดังลั่น
เสี่ยวเป่าที่อยู่ข้าง ๆ “!!!”
คนที่ตามหลังมา : แม่ร่วง!
เสียงคำรามของเจ้าเสือขาวทำให้เสี่ยวเป่าตกใจจนหูอื้อตาลาย
ทว่ามันกลับเอาหัวถูไถตัวนางอย่างภาคภูมิใจ
เจ้านายฟังสิ ข้าเสียงดังมากเลยใช่หรือไม่!
เสี่ยวเป่ามองมันหน้านิ่ง หูนางดับ ไม่ได้ยินเสียงอันใดเลย
แต่ก็นับว่าเสียงคำรามของมันได้ผลดีนัก เพราะผ่านไปไม่นานเหล่าองครักษ์เงาก็ตามหานางพบ
เหล่าองครักษ์เงาเห็นองค์หญิงยังปลอดภัยไม่มีรอยขีดข่วนก็โล่งใจ ถึงแม้พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่านางจะไม่เป็นไรหากมีเสือทั้งสองคอยคุ้มกัน
องครักษ์ที่เหลือตามมาถึงทีหลัง
เสี่ยวเป่ายืดคอมองด้านหลังพวกเขา “แล้วท่านอาเจ็ด ท่านพี่ และท่านอาจารย์ของข้าเล่า”
หัวหน้าองครักษ์ตบหน้าผาก “กระหม่อมมัวแต่คิดว่าจะต้องตามหาองค์หญิงให้พบจนลืมพวกท่านอ๋องไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบเขาก็รีบหมุนตัววิ่งกลับไปทันที
เสี่ยวเป่านั่งงงอยู่บนหลังเฮยอู๋ฉาง
หนานกงหลีและหนานกงฉีอวิ๋น สองคนนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจึงเดินหนึ่งก้าวหอบสามที พลางเดินพลางบ่นพึมพำ
“พวกเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร วิ่งเร็วขนาดนั้น คงลืมไปแล้วกระมังว่าทิ้งเจ้านายไว้ข้างหลัง!”
หนานกงฉีอวิ๋นปิดปากเงียบจึงดูเหมือนว่าเขาเหนื่อยจนแทบไม่ไหวแล้ว
ในบรรดาคนทั้งสาม มีเจี่ยเจินที่ยังเดินหลังตรงท่าทางกระฉับกระเฉง
“ดูพวกท่านสิ อ่อนแอกว่าคนแก่อย่างข้าเสียอีก!”
“จุ๊ ๆ พวกท่านนี่ใช้ไม่ได้เลย ยังหนุ่มยังแน่นแท้ ๆ ไยถึงได้ร่างกายอ่อนแอถึงเพียงนี้”
หนานกงหลีเกรี้ยวกราดขึ้นมา “ท่านว่าผู้ใดอ่อนแอ ข้ายังแข็งแรงดี!”
“ข้าเพียงไม่ค่อยได้เดินเช่นนี้บ่อย ๆ ไม่เช่นนั้นข้าย่อมต้องเดินเร็วกว่าท่านเป็นแน่!”
ด้านหนานกงฉีอวิ๋นถึงแม้จะเดินก้มหน้า ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลย
แม้ไม่ได้พูด แต่เขาก็แอบคิดในใจว่าหลังจากนี้จะออกกำลังกายให้มากขึ้น
เหล่าองครักษ์วิ่งกลับมาถึงตัวพวกเขาแล้ว
“ท่าน… ท่านอ๋อง”
หนานกงหลีกลอกตามองบน
“พวกเจ้ายังจำข้าได้อยู่หรือ พอได้ยินเสียงแต่ละคนก็รีบวิ่งหน้าตั้ง ไม่สนใจเลยว่าผู้ใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พวกข้าตัวโตขนาดนี้ พวกเจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร!”
องครักษ์ก้มหน้ารับความผิด ไม่กล้าปริปากพูดสักคำ
หนานกงหลีเอ่ยเสียงเย็น “แข็งแกร่งกันนักก็แบกข้าที ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
นี่เป็นทางขึ้นเขา ไม่สามารถแบกเกี้ยวขึ้นมาได้
“แล้วเสี่ยวเป่าเล่า”
“เสี่ยวเป่าอยู่นี่เพคะ”
เสี่ยวเป่าวิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “ท่านอาเจ็ด เสี่ยวเป่าอยู่นี่”
หนานกงหลีเคาะหัวนางระบายความโกรธ “คิดว่าตนมีเสือคอยปกป้องแล้วจะทำอันใดก็ได้หรือ ไยถึงกล้าวิ่งเล่นไปทั่ว!”
เสี่ยวเป่ากุมหัวในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพี่ชาย “เสี่ยวเป่าไม่ได้วิ่งเล่นไปทั่วเสียหน่อย”
นางกอดขาพี่สามแล้วโผล่หัวออกมา “เสี่ยวเป่าไปช่วยชีวิตคน จริงสิ! ท่านอาเจ็ด เสี่ยวเป่าค้นพบเหมืองเงินด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลานสาวตัวน้อยพูดก็พลันนึกว่าตนเองหูฝาด
“เจ้าว่าอันใดนะ”
เสี่ยวเป่าพูดพลางยกแขนเล็ก ๆ แสดงท่าทาง “เหมืองเงินเพคะ เหมืองเงินที่ผลิตเงินได้”
ทุกคน “!!!”
“เกิดอันใดขึ้น เจ้าไปช่วยชีวิตคนมิใช่หรือ ไยถึงไปเจอเหมืองเงิน!”
ข่าวใหญ่เช่นนี้ผู้ใดก็ต้องตกใจ
เสี่ยวเป่าเริ่มเล่าตั้งแต่นางพาเสือสองตัวไปตามหาผู้คน แล้วเห็นคนชั่วรังแกคนงานเหมือง จึงส่งเสือทั้งสองเข้าไปช่วย
เฮ้อ… พูดจบเสี่ยวเป่าก็เหนื่อยหอบ
นางหันไปขอน้ำจากท่านพี่ “พวกท่านถามคนพวกนั้นเอาเองเถอะ ท่านอาจารย์ช่วยรักษาพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ”
เหมืองเงินอย่างนั้นหรือ มันคือเหมืองเงิน!
พวกเขากำลังกังวลเรื่องเงินอยู่พอดี สวรรค์มาโปรดแล้ว!
ดีจริง เจ้าเมืองหลี่ต้องเจอข้าเสียหน่อยแล้ว!
ใบหน้าเจ้าเมืองหลี่แวบเข้ามาในหัวหนานกงหลี ไอ้หมอนั้นคงจะแอบขุดไปไม่น้อยแล้ว
“ไป เราไปดูกันเถอะ”
เดินไปได้สองก้าวเขาก็หันหลังกลับ เดินตรงไปหาองครักษ์รูปร่างบึกบึนก่อนจะกระโดดขึ้นหลังคนผู้นั้น
“ไปเร็ว”
แทบก้าวขาไม่ออก
องครักษ์ผู้นั้น…
ต้องโทษตนเองที่ตัวล่ำสันเกินไป!
องครักษ์ส่วนหนึ่งพาเหล่าผู้บาดเจ็บกลับไปที่ค่าย ส่วนที่เหลือมุ่งหน้าไปเหมืองเงินโดยมีเสี่ยวเป่าเป็นผู้นำทาง
หลังจากตรวจสอบแล้ว องครักษ์เงาก็รีบมารายงานเสียงตื่น “ท่านอ๋อง เหมืองเงินแห่งนี้มีแร่เงินจำนวนมากจนประเมินค่ามิได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกขุดออกมาขอรับ!”
หนานกงหลีระเบิดหัวเราะทันที “ดี ประเดี๋ยวข้าจะไปยึดทรัพย์เจ้าเมืองหลี่ ไปตามเอาส่วนที่เหลือคืนมา!”
แผนการชั่วร้ายมากมายผุดขึ้นในหัว อยากเล่นสนุกจนแทบรอไม่ไหว
“เสี่ยวเป่าเป็นดาวนำโชคตัวน้อยของเราจริง ๆ ด้วย!”
เซียวเหยาอ๋องคว้าตัวเสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนหลังเสือขึ้นมาอุ้ม พร่ำหอมแก้มนางข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวาสลับไปมา
จนกระทั่งเสี่ยวเป่าเวียนหัว
นางรีบตะครุบปากท่านอาเจ็ดไว้แล้วผลักหน้าเขาออกให้ห่างตน
“ท่านอาเจ็ดพอได้แล้ว!”
“ไม่หยุด ก็ข้าดีใจนิ!”
หนานกงฉีอวิ๋นคิ้วขมวด พลางแย่งน้องสาวมาอุ้มไว้เองแล้วใช้มือเช็ดหน้าให้นาง
หนานกงหลี “…”
ไม่เห็นต้องทำท่ารังเกียจกันถึงปานนั้นก็ได้!
—————————