เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 323 กู่ดำ กู่ขาว
บทที่ 323 กู่ดำ กู่ขาว
บทที่ 323 กู่ดำ กู่ขาว
เสี่ยวเป่าตกตะลึงอ้าปากกว้าง มองพี่ชายที่อยู่เบื้องหน้า
นะ…นางพาตัวเองเข้ามาในกับดัก วิ่งมาถึงดินแดนของศัตรูด้วยตนเอง!
เด็กน้อยหยิบท่อนฟืนออกมาชี้ไปทางเขา
“เจ้ามันคนเลว!”
เด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบโบกมือปฏิเสธอย่างสุดชีวิต “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น!”
เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ไยจึงถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวเสียแล้ว!
“เป็นคนเลวจากหนานจ้าวที่ต้องการจะจับตัวข้า อีกทั้งยังจับท่านอาสี่ของข้าไปด้วย!”
เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาอย่างไร้น้ำตา ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
เป็นเพราะเสือทั้งสองตัวกลับมาแล้ว บางทีพวกมันอาจรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเสี่ยวเป่า ดวงตาจึงจับจ้องราวกับจะเขมือบเขาลงไป
“ข้า ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ”
ยังดีที่ท่านอาของเขากลับมาพอดี
หลังจากฟังคำอธิบายของหลานชายแล้ว เขาก็รีบเอ่ยออกมาทันที “เข้าใจผิดแล้ว ที่พวกข้าอาศัยอยู่ในป่าแสนอันตรายเช่นนี้ ก็เพราะถูกกษัตริย์หนานจ้าวและมหาปุโรหิตบีบบังคับ”
วิธีดีที่สุดในการปรองดองปรับความเข้าใจ ย่อมต้องเป็นการมีศัตรูร่วมกัน
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา แม้ในมือเสี่ยวเป่าจะยังคงถือท่อนฟืน ทว่าดวงตากลับจ้องมองพวกเขาด้วยความสงสัย
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “เรื่องนี้ต้องเล่ากันยาวนัก ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยรู้หรือไม่ว่าหนานจ้าวถูกแบ่งออกเป็นกู่ดำและกู่ขาว”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า เรื่องนี้อาจารย์เคยเอ่ยให้นางฟังแล้ว
“อันที่จริงเนิ่นนานก่อนหน้านี้ ไม่มีการแบ่งแยกกู่ดำกู่ขาว หนอนกู่เหล่านั้นเป็นสิ่งที่เหล่าบรรพบุรุษศึกษาเพื่อใช้ในการรักษา แต่เมื่อถึงช่วงต้องสืบทอด หัวหน้าเผ่านั้นมีบุตรชายอยู่สองคน ผู้เป็นพี่นั้นมีสำนึกความรับผิดชอบสูงยิ่ง ทว่าพรสวรรค์ในการฝึกฝนกู่นั้นไม่ดีเท่ากับน้องชาย
ทางด้านน้องชายแม้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่นิสัยใจคอกลับเหี้ยมโหดเกินไป สุดท้ายหลังจากคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หัวหน้าเผ่าก็ตัดสินใจมอบตำแหน่งให้กับพี่ชาย ทำให้น้องชายเกิดความริษยาไม่พอใจอย่างมาก หลังล้มเหลวจากการสังหารพี่ชายเพื่อชิงตำแหน่ง เขาก็หนีออกไปพร้อมกับคนในเผ่าบางส่วน ก่อนจะตั้งเผ่ากู่ขึ้นมาใหม่
แต่เพราะหนอนกู่ที่พวกเขาเพาะเลี้ยง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพิษที่อันตรายต่อชีวิตมนุษย์ อีกทั้งในสายตายังมองไม่เห็นค่าของชีวิตกระทำเรื่องร้ายแรงมากมาย จึงเกิดการแบ่งแยกขึ้นกลายมาเป็นกู่ดำและกู่ขาว”
เสี่ยวเป่าและเด็กหนุ่มนั่งฟังชายวัยกลางคนเล่าเรื่องไปพลางย่างเนื้อไปพลาง
ภายใต้แสงจากเปลวเพลิง ท่านพ่อของเด็กหนุ่มดูสงบนิ่งมากกว่าเดิม
“จึงกล่าวได้ว่าเผ่ากู่ขาวและเผ่ากู่ดำมีความสัมพันธ์เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด พวกเราต่อต้านกันมานานหลายปี แต่เพราะกู่ขาวมุ่งเน้นด้านการรักษา ขณะที่กู่ดำนั้นมุ่งเน้นเรื่องพิษ ทำให้กู่ขาวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาเนิ่นนาน
ยังดีที่ถึงแม้พรสวรรค์ของหัวหน้าเผ่าจะไม่ได้ดีนัก ทว่าบารมีของเขาในเผ่านับได้ว่าสูงยิ่ง ทำให้กู่ขาวรวมเป็นหนึ่งเดียว กู่ดำจึงไม่อาจกดหัวพวกข้าได้มากเกินไป หลังจากนั้นบุตรีของหัวหน้าที่ถือกำเนิดขึ้นมามีพรสวรรค์สูงส่งยิ่ง เก่งกาจทั้งด้านยาและพิษ สามารถทำให้ฝ่ายกู่ดำได้รับความพ่ายแพ้เสียหายอย่างหนักจนต้องละทิ้งฐานที่มั่นเดิมได้
กระนั้นแล้ว หัวหน้าเผ่ากู่ดำซึ่งมีจิตใจทะเยอทะยานย่อมไม่มีทางจำนนกลายเป็นเพียงเผ่าในพื้นที่เล็ก ๆ เขาจึงคิดวิธีเข้าไปมีอำนาจในอาณาจักรหนานจ้าว หลังจากผ่านไปหลายสมัยในที่สุดก็สามารถควบคุมทั้งหนานจ้าวเอาไว้ในกำมือได้บราวนี่ออนไลน์
เพราะเช่นนั้นเอง กู่ขาวจึงถูกปราบปรามอย่างรุนแรงจนเกือบจะสิ้นเผ่า ทว่าด้วยการเสียสละชีวิตตนเองเพื่อสกัดกั้นกองทัพจากหนานจ้าวของเหล่าผู้อาวุโส ทำให้หัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสบางส่วนสามารถพาคนรุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งหนีออกจากเผ่า ไปเร้นกายอยู่ในป่าเขาเพื่อสืบทอดเผ่าต่อไปได้”
เมื่อเอ่ยมาถึงจุดนี้ ชายวัยกลางคนและเด็กหนุ่มผู้นั้นก็แสดงสีหน้าคับแค้นออกมา
“บรรพบุรุษมีข้อห้าม พิษของพวกเราไม่สามารถนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่น ไม่อาจมีส่วนร่วมในการต่อสู้แย่งชิงของอาณาจักร ทว่าเผ่ากู่ดำกลับฝ่าฝืนข้อห้ามทั้งหมดของบรรพบุรุษ!”
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างโกรธแค้น “พวกเขาก็เป็นเพียงแค่กลุ่มศิษย์ล้างอาจารย์ เนรคุณบรรพบุรุษ!”
ใจมนุษย์เป็นสิ่งลึกล้ำยากหยั่งถึง เหตุใดพวกเขาจึงต้องหักห้ามใจทำตามที่บรรพบุรุษกล่าวด้วย
สิ่งที่เรียกว่ากู่ เดิมทีศึกษาขึ้นเพื่อการรักษาโรคบางอย่างเท่านั้น ทว่าเมื่อตกไปอยู่ในมือของผู้ที่แตกต่างออกไป ก็กลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้งานไม่เหมือนกัน
เสี่ยวเป่ารับเนื้อย่างจากอาซิ่ว ปากเล็ก ๆ เป่ามันก่อนจะกินเข้าไปอย่างอดไม่ได้
“ร้อน!”
ตาของอาซิ่วเบิกกว้างขึ้น “มา ข้าเป่าให้เจ้าเอง”
เขาเอาใจใส่เป็นอย่างมาก อย่างไรเสียแม่นางน้อยผู้นี้ก็ทำให้พยัคฆ์ที่ทรงพลังทั้งสองตัวเชื่อฟังได้ อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้ ดังนั้นย่อมไม่อาจละเลยได้
“แล้ว…เจ้าเป็นคนต้าเซี่ยอย่างนั้นหรือ”
อาซิ่วถามอย่างสงสัยขณะเป่าเนื้อย่างของเสี่ยวเป่าให้เย็นลง
เสี่ยวเป่าส่งเสียงอืมตอบกลับ อย่างน้อยนางก็ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างโง่เขลาว่าตนเองเป็นองค์หญิงแห่งต้าเซี่ย
“พวกเจ้ามาจากเผ่ากู่ขาวหรือ ข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้อย่างไรกัน”
ชายวัยกลางคนดึงคอเสื้อของหลานชายตนเองลงทันที แสดงรอยสักบนหลังคอให้เสี่ยวเป่าได้เห็น
อาซิ่ว “…”
เหตุใดท่านถึงไม่แสดงของตนเองให้นางดูเล่า!
“เพื่อแบ่งแยก เผ่ากู่ขาวของพวกข้าจึงใช้สัญลักษณ์เทพกวางขาว ส่วนกู่ดำโหยหาอิสรภาพและท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาจึงเคารพเลื่อมใสในเทพเหยี่ยว ดังนั้นลวดลายบนร่างย่อมเป็นเทพเหยี่ยว”
เรื่องนี้อาจารย์ก็เคยบอกกับนาง สุดท้ายเสี่ยวเป่าจึงยอมเชื่อ
ทุกเผ่าต่างก็ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ประจำเผ่าตนเองเป็นอย่างมาก ไม่มีทางที่พวกเขาจะสักสัญลักษณ์ของฝ่ายตรงข้ามลงบนร่างกายของตนเอง ไม่เช่นนั้นหากถูกพบเขาก็จะกลายเป็นคนทรยศทันที
ในที่สุดก็ได้กิน เสี่ยวเป่าตั้งใจกินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทว่าก็ยังคงเงี่ยหูฟังพวกเขาบอกเล่าเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภายในเผ่า
แต่ตอนนี้สิ่งที่เสี่ยวเป่ากังวลมากที่สุดก็คือ เรื่องที่จะสามารถช่วยเหลือท่านอาสี่ได้หรือไม่ แล้วจะแจ้งให้ท่านพ่อทราบข่าวคราวของตนได้เช่นไร ไม่อาจปล่อยให้ท่านพ่อถูกคนเลวเหล่านั้นหลอก ว่าตนเองถูกพวกเขาจับตัวไปได้แล้ว
“มีวิธีติดต่อกับคนภายนอกหรือไม่ เสี่ยวเป่าอยากเขียนจดหมายหาท่านพ่อ”
อาซิ่วตอบอย่างกระตือรือร้น “มีสิ พวกข้าเลี้ยงนกพิราบขาวเอาไว้ เมื่อจับคู่กับการติดตามของกู่ ขอเพียงแค่บนร่างของเจ้ามีสิ่งของของคนผู้นั้น นกพิราบขาวก็สามารถส่งจดหมายถึงมืออีกฝ่ายได้ กู่ติดตามเองก็เชื่อถือได้ ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน”
แม้ว่าแค่นกพิราบก็สามารถส่งจดหมายได้ แต่ก็มีเงื่อนไขคือพวกมันต้องถูกคนพาออกไป หลังส่งจดหมายเสร็จจึงจะสามารถแยกแยะทิศทางกลับมาได้
หลังจากมีจุดหมายตายตัวแล้ว นกพิราบก็จะสามารถบินไปมาระหว่างสถานที่ที่คุ้นเคย
ยิ่งหากนำนกพิราบมารวมกับหนอนกู่ติดตามของพวกเขาแล้ว ก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่จำเป็นต้องมีสิ่งของของอีกฝ่าย จากนั้นก็ให้กู่ติดตามจดจำกลิ่นนำทางไป
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา
“ข้าต้องการส่งจดหมายให้ท่านพ่อ”
อาซิ๋ว “ไม่มีปัญหา ข้ามีกระดาษอยู่ที่บ้าน อาเหนียงเลี้ยงทั้งนกพิราบและหนอนกู่ติดตามเอาไว้ เจ้าสามารถใช้พวกมันได้ทุกเมื่อ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างมีความสุข “เช่นนั้นข้าจะไปบ้านเจ้า”
ชายวัยกลางคนมองดูตัวโง่งมน้อยทั้งสองที่สนทนากัน “…”
เมื่อครู่ผู้ใดกันกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นคนเลว
แต่อย่างไรเสียแม่นางน้อยก็เป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ย่อมต้องพานางกลับไปในฐานะแขก ทว่าก็ต้องบอกกับหัวหน้าเผ่าของพวกเขาเสียก่อน
ปัญหาคือ จะพาอาเตี่ยของอาซิ่วกลับไปอย่างไรไม่ให้กระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บ
สุดท้ายด้วยคำแนะนำของเสี่ยวเป่า ทั้งสองคนจึงใช้ท่อนไม้และหวายมาทำเป็นเปลเพื่อหามเขา
อาซิ่วเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “สิ่งนี้ดียิ่งนัก ไม่เพียงแต่ท่านพ่อที่สบาย พวกเราเองก็แบกเบาขึ้นด้วย!”
หมูป่าทั้งสองตัวเองก็ถูกเฮยอู๋ฉางและไป๋อู๋ฉางลากตามหลังมา
ไม่เพียงเท่านั้น โชคยังดีที่เมื่อพวกเขาเดินไปได้ครึ่งทางก็พบเข้ากับสมาชิกของเผ่ากู่ขาวที่กำลังตามหาพวกอาซิ่ว
——————————————-