เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 315 คัดลอกตำราเป็นการลงโทษ
บทที่ 315 คัดลอกตำราเป็นการลงโทษ
บทที่ 315 คัดลอกตำราเป็นการลงโทษ
หนานกงสือเยวียนตั้งใจว่าเมื่อเสี่ยวเป่ามาถึงแล้ว เขาจะทำเสียงเย็นชาใส่เพื่อบอกว่าตนกำลังโกรธอยู่
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเจ้าก้อนแป้งที่อ้าแขนกว้างวิ่งเข้ามาหาตนจู่ ๆ ก็หดสั้นลง ตามด้วยเสียงล้มดังตึง แล้วร่างเล็กก็หายลับไปจากครรลองสายตาเขา
หนานกงสือเยวียน “!!!”
ขันทีและนางกำนัล “…”
ฝูไห่ “ไอ้หยา องค์หญิงน้อยของกระหม่อม!!!”
ฮ่องเต้บางคนทนเฉยเมยไม่ได้อีกต่อไป รีบเดินเท้าเข้าไปหา
เสี่ยวเป่าพยุงร่างลุกขึ้นยืนท่าทางดีอกดีใจโดยมีกลุ่มคนห้อมล้อมเอาไว้
หนานกงสือเยวียนรีบอุ้มนางขึ้นมาพลางสำรวจดู “เจ็บตรงไหนหรือไม่”
เจ้าตัวน้อยโอบกอดคอของท่านพ่อพร้อมกับส่ายหัว น้ำเสียงอ่อนหวานมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่เจ็บ ๆ เสี่ยวเป่าใส่เสื้อผ้าหลายชั้น ไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว!”
นางกอดคอท่านพ่อพลางคลอเคลียอย่างแนบชิดราวกับเป็นก้อนแป้งเหนียวหนึบ
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อที่สุดเลย คิดถึงทุกวันเลยเพคะ”
เมื่อหนานกงสือเยวียนเห็นว่านางปลอดภัยดี ก็ทำเสียงเย็นชาใส่ “เจ้าคิดถึงข้าเป็นด้วยหรือ มิใช่เจ้าหรือที่แอบหนีออกไป”
“ก็เพราะไม่ได้เจอท่านพ่อตั้งหลายวันก็เลยคิดถึงทุกวัน ท่านพ่ออย่าโกรธเลยนะ เสี่ยวเป่าผิดไปแล้ว”
หนานกงสือเยวียนชำเลืองมองนาง “ผิดตรงไหน”
เสี่ยวเป่าตอบเสียงหวาน “คราวหน้าก่อนออกไปไหน เสี่ยวเป่าจะบอกท่านพ่อก่อนเพคะ~”
ฝูไห่และคนอื่น ๆ “…”
เป็นคำตอบที่พวกเขาคาดไม่ถึงจริง ๆ
หนานกงสือเยวียน “…เจ้ายังจะมีครั้งต่อไปอีกหรือ!”
เสี่ยวเป่ากอดคอท่านพ่อแน่น “ท่านพ่ออย่าตีนะ เสี่ยวเป่าผิดไปแล้ว คราวหน้า… คราวหน้าเสี่ยวเป่าจะอยู่กับท่านพ่อ!”
ตำหนักฉินเจิ้งครึกครื้นขึ้นทันตา ใบหน้าของฝ่าบาทปรากฏรอยยิ้มดูมีชีวิตชีวา ฝูไห่ก็รู้สึกเบิกบานไปด้วย
วังหลวงแห่งนี้จะขาดองค์หญิงน้อยไปไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างฝ่าบาทกับเหล่าองค์ชายมีอันแตกสลายเป็นแน่!
วันแรกที่กลับมาถึง เสี่ยวเป่าเกาะติดท่านพ่อไม่ยอมห่างแบบที่ไม่ยอมลงมาจากตัวเขา
ในที่สุดหนานกงหลีและคนอื่น ๆ ที่มัวแต่เอื่อยเฉื่อยก็มาถึงจนได้
หนานกงสือเยวียนนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวโดยอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขน ชำเลืองมองน้องชายและลูกชายของตนแวบหนึ่ง
“มากันแล้วหรือ”
หนานกงหลีจำใจตอบเพียงคำว่าอืม ลางสังหรณ์อันตรายทำให้เขาอยากรีบไปจากตำหนักฉินเจิ้งเสียประเดี๋ยวนี้
ทว่าก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น
หนานกงฉีอวิ๋นนั่งหัวหด หวาดกลัวจนผมบนศีรษะตั้งชัน ค่อย ๆ เขยิบไปหลบหลังเสด็จอาเจ็ดอย่างเงียบเชียบ พยายามทำตัวให้ไร้ตัวตนอย่างถึงที่สุด
หนานกงหลี “…”
เจ้าหลานคนนี้ยามปกติดูหน้าตาดีมีคุณธรรม แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานทีไรกลับโยนมาให้เขาทุกที!
หนานกงหลีดึงหูพร้อมกับไถลตัวคุกเข่าอย่างชำนาญ ไม่เพียงเท่านั้นยังส่งสายตาน่าสงสารไปให้ฮ่องเต้
“เสด็จพี่ ครั้งนี้พวกเราได้โชคลาภก้อนโตโดยไม่คาดฝัน ได้โปรดเห็นแก่เงินพวกนี้อย่าถือโทษโกรธพวกเราเลยนะ”
หนานกงฉีอวิ๋นคุกเข่าลงข้างกายเขา ทำตาปริบ ๆ พยักหน้าให้เสด็จพ่อ เหลือก็แต่เขียนคำว่า ‘ได้โปรดปล่อยลูกไปเถอะ’ ไว้บนหน้าผาก
หนานกงสือเยวียนหัวเราะหึ ๆ แต่หัวเราะเช่นนั้นมิสู้อย่าหัวเราะเลยจะดีกว่า เพราะทำเอาสองอาหลานขนลุกขนชันยิ่งกว่าเดิม
“พวกเจ้าเป็นคนพบเหมืองเงินหรือ”
หนานกงหลีเอามือปิดหูและโค้งแผ่นหลัง “เปล่าพ่ะย่ะค่ะ เสี่ยวเป่าเป็นคนเจอ”
“แล้วเงินพวกนั้นพวกเจ้าเป็นคนหาเจอหรือ”
หนานกงหลีโค้งตัวอีกครั้ง น้ำเสียงเบายิ่งกว่าเก่าทั้งยังเอื้อนเอ่ยอย่างยากลำบาก “ปะ เปล่าพ่ะย่ะค่ะ เจ้า เจ้าสุนัขเป็นคนหาเจอ”
ประโยคนี้คล้ายกับไม่มีอะไร แต่เหตุใดถึงฟังดูแปลก ๆ
หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเย็นโดยไม่แสดงสีหน้าใด “ให้ข้าเห็นแก่เงินแล้วปล่อยผู้ใดไปนะ”
หนานกงหลี “…เสี่ยวเป่าพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเป็นคนอยากไปกับท่านอาเจ็ดและพี่สามเอง พวกเขาไม่เกี่ยวด้วยเพคะ”
หนานกงสือเยวียน “เช่นนั้นพวกเขาก็มีความผิดที่ไม่รายงานเรื่องนี้”
จากนั้นเขาก็พูดต่อไป “เซียวเหยาอ๋อง กลับไปคัดลอกคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องพิธีการหนึ่งจบ”
หนานกงหลี “ไม่นะ!!! เสด็จพี่ ท่านกักบริเวณข้าเถอะ หากเดือนเดียวไม่พอ จะกักสองเดือนเลยก็ได้!”
ให้เด็กเกเรอย่างเขาคัดลอกคัมภีร์อะไรนั่น นี่มันฝันร้ายชัด ๆ!
มิหนำซ้ำเสด็จพี่ยังเลือกเล่มที่ตัวอักษรเยอะที่สุดในบรรดาสี่ตำราห้าคัมภีร์ ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรเช่นนี้!
เหตุใดเด็กเกเรอย่างเขาถึงรู้ว่าคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมมีตัวอักษรเยอะที่สุดน่ะหรือ นั่นก็เป็นเพราะตอนที่ถูกลงโทษให้คัดลอกตำราคราวก่อน เขาไปถามจนได้ความมาว่าเล่มที่ตัวอักษรเยอะมากที่สุดก็คือเล่มนี้อย่างไรเล่า!
“กลับไปคัดลอกตำราเสีย ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนหากยังไม่เสร็จข้าจะให้คัดเพิ่มอีกหนึ่งจบ”
หนานกงหลี : …ข้าว่าข้าขอตายดีกว่า
หนานกงฉีอวิ๋นก้มหัวแทบชนพื้น ได้แต่วาดหวังในใจเงียบ ๆ ให้เสด็จพ่อมองไม่เห็นตนเอง
ปอยผมที่ชี้โด่เด่สั่นไหวไปมา
หนานกงสือเยวียน “เจ้าสามกลับไปคัดคัมภีร์หลุนอวี่ กักบริเวณหนึ่งเดือน”
หนานกงฉีอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อมีคนให้เปรียบเทียบอย่างเซียวเหยาอ๋อง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าบทลงโทษนี้มิได้หนักหนาเท่าใดนัก
ส่วนเสี่ยวเป่านั้น “กักบริเวณเสี่ยวเป่าหนึ่งอาทิตย์”
ลงโทษเช่นนี้…มันต่างกับไม่ลงโทษตรงไหนกัน!
หนานกงหลี : ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ ทำตัวสองมาตรฐานเช่นนี้ก็ได้หรือ!
ในที่สุดหนานกงหลีก็กลับไปพลางก่นด่าอยู่ในใจเงียบ ๆ เสี่ยวเป่ารู้สึกผิดนิดหน่อยจึงตั้งใจว่าจะไปช่วยท่านอาเจ็ดคัดลอกตำราเมื่อการกักบริเวณของตนเองสิ้นสุด!
ลายมือของท่านอาเจ็ดคงไม่ต่างจากนางเท่าไหร่กระมัง
เสี่ยวเป่าตัดสินใจได้เช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็ซบอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อต่อ
ไม่นานก็เผลอหลับไป
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของตนเองถูกลงโทษเข้าเสียแล้ว
หนานกงสือเยวียนเขียนจดหมายลับส่งไปถึงเจี่ยเจิน ในเมื่อต้องอยู่ปรุงยา เช่นนั้นรายการสิ่งของจำเป็นในค่ายทหารก็มอบให้เป็นหน้าที่ของเขาแล้วกัน
สีหน้าของเจี่ยเจินตอนที่ได้รับจดหมายเรียกได้ว่าน่ามองทีเดียว เดิมทีคิดว่าตนจะอยู่รอดปลอดภัยตราบใดที่ไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่คิดไม่ถึงว่าจดหมายที่เจ้าคนใจแคบส่งมาจะทำให้เขาหดหู่ใจได้ถึงเพียงนี้!
หลังกลับถึงพระราชวัง เสี่ยวเป่าก็หลับลึกเสียจนมิได้กินมื้อเย็น
เมื่อตื่นนอนอย่างสดชื่นในเช้าวันถัดมา สิ่งแรกที่ทำคือกินอาหารดี ๆ สักมื้อจนแน่นท้อง
ไม่เป็นไร แน่นท้องก็ออกกำลังกายช่วยได้
องุ่นของนางโตขึ้นเป็นกอง พร้อมสำหรับย้ายลงแปลง
นางได้มอบชีวิตให้กับต้นกล้าองุ่นทั้งหมดสองร้อยต้น
ตอนที่นางไม่อยู่ ก็ได้กำชับไว้ในจดหมายว่าต้องดูแลต้นกล้าองุ่นอย่างไร และจากที่เห็นพวกชุนสี่ก็ดูแลได้เป็นอย่างดี
“องค์หญิงเพคะ องุ่นพวกนี้ต้องรออีกสองปีจึงจะออกผลใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดถึงไม่หาองุ่นที่โตแล้วมาปลูกเล่าเพคะ”
เถาองุ่นใช้เวลาเติบโตค่อนข้างช้าทีเดียว
เสี่ยวเป่า “ไม่นะ องุ่นพวกนี้ไม่เหมือนกัน ปีนี้ก็ออกลูกแล้ว”
หากว่าไม่ได้พลังวิญญาณของนางก็คงต้องรอจนถึงปีหน้า แต่ภูตพฤกษาตัวน้อยอย่างนางไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น!
“ปีนี้หรือ!”
ยังเป็นแค่ต้นกล้าเล็กเพียงนี้ ชุนสี่ไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาด
“พวกเจ้ารอดูได้เลย”
เจ้าตัวน้อยตอบอย่างมั่นใจ
ขณะที่เสี่ยวเป่ากำลังยุ่งอยู่กับต้นกล้าองุ่น ในท้องพระโรง บรรดาขุนนางกลับสร้างเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าเมืองหลี่และเหมืองเงิน
คดีของเจ้าเมืองหลี่พัวพันถึงขุนนางอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ผู้ตรวจการที่ถูกส่งไปเมืองจินโจวก่อนหน้านี้ถูกปลดจากตำแหน่งเพราะรับสินบนและทุจริต ขุนนางคนอื่น ๆ ที่รับเงินจากเขาเพื่อช่วยเก็บกวาดเรื่องต่าง ๆ ก็ถูกนำตัวไปสอบสวนและลงโทษเช่นกัน