เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 318 เสี่ยวเป่าเป็นห่วง
บทที่ 318 เสี่ยวเป่าเป็นห่วง
บทที่ 318 เสี่ยวเป่าเป็นห่วง
น้องสาวของเขาส่งเงินมาให้เขาอีกแล้ว!
หนานกงฉีโม่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก น้องสาวของเขาตั้งใจเลี้ยงดูเขามากยิ่งนัก
แต่หลังจากอ่านที่มาของเงินซึ่งเขียนเอาไว้ในจดหมายแล้ว มุมปากของหนานกงฉีโม่ก็กระตุกยกขึ้น
“เสี่ยวเป่าช่างเป็นตัวนำโชคจริง ๆ”
นอกจากจดหมายของเสี่ยวเป่าแล้ว เขาก็บังเอิญเห็นจดหมายของเสด็จพ่ออีกหนึ่งฉบับด้วย
ปฏิกิริยาของหนานกงฉีโม่ในทีแรกคือความสงสัย เสด็จพ่อไม่ได้ส่งผิดใช่หรือไม่
หลังเปิดอ่านด้วยความสงสัย สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนจากความแปลกใจเป็นตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ครั้นอ่านเสร็จแล้วก็รีบไปหาท่านแม่ทัพเซี่ยพร้อมจดหมายฉบับนั้นด้วยความเร่งรีบ
ณ จวนของแม่ทัพเซี่ย หลังจากได้อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้ว แม่ทัพเซี่ยก็ตบโต๊ะอย่างตื่นเต้นพลางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ดี ดีมาก ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ….”
เซี่ยสุยอันอดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยเมื่อเห็นท่าทางอันแสนบ้าคลั่งของผู้เป็นพ่อ
“ท่านดีใจเรื่องอะไรกัน”
ทันทีที่ถามจบ แม่ทัพเซี่ยก็หันมองเขาด้วยแววตาสดใส
“สุยอัน เจ้าไปนับหน่อยว่าครั้งนี้มีพลทหารที่ปลดประจำแล้วไม่ได้กลับบ้านมากน้อยเพียงใด ฝ่าบาททรงแก้ไขปัญหาใหญ่ให้พวกเราแล้ว บอกพลทหารให้มารวมตัวกัน ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศให้พวกเขาได้ฟังกันถ้วนหน้า!”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เดินจากไปพร้อมกับจดหมายด้วยท่าทางดีอกดีใจ
เซี่ยสุยอันที่ต้องการรู้สารในจดหมาย “…”
“องค์ชายรองทอดพระเนตรจดหมายหรือยังพ่ะย่ะค่ะ เนื้อความในจดหมายนั้นเขียนสิ่งใด เหตุใดท่านพ่อของข้าถึงได้มีความสุขเช่นนั้น”
หนานกงฉีโม่กระตุกยิ้มมุมปาก “แน่นอนว่าต้องเห็นแล้วสิ”
เซี่ยสุยอันจ้องมองเขาด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
“แต่ข้าไม่อยากบอกเจ้า”
หลังจากเอ่ยจบก็เดินจากไปทั้งอย่างนั้น เซี่ยสุยอันได้แต่กัดฟันอย่างอดกลั้น
แอบก่นด่าในใจพลางลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้เป็นพ่อ รู้แล้วยังจะแกล้งคนสัตย์ซื่อเช่นเขาอีก!
…
ณ เมืองหลวง
การไถหน้าดินเป็นหน้าที่ของชาวนา หนานกงสือเยวียนเพียงพาเสี่ยวเป่ามาปลูกองุ่นแล้วกลับพระราชวัง
วันเกิดของเสี่ยวเป่าใกล้เข้ามาแล้ว หนานกงสือเยวียนจึงเตรียมจัดงานฉลองครั้งใหญ่ให้นาง
ทว่าในตอนนั้นเองข่าวร้ายก็มาถึง
“รายงาน…หนานเจียงตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เจิ้นหนานอ๋องหายตัวไป….”
สงครามทางตอนใต้ระหว่างหนานเจียงกับอาณาจักรหนานจ้าวได้เริ่มขึ้นแล้ว ทว่าเป็นเพียงสงครามขนาดย่อมเท่านั้น แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะบาดเจ็บหนัก แต่ผลกระทบก็ไม่ได้มากมายนัก
แต่ในขณะนี้ เจิ้นหนานอ๋องได้หายตัวไป
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าเรื่องนี้ย่อมเป็นฝีมือของหนานจ้าว
ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ความโกลาหล ครั้นข่าวแพร่สะพัดออกไปแล้วก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ สีหน้าของหนานกงสือเยวียนมืดครึ้ม
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีเดินทางไปหนานเจียงเพื่อตามหาเจิ้นหนานอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท หนานจ้าวมักเล่นเล่ห์เพทุบาย ชอบใช้วิธีการอันต่ำช้า จะปล่อยให้หนานเจียงล่มสลายไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมยินดีนำทัพไปปกป้องหนานเจียงพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยล้วนมากฝีมือเปี่ยมด้วยความกล้าหาญ อย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็ถูกหนานกงสือเยวียนคัดเลือกมาอีกที จึงไม่มีผู้ใดหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
ทว่าหนานกงสือเยวียนยกมือขึ้นห้ามปรามพวกเขา “ข้าจะนำทัพเอง!”
ยามสุรเสียงเยือกเย็นของฮ่องเต้ดังขึ้น ท้องพระโรงซึ่งเต็มไปด้วยเสียงระงมต่างก็เงียบลงในบัดดล
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา…
ทุกคนพลันเริ่มส่งเสียงโอดครวญ
“ฝ่าบาทอย่าทรงทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“บุรุษมักรู้หลีกเลี่ยงภัยอันตราย ฝ่าบาทจะนำชีวิตของพระองค์ไปเสี่ยงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท ต้าเซี่ยต้องการพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางเฒ่าต่างพากันตื่นตระหนก เพื่อจะห้ามปรามพวกเขาจึงพร้อมใจเอ่ยขึ้นเสียงระเบ็งเซ็งแซ่
หนานกงสือเยวียน “พวกท่านต่างคิดว่าข้าอายุมากแล้วจึงนำทัพมิได้อย่างนั้นหรือ”
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้ก้องกังวาน แต่กลับทำให้ทุกคนเงียบลงได้
“ฝ่าบาท พระองค์ยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์จะแก่ตัวได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…”
“ในเมื่อท่านทั้งหลายทราบว่าช่วงชีวิตของข้ากำลังรุ่งโรจน์ เช่นนั้นแล้วข้าก็จะสู้เพื่อใต้หล้า ผู้ใดกล้าขัด!”
ทุกคน “…”
ได้อย่างไรกัน? ก่อนหน้านี้พระองค์มิเคยคิดทะเยอทะยานที่จะปกครองใต้หล้า แต่มาตอนนี้ความทะเยอทะยานนั้นกลับปรากฏออกมาแล้ว พวกเขาต่างอดเหลือเชื่อไม่ได้!
หนานกงสือเยวียนมองพวกเขา “องค์ชายใหญ่จัดการทุกอย่างได้ดีพร้อม หลังจากข้าไม่อยู่ องค์ชายใหญ่จะเป็นผู้คอยดูแลอาณาจักร”
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีซิวที่คาดเดาในใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ลุกขึ้นยืนพร้อมกับก้าวออกมาเบื้องหน้า
เขาจะขัดเสด็จพ่อได้อย่างไรกัน
แม้ว่าเขาจะกังวลใจเช่นกัน แต่ในสายตาของหนานกงฉีซิวแล้ว ต่อให้เสด็จพ่อจะไม่ได้ออกรบมาเนิ่นนาน ทว่าเขายังคงเป็นเทพสงครามที่ได้ชัยชนะมานับครั้งไม่ถ้วน
เสด็จพ่อของพวกเขาเป็นพยัคฆ์ที่กำลังหลับใหล อยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ กาลเวลาไม่อาจทำอันใดได้
แต่เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่นานนักทั้งวังหลวงก็รู้เรื่องนี้
หลังจากหนานกงสือเยวียนออกจากท้องพระโรงได้ไม่นาน บุตรชายทั้งสองก็มาหาเขา
เสี่ยวเป่ายังไม่ทราบข่าวนี้ นางกำลังบีบ ๆ นวด ๆ ไหล่ของท่านพ่อที่ทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย พลางจุดเตาผิงให้เขาอย่างเงียบ ๆ
“เสด็จพ่อ…”
องค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงวิ่งมาเป็นคนแรก “เสด็จพ่อจะนำทัพออกรบด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ พาลูกไปด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งพลางกำหมัดแน่น นัยน์ตาสีดำสดใสจ้องมองไปยังหนานกงสือเยวียน
องค์ชายสี่เองก็เข้ามาคุกเข่าลงด้วยเช่นกัน “เสด็จพ่อ ลูกเองก็อยากไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไร้สาระ พวกเจ้าโตพอแล้วอย่างนั้นหรือ”
หนานกงฉีหลิง “หาใช่เด็กน้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ เซี่ยสุยอันเองก็เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่วัยแรกรุ่น ลูกเองก็เป็นโอรสของเสด็จพ่อ แล้วเหตุใดลูกถึงเข้าร่วมศึกนี้มิได้!”
เพราะอยากไปสนามรบกับเสด็จพ่อ เขาจึงไม่คิดเก็บงำความกล้าหาญอีกต่อไป เอ่ยต่อปากต่อคำอย่างองอาจมาดมั่น
แม้ว่าองค์ชายสี่จะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่เขาเองก็มุ่งมั่นไม่แพ้กัน
หนานกงสือเยวียนปรายตามองพวกเขา ถึงทั้งสองจะรู้สึกกลัวนิดหน่อย ทว่าก็ต่างอดทนอดกลั้นกันได้อย่างแข็งขัน
“พวกเจ้าอยากไปจริงหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ทั้งสองเอ่ยตอบพร้อมกัน
องค์ชายสี่ “เสด็จพ่อ ลูกสูงใหญ่แข็งแรง สามารถช่วยท่านได้”
องค์ชายห้าเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เสด็จพ่อ ลูกศึกษาตำราพิชัยสงครามจนเชี่ยวชาญแล้ว แต่ลูกทราบดีว่าแค่อ่านตำรานั้นย่อมเปรียบเสมือนเพียงกระดาษที่สามารถพูดได้ จึงอยากไปเห็นการรบบนสนามด้วยตาตัวเอง อยากเรียนรู้วิธีการปราบศัตรูแบบจริงจัง ต่อไปในภายภาคหน้า หากลูกเติบใหญ่ขึ้นจะได้แบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อได้พ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงสือเยวียนไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ สิ่งเดียวที่ได้ยินคือเสียงนิ้วเคาะโต๊ะดังตึก ตึก ตึก
บรรยากาศเงียบงันจนน่ากลัว
เสี่ยวเป่ากลืนน้ำลาย
ท่านพ่อ…ท่านพ่อน่ากลัวมากเลย
ชั่วอึดใจต่อมา หนานกงสือเยวียนก็เอ่ยขึ้นในที่สุด
“ไปเตรียมตัวให้พร้อม หลังจากนี้สามวันจะออกเดินทาง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
สองพี่น้องจากไปด้วยความตื่นเต้นที่แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ระคนมึนงง
เสด็จพ่อเห็นชอบด้วยแล้ว เสด็จพ่อยอมแล้ว ฮ่า ๆ ๆ!
คอยดูให้ดี ข้าจะสร้างผลงานครั้งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์!
หนานกงฉีหลิงเดินจากไปด้วยท่าทางองอาจ
เมื่อเห็นพี่ชายเดินออกไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ถัดไปอีกตัว ก่อนจะใช้นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองผู้เป็นพ่อของตน
หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะทุย ๆ ของลูกสาว
“ขอโทษด้วยที่ไม่สามารถจัดงานวันเกิดให้เจ้าได้”
ภายในใจของหนานกงสือเยวียนรู้สึกผิดอยู่บ้าง
ใบหน้าจิ้มลิ้มของเสี่ยวเป่าดูจะโมโหมาก “ท่านพ่อ ท่านจะไปจริงหรือ”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยตอบในลำคอด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เสี่ยวเป่าขอไปด้วย”
“ไม่ได้ ข้าไม่ได้ไปเพื่อเล่นสนุก อา…อาสี่ของเจ้าหายตัวไป ต้าเซี่ยกับหนานจ้าวอยู่ในช่วงทำสงคราม นับว่าอันตรายยิ่ง”
เสี่ยวเป่าเอื้อมจับมือของเขา “แต่ท่านพ่อเองก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกันนะเพคะ ท่านพ่อ คำสาปกับกู่อาจทำให้ท่าน…”
“ข้าจะคิดหาวิธีเอง”
เสี่ยวเป่ากอดผู้เป็นพ่อประหนึ่งหมีน้อย “ท่านพ่อไม่มีวิธีหรอกเพคะ มีแค่เสี่ยวเป่าเท่านั้นที่ชะล้างพวกมันได้ พวกท่านสัมผัสถึงพวกมันไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
นางตะโกนออกมา แล้วเกาะผู้เป็นพ่อเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เสี่ยวเป่าเป็นห่วง”