เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 326 เทพแห่งการฆ่าล้าง
บทที่ 326 เทพแห่งการฆ่าล้าง
บทที่ 326 เทพแห่งการฆ่าล้าง
ยามเช้าเสี่ยวเป่าลุกขึ้นมาด้วยความงุ่มง่ามและความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยพบมาก่อน นางสับสนเป็นอย่างยิ่ง
นาง นาง นาง…นางขยับได้เพียงศีรษะเท่านั้น!
“มีคนอยู่หรือไม่”
“พี่หญิงหนานอีอยู่หรือไม่”
เสี่ยวเป่าตะโกนจนแก้มป่องออกมาหลายครั้ง ทว่าคนกลับไม่เข้ามา ที่เข้ามาเป็นเสือสองตัว
สถานที่แห่งนี้ไม่อาจเทียบได้กับพระราชวัง บ้านทั้งหลังทำขึ้นจากไม้ มีพื้นที่ค่อนข้างเล็ก เพียงแค่เสือตัวใหญ่สองตัวเบียดกันเข้ามาก็เกือบทำให้ประตูบ้านของปู้หนานอีพัง
สุดท้ายเฮยอู๋ฉางที่มีนิสัยสุขุมก็ยอมถอยให้น้องชายตนเองได้เข้าไปก่อน
ไป๋อู๋ฉางเดินส่ายหางเข้ามาทันที จากนั้นก็เดินมายังข้างเตียงแล้วมองเสี่ยวเป่าด้วยสายตากระจ่างใสระคนโง่งมในคราวเดียว
เสี่ยวเป่าเองก็มองไปทางมัน
หนึ่งคนหนึ่งเสือจับจ้องซึ่งกันและกัน
เฮยอู๋ฉางเองก็เข้าร่วมด้วย
ห้องที่เดิมมีขนาดไม่ใหญ่อยู่แล้ว เมื่อมีเสือตัวใหญ่สองตัวเข้ามาก็ทำให้ดูคับแคบไปถนัดตา
พอพวกมันขยับตัว เสี่ยวเป่าก็ได้ยินเสียงบางอย่างตกลงกระทบพื้น
หัวใจของเสี่ยวเป่าเต้นระรัว ตอนนี้นางไม่มีเงินจ่ายชดใช้หรอกนะ!
“พวกเจ้าอย่าขยับนะ”
เสี่ยวเป่าร้องออกมาระหว่างพยายามลุกขึ้นนั่ง ทว่าเพิ่งจะนั่งได้ไม่ทันไร ร่างที่ไม่มั่นคงก็ล้มลงไปอีกรอบ
ไป๋อู๋ฉางราวกับต้องการช่วยเหลือ พยัคฆ์ตัวใหญ่กระโจนขึ้นไปบนเตียงทั้งตัว ก่อนจะเริ่มดึงทึ้งสิ่งที่ห่อร่างของนางเอาไว้ด้วยกรงเล็บ
เฮยอู๋ฉางเอียงหัวก่อนเดินเข้าไป อุ้งเท้าด้านหน้าของมันวางลงบนเตียงทิ้งน้ำหนักลงไปครึ่งร่าง
เตียงไม้อันน่าสงสารแบกรับน้ำหนักเกินควร เสี่ยวเป่าได้ยินเสียงกร๊อบ…ปังดังลั่น
เสี่ยวเป่า : สัง…สังหรณ์ใจไม่ดีสักเท่าไหร่
ในตอนนั้นเองปู้หนานอีเดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นเสือทั้งสองอยู่บนเตียงสีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป
“พวกเจ้าทำอันใดกัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เตียงไม้ก็ส่งเสียงปริร้าวก่อนจะ…พังทลายลง
เสี่ยวเป่า “…”
ปู้หนานอี “…”
เสือทั้งสองตัวจ้องมองนางด้วยแววตาไร้เดียงสา ประหนึ่งเตียงที่พังลงมาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับพวกมัน
สุดท้ายก็ถูกปู้หนานอีไล่ออกไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ ก่อนเดินไปที่ข้างเตียงด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ทว่าก็กลายเป็นทุกข์ใจอาวรณ์
เตียงของนาง!
เสี่ยวเป่าเขี่ยจมูกด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษพี่หญิงหนานอี ข้า…ข้าจะชดใช้ให้ท่านด้วยเตียงหลังใหญ่!”
ปู้หนานอีมองนาง “เมื่อใด”
เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วเข้าหากัน “รอ…รอจนทว่าท่านพ่อจะหาข้าพบ”
ปู้หนานอี “…”
เสี่ยวเป่าพลันโศกเศร้ากลัดกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อจะได้รับจดหมายของตนเองแล้วหรือยัง
…
ทางด้านสนามรบชายแดน…
กองทหารม้าอาศัยประโยชน์จากความมืดยามค่ำคืนจู่โจมค่ายของหนานจ้าว หลังจากเผาเสบียงกับสังหารแม่ทัพและผู้ใช้วิชาไปหลายคนแล้ว หนานกงสือเยวียนที่ก่อกวนค่ายหนานจ้าวเรียบร้อยก็พาคนถอยทัพ
น่าเสียดายที่หาพวกมหาปุโรหิตไม่พบ
สีหน้าของเขาเย็นชา ระหว่างนำคนกลับ ด้านหลังก็มีกองทหารไล่ตามมาไม่น้อย
ทันใดนั้นเอง หนานกงสือเยวียนพลันดึงบังเหียนให้อาชาหันศีรษะ มือคว้าคันธนูที่ห้อยไว้ข้างตัวม้าขึ้นมารั้งศรสามดอกพร้อมกัน เสียงกรีดผ่านอากาศ ลูกธนูทั้งสามพุ่งเฉียดหูของทหารม้าต้าเซี่ยไปหลายคน ตรงเข้าสังหารทหารที่ไล่ตามมาสามนาย
ลูกธนูพุ่งเข้าเป้าอย่างแม่นยำ หลบเลี่ยงคนของฝั่งตนเองได้อย่างสมบูรณ์
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เหล่าทหารม้าของต้าเซี่ยเกิดความเลื่อมใสศรัทธา อีกทั้งยังทำให้ทหารของหนานจ้าวที่ไล่ตามมาเกิดความหวาดหวั่นอีกด้วย
แม่ทัพที่อยู่ด้านหลังสุดมองด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดี เขาหยิบเอากระดิ่งออกมาเขย่าอย่างบ้าคลั่ง
นี่เป็นสิ่งที่มหาปุโรหิตมอบให้เขาก่อนจะจากไป บอกให้เขาสั่นเมื่ออยู่ใกล้เทพแห่งการฆ่าล้างของต้าเซี่ยเพื่อกระตุ้นกู่กัดกินหัวใจภายในร่าง เมื่อถึงยามนั้นอีกฝ่ายจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่หัวใจกำลังถูกกัดกิน ทำให้อ่อนแรงลงไปมาก
หากเขาสามารถสังหารหรือจับกุมตัวจักรพรรดิต้าเซี่ยได้ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเขาจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไกลอย่างนั้นหรือ!
คิดถึงตรงนี้แล้ว ดวงตาของแม่ทัพก็พลันร้อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
พริบตาที่เสียงกระดิ่งดังขึ้น หนานกงสือเยวียนก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองเจ็บปวดขึ้นมาทันที
ตึก ตึก…
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวาย แต่ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นอย่างแรง
หลังจากนั้นหนานกงสือเยวียนก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นภายในใจของเขา
เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงไม่แปรเปลี่ยน ดวงตาสีดำลึกล้ำราวกับห้วงน้ำวนจับจ้องไปทางชายผู้ยืนถือกระดิ่งด้านหลังสุดของฝั่งศัตรู
เห็นได้ชัดว่าที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ชายผู้นั้นกลับรู้สึกว่าขอเพียงเทพแห่งการฆ่าล้างของต้าเซี่ยต้องการ ก็สามารถก้าวเข้ามาแล้วสังหารเขาได้ประหนึ่งอยู่ในที่โล่งแจ้ง
เพราะรู้สึกเช่นนี้ เขาจึงสั่นกระดิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม หยาดเหงื่อเย็นเยียบไหลออกมาจากหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
แค่สายตาที่จับจ้องมาก็น่าตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เขาเห็นว่าเทพแห่งการฆ่าล้างหยิบขวดกระเบื้องเคลือบเล็ก ๆ ออกมาจากอกเสื้อ ก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อกินยาเม็ดหนึ่งลงไป
ยาเพิ่งจะเข้าปากก็ราวกับออกฤทธิ์ภายในทันที ความเจ็บปวดที่หัวใจบรรเทาลงไปมาก แม้ว่ากู่กัดกินหัวใจจะยังคงถูกเสียงกระดิ่งกระตุ้น แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อยเหล่านั้น หาได้มีความหมายอันใดกับหนานกงสือเยวียน
เขาเพียงแค่ชักดาบยาวออกมา แล้วพุ่งตรงเข้าไปในดงกองทัพศัตรู
เพียงวาดมือหนึ่งครั้ง ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็พลันสิ้นชีวี
เห็นได้ชัดว่าเขาวิ่งพล่านไปทั่วทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน ทว่าจิตใจกลับยังคงสภาพเหมือนก่อนหน้า
ยิ่งสังหารมากเท่าใดเขาก็ยิ่งตื่นตัวมากเท่านั้น
“หยุด…หยุดเขาไว้เร็วเข้า!”
แม่ทัพที่ถือกระดิ่งถอยกลับไปก้าวแล้วก้าวเล่า ยกกระดิ่งแกว่งเร็วยิ่งกว่าเดิมด้วยความร้อนรน
สีหน้าของเขาทั้งหวาดเกรงและขวัญสะท้าน
“เป็นไปได้อย่างไร ไม่เกิดสิ่งใดได้อย่างไร”
ในยามนี้เขาไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นตัวเขาหรือกระดิ่งที่สั่นมากกว่ากัน
ครั้นเห็นหนานกงสือเยวียนยังคงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็รีบกระตุกบังเหียนม้าให้วิ่งหนี
นั่นคือสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง หนอนกู่ หนอนกู่เหล่านั้นถึงกับไร้ผลใดโดยสิ้นเชิง!
เขาไม่รู้เลยว่าในพริบตาที่ตนหันหลังหนี หนานกงสือเยวียนก็รั้งคันศรในมือขึ้นมาแล้ว เกศายาวพลิ้วไสว ดวงตาเผยประกายเฉียบคม ศรทะยานผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว ปักใส่ร่างของแม่ทัพผู้นั้นในทันใด
ม้ายังคงวิ่งต่อไปด้านหน้า ร่างของเขาเกาะอยู่บนหลังม้ากว่าสามชั่วอึดใจ ก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับกระดิ่งในมือ
ทันใดนั้นกองทหารของหนานจ้าวที่ไล่ตามมา พลันแตกฮือหนีหัวซุกหัวซุนออกไปทั่วสารทิศ เป็นโอกาสอันดีที่ต้าเซี่ยจะลงมือตอบโต้
ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นฝ่ายไล่ล่าต้าเซี่ย มาตอนนี้เรื่องกลับตาลปัตรเสียแล้ว
กองกำลังที่ไล่ตามมากว่าแปดร้อยชีวิต สุดท้ายก็ถูกองค์เหนือหัวและทหารม้าที่นำมาด้วยไม่ถึงร้อยตีแตกพ่ายจนต้องหลบหนีกลับไปด้วยความระส่ำระสาย
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น คนอื่น ๆ ต่างก็กู่ร้องตามออกมา
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี!!!”
สีหน้าของหนานกงสือเยวียนเย็นชา ดูแล้วหาได้มีความยินดีในชัยชนะ
หาญกล้าที่จะเพ่งเล็งมายังธิดาของเขา แม้ราชวงศ์หนานจ้าวทุกคนจะถูกสังหารก็ไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจได้
เสี่ยวเป่าของเขา กระทั่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนใด
ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนที่เปื้อนเลือดเล็กน้อยแหงนขึ้นมองท้องฟ้า
ประจวบเหมาะพอดีกับที่พิราบขาวตนหนึ่งบินวนอยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะร่อนลง
นกพิราบแสนกล้าหาญตนนั้น บินลงไปเกาะบนไหล่ของฝ่าบาทท่ามกลางความสนใจของทุกคน!
——————————————-