เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 322 ที่นี่คือที่ใด
บทที่ 322 ที่นี่คือที่ใด
บทที่ 322 ที่นี่คือที่ใด
“อาซิ่วรีบหนีไป กลับไปตามคนในหมู่บ้านมาช่วยเรา!”
เด็กหนุ่มที่ชื่ออาซิ่วกำมีดในมือแน่นพลางปาดน้ำตา ตอบกลับอย่างดื้อรั้น
“ข้าไม่ไป ข้าจะไม่ทิ้งอาเตี่ย เราต้องไปด้วยกัน!”
พวกเขาสามคนวิ่งหนีหมูป่า ใบหน้าซีดเซียวจนแทบลมจับ ชายวัยกลางคนทั้งสองจึงตัดสินใจจับหมูป่าสองตัวนั้นไว้เพื่อให้เด็กหนุ่มหนีไป
แต่เด็กหนุ่มกลับดื้อรั้น ไม่ยอมไปท่าเดียว เหตุผลคือไม่กล้าไป
เพราะกลัวว่าถ้าจากไปแล้ว เขาอาจจะต้องเสียท่านพ่อกับท่านอาของตนไป
“เรามาสู้พวกมันด้วยกันเถอะ!”
แสงแห่งความหวังฉายวาบออกมาจากดวงตาเด็กหนุ่ม เขายังคงยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่หนี ไม่ว่าหนุ่มใหญ่ทั้งสองจะเร่งเร้าเพียงใดก็ตาม
หมูป่าตัวใหญ่ราวกับภูเขาขนาดย่อม พวกมันทั้งสองตัววิ่งอาละวาดไปทั่วป่า ดวงตาดุร้ายเบิกกว้างตามสัญชาตญาณสัตว์ป่า ทันทีที่พวกมันรับรู้ถึงการมีอยู่ของคนทั้งสามก็พลันขยับขาอันอวบอ้วนไล่ตามพวกเขา
บนเขี้ยวคมทั้งสองข้างเต็มไปด้วยคราบเลือด พวกมันวิ่งไล่ชายทั้งสามโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ในไม่ช้าคนทั้งสามก็เหนื่อยล้าจากการวิ่งหนีหมูป่าจนไม่อาจวิ่งต่อได้
พวกเขาจึงตัดสินใจกัดฟันเตรียมสู้ตายด้วยอาวุธที่มีอยู่ในมือ
ทว่าพละกำลังของคนทั้งสามนั้นไม่อาจเทียบชั้นกับเจ้าหมูป่าได้
นอกจากจะไม่สามารถทำอันใดหมูป่าได้แล้ว ยิ่งสู้ก็ยิ่งทำให้พวกมันโมโห
เมื่อหมูป่าตัวหนึ่งหมายจะทำร้ายเด็กชาย ชายวัยกลางคนซึ่งบาดเจ็บที่แขนก็เอาตัวมาขวางไว้ เป็นเหตุให้เขาโดยหมูป่าชนเข้าเต็ม ๆ
“อาเตี่ย!”
เด็กหนุ่มร้องเรียกท่านพ่อด้วยความเสียใจ พยายามลุกขึ้นหมายจะเข้าไปช่วย ทว่าหมูป่าตัวนั้นยังคงทำร้ายเขาไม่หยุด
เด็กหนุ่มทำได้เพียงมองท่านพ่อของตนถูกทำร้ายด้วยความสิ้นหวัง
ขณะที่เขาคิดว่าท่านพ่อของตนคงไม่รอดแล้ว จู่ ๆ เงาตะคุ่มขนาดใหญ่ก็ลอยข้ามหัวเขาไป ง้างปากฉีกกระชากหมูป่าจนเลือดสาด
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มได้ยินเพียงเสียงวิ้งในหัว
สิ่งที่ตามมาคือเสียงกรีดร้องอันแหลมบาดหูของหมูป่า
เสียงร้องของหมูป่าดังลั่นไปทั่วบริเวณ เหล่านกบนยอดไม้ต่างตกใจกลัวจนกางปีกบินหนี
เลือดอุ่นสาดกระเซ็นบนใบหน้าเขา เด็กหนุ่มไม่กล้าขยับตัว ทำได้เพียงนั่งมองการต่อสู้อันแสนดุเดือดด้วยสีหน้าว่างเปล่า สมองขาวโพลน
ไม่สิ ต้องเรียกว่าการต่อสู้เพียงฝ่ายเดียว
หมูป่าที่เคยไล่ล่าพวกเขาอย่างบ้าคลั่งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด บัดนี้อยู่ในปากเสือ ไม่มีแม้โอกาสได้สู้ตอบ เพียงไม่นานเสียงร้องของความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ เบาลงและเงียบหายไปในที่สุด
เสือดำคายเหยื่อทิ้ง พลางแลบลิ้นเลียเลือดรอบปากก่อนจะหันมามองเขาด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย ส่วนเขาก็แหงนมองอีกฝ่าย
มองเพียงแวบเดียว หัวของอาซิ่วพลันว่างเปล่า ร่างกายแข็งทื่อ ถึงขั้นรู้สึกเหมือนเลือดในกายหยุดไหล
“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
เสี่ยวเป่าวิ่งมาพร้อมใบสาบเสือ เนื่องจากนางตระเวนไปทั่วป่าตั้งแต่เมื่อวานกระทั่งเช้าวันนี้ ผมเผ้าจึงยุ่งเหยิง ใบหน้าเล็กมอมแมมไปหมด
นางยื่นใบสาบเสือในมือให้คนตรงหน้า “นี่เป็นสมุนไพรห้ามเลือด รีบไปดูท่านพ่อของท่านกันเถอะ”
กว่าพวกเสี่ยวเป่าจะวิ่งตามมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ ชายคนนั้นก็ถูกหมูป่าชนกระเด็นไปไกลแล้ว
เสี่ยวเป่าสั่งให้สองพยัคฆ์เข้าไปช่วยคนก่อน ส่วนนางเห็นสมุนไพรที่สามารถห้ามเลือดได้จึงรีบไปเก็บมัน
อาซิ่วได้ยินว่ามันห้ามเลือดให้ท่านพ่อได้ก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง รีบคว้าสมุนไพรด้วยมือที่สั่นเทาแล้ววิ่งไปหาท่านพ่อ
เสี่ยวเป่าวิ่งตามไปช่วยชี้แนะอยู่ข้าง ๆ
“บดสมุนไพรแล้วใช้ปิดแผลเอาไว้”
นางเริ่มสำรวจอาการบาดเจ็บของชายผู้นั้นด้วยท่าทางจริงจัง
ครั้นเห็นเขายังไม่ตาย นางจึงแอบใช้พลังวิญญาณช่วยรักษาบาดแผลให้เขา
แม้ว่าชายผู้นั้นจะยังไม่ตาย แต่อาการบาดเจ็บภายในของเขาก็เรียกได้ว่าสาหัส แขนและขาหัก
“พวกท่านช่วยหาแผ่นไม้เรียบตรง ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่ยาวเกินไปทีนะเจ้าคะ”
ทันทีที่เสี่ยวเป่ากล่าวจบ ชายวัยกลางคนอีกคนรีบเดินกะเผลกไปหาไม้มาอย่างรวดเร็ว
แต่ก็แปลกที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก ทว่าทั้งคู่กลับทำตามที่นางบอกอย่างว่าง่าย
“พอจะมีผ้าหรือไม่ ข้าต้องใช้มัดไม้พวกนี้ไว้”
“ใช้เสื้อข้าก็ได้”
อาซิ่วถอดเสื้อออกมาโดยไม่ลังเลและฉีกเป็นชิ้น ๆ
เสี่ยวเป่าแรงน้อย เด็กหนุ่มจึงช่วยนางใช้ผ้าผูกไม้
ทว่าผ้าพันแผลที่ทำจากเสื้อที่ไม่สะอาดนี้อาจทำให้แผลติดเชื้อได้ เสี่ยวเป่าจึงหาสมุนไพรที่สามารถลดการอักเสบและห้ามเลือดได้มาบดใส่แผลให้ชายผู้นั้นก่อนจะใช้ไม้ดาม
มันเป็นเพียงการรักษาชั่วคราวเท่านั้น รอให้พวกเขากลับถึงหมู่บ้านค่อยเปลี่ยนเป็นผ้าสะอาด
ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทางที่ดีต้องรีบพาคนออกจากไปให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นกลิ่นเลือดจะดึงดูดสัตว์ร้ายตัวอื่นให้มารวมตัวกันได้
แต่ไม่ว่าสัตว์ป่าพวกนั้นจะดุร้ายเพียงใดก็ไม่เกินความสามารถของสองพยัคฆ์
เหล่าสัตว์ร้ายที่ตามกลิ่นเลือดมา เป็นต้องวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเมื่อได้กลิ่นของสองพี่น้อง
พวกเขาพยายามทำแผลห้ามเลือดนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็รักษาชีวิตของชายผู้นั้นไว้ได้
แต่เขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ ไม่เช่นนั้นอาการบาดเจ็บจะยิ่งรุนแรง
โครก…
ท้องเสี่ยวเป่าตะเบ็งเสียงร้องกว่าเดิม
สองพยัคฆ์ก็ยิ่งเป็นกังวล แต่เสี่ยวเป่าไม่สามารถกินเนื้อดิบได้ พวกมันจึงหันไปจ้องมนุษย์ทั้งสอง
คนทั้งสองถูกสายตาดุร้ายจับจ้องพลันขนลุกขนพอง
เสี่ยวเป่าลูบท้องป้อย ๆ “ข้าหิวมากเลย”
เด็กที่เพิ่งชี้แนะให้พวกเขาใช้สมุนไพรห้ามเลือดและทำแผลเบื้องต้นได้อย่างน่าเชื่อถือ บัดนี้นางหิวโหย นั่งลูบท้องทำหน้าหงอย
เด็กหนุ่มเสนอตัวทันที “ข้าย่างเนื้อให้เจ้าได้!”
หนุ่มใหญ่รีบกล่าวเสริมว่า “เราพกเกลือกับอาหารแห้งมาด้วย แต่มันหล่นหายระหว่างที่พวกเราวิ่งหนีหมูป่า ข้าจะลองไปหาดู”
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกายทันที “ดีเจ้าค่ะ ๆ”
ชายวัยกลางคนอยากอยู่ห่างจากเสือทั้งสอง จึงอาสาออกไปหาของที่พวกตนทำหล่นหาย
ส่วนเด็กหนุ่มก็หยิบเอาเศษไม้แห้งที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วนำหินเหล็กไฟออกมาก่อไฟอย่างชำนาญ
เพื่อให้เสี่ยวเป่าได้อิ่มท้อง สองพยัคฆ์จึงช่วยคาบฟืนมาให้
เสี่ยวเป่านั่งลงข้าง ๆ เด็กหนุ่ม เฝ้ามองเขาจุดไฟ และหั่นเนื้อหมูป่าโดยใช้มีดที่ทำจากของในท้องถิ่น
นางรู้สึกไม่ชอบกลิ่นคาวของเนื้อหมูป่า จึงรีบลุกไปตามหาสมุนไพรที่พอใช้ดับกลิ่นได้
แล้วนางก็ได้ฮวาเจียวติดไม้ติดมือกลับมา
แต่พอนางกลับมา เสี่ยวเป่าก็เห็นพี่ชายคนนั้นแอบมองนางแปลก ๆ แต่พอนางมองตอบ เขากลับรีบเบือนหน้าหนี
“พี่ชาย ท่านมีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือ”
เสี่ยวเป่าถามออกไปตรง ๆ
เด็กหนุ่มถูกจับได้ก็เขินอายเล็กน้อย
“เอ่อ เจ้า… เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ใช่หรือไม่”
เขาจ้องชุดที่เด็กหญิงตัวเล็กสวมใส่ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เสื้อผ้าแบบเดียวกับพวกเขา
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “มีคนเลวต้องการจับตัวข้าไปข่มขู่ท่านพ่อ เฮยอู๋ฉางกับไป๋อู๋ฉางก็เลยพาข้าหนีมาที่นี่ ว่าแต่พี่ชาย ที่นี่คือที่ใดหรือ”
เด็กหนุ่มตอบไวเท่าความคิด “หนานจ้าว”
เสี่ยวเป่า “!!!”