เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 335 เรื่องเข้าใจผิด
บทที่ 335 เรื่องเข้าใจผิด
บทที่ 335 เรื่องเข้าใจผิด
หนานกงฉีอิงและหนานกงฉีหลิงอ่านจดหมายถึงตอนที่น้องสาวบอกว่านางไปตามหาท่านอาสี่ที่หนานจ้าว หลังจากนั้นก็ไม่ได้อ่านให้ละเอียด
ได้ยินเสด็จพ่อกล่าวเช่นนั้นจึงอ่านจดหมายใหม่อีกรอบ
อ้อ ที่แท้ก็เจอญาติผู้พี่หนานกงชิงแล้ว
เมื่ออ่านดี ๆ แล้วก็พบว่า อะไรนะ! สองคนนั้นไปถึงจวนอ๋องในหนานจ้าวแล้ว!
หนานกงฉีหลิงยิ่งเป็นห่วงกว่าเดิม “น้องสาวคงไม่ได้ถูกหลอกเข้าหรอกนะ”
หนานกงฉีอิงเกาศีรษะ “คงไม่กระมัง ญาติผู้พี่ก็ไปด้วยไม่ใช่หรือ”
หนานกงสือเยวียน “ข้าจะส่งองครักษ์เงาไป ส่วนพวกเจ้าสองคน”
สายตาของเขาไปตกที่องค์ชายห้า
“การเรียนของพวกเจ้าช่วงนี้ล้วนอยู่ในสายตาข้า พรุ่งนี้จะให้พวกแม่ทัพพาพวกเจ้าออกรบสังหารข้าศึก”
ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากบิดา สองพี่น้องทั้งตื่นเต้นและกังวลใจ
ตื่นเต้นเพราะความพากเพียรของตนนำมาสู่ผลลัพธ์ที่คาดหวัง แม้ตอนแรกที่มาเห็นสภาพชวนสังเวชใจในสมรภูมิ พวกเขาจะอาเจียนจนหน้ามืด แต่นั่นไม่อาจเปลี่ยนแปลงจิตใจอันแน่วแน่ที่ต้องการจะเข้มแข็งขึ้น และต้องการไปสังหารข้าศึกในสนามรบของพวกเขา
สิ่งที่กังวลก็คือ ถ้าพวกเขาเข้าสู่สมรภูมิก็คงจะไม่มีเวลามาพะวงถึงน้องสาวอีก
หนานกงสือเยวียน “ถึงพวกเจ้าจะไปหนานจ้าวก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
เอาเถอะ คนทั้งสองทำได้เพียงเชื่อฟังแต่โดยดี
ขณะเดียวกัน ข่าวที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยใกล้สวรรคตก็ถูกสายลับของหนานจ้าวส่งมาถึงมหาปุโรหิต
“เกรงว่าคงมีเงื่อนงำ หนานกงสือเยวียนสังหารคนของพวกเราไปมากมายในสนามรบ จะมาตายกะทันหันเช่นนี้ได้อย่างไร”
“แต่สายลับรายงานมาว่าแม่ทัพเหล่านั้นล้วนร่ำไห้ไว้อาลัย องค์ชายทั้งสองก็ร้องไห้หนักมากเช่นกัน”
“ในร่างของฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีทั้งพิษกู่และคำสาป จะไม่มีผลกระทบเลยย่อมเป็นไปไม่ได้”
เสียงหารือถกเถียงดังขึ้นภายในกระโจมบัญชาการฝั่งหนานจ้าว
สุดท้ายสายตาของทุกคนล้วนมามองมาที่มหาปุโรหิต
“ท่านมหาปุโรหิต เวลาเช่นนี้ควรทำอย่างไรดี หากเป็นเรื่องจริง พวกเรารีรอลังเลเช่นนี้จะไม่ทำให้พลาดโอกาสอันดีไปหรือ”
มหาปุโรหิตหรี่ตา “คอยดูไปก่อน”
เช้าวันรุ่งขึ้น สายลับส่งข่าวมาอีกว่าภายในกองทัพควบคุมเสียงลือเสียงเล่าอ้างเอาไว้ได้แล้ว ฮ่องเต้ต้าเซี่ยยังคงสบายดี แต่ไม่เห็นฮ่องเต้ปรากฏตัว นอกจากนี้ ขณะที่องค์ชายทั้งสองจากไปกลางราตรีดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ท่าทางไร้จิตวิญญาณ
ดวงตาของมหาปุโรหิตมีประกายวาบผ่าน หากฝ่ายตรงข้ามจงใจแพร่ข่าวนี้ออกมาก็ไม่น่าจะรีบร้อนสกัดข่าวลือเอาไว้เช่นนี้ ยิ่งไม่ควรมีท่าทางเหมือนกลัวว่าจะถูกจับได้แบบนี้
ดังนั้นข่าวนี้เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเรื่องจริง!
แต่เพื่อยืนยันเรื่องนี้ เขายังคงส่งผู้มีวรยุทธ์สูงส่งข้างกายไปสอดแนม
ทว่าการรบในวันนี้ หนานกงสือเยวียนกลับถอยไปบัญชาการในกระโจม แล้วส่งโอรสทั้งสองมาออกรบแทน
แม่ทัพมากฝีมือหลายคนคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายองค์ชายทั้งสอง ถึงจะบอกว่าให้พวกเขามาหาประสบการณ์ แต่ก็ไม่อาจมองข้ามความปลอดภัยของเหล่าองค์ชายได้
หลังจากองค์ชายทั้งสองมาถึงสนามรบบริเวณชายแดนทางใต้แล้วก็ไม่เคยโอดครวญมาก่อน พวกเขาล้วนประจักษ์กับตาตนเอง ทุกคนจึงชมเชยองค์ชายทั้งสองยิ่ง
องค์ชายสี่มีพละกำลังมหาศาล สองแขนกวัดแกว่งค้อนหนักด้วยท่าทางทรงพลัง เขามีร่างกายสูงกว่าคนวัยเดียวกัน ดวงตาทั้งสองยามบันดาลโทสะประหนึ่งราชสีห์ที่ใกล้จะโตเต็มวัยตัวหนึ่ง
ค้อนคู่นั้นมีน้ำหนักรวมกันแล้วมากกว่าร้อยชั่ง เขากลับควงได้อย่างสบาย ๆ ยามหวดใส่ร่างศัตรูประหนึ่งถูกศิลาหนักอึ้งกระแทกร่าง ไม่อาจต้านทานได้แม้กระบวนท่าเดียว
แม้จะถือสิ่งของที่หนักอึ้งเช่นนี้ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับยังคงปราดเปรียวมาก เพียงเวลาสั้น ๆ ก็ทุบร่างศัตรูไปแล้วสิบกว่าคน
ทวนยาวในมือองค์ชายห้าหนานกงฉีหลิงประหนึ่งมังกรร่ายรำ เขาช่ำชองการโจมตีแบบฉับพลันมากกว่า ทั้งยังมีลูกเล่นแพรวพราว ถึงจะถูกล้อมไว้รอบด้านก็ไม่ว่อกแว่ก เพียงประมือไม่กี่ครั้งก็ค้นพบจุดอ่อนของศัตรูและจู่โจมได้อย่างแม่นยำ
เมื่อพี่น้องคู่นี้จับมือกันก็รู้ใจกันอย่างยิ่ง คนหนึ่งโจมตีระยะใกล้ อีกคนโจมตีระยะไกล ทำให้ทัพศัตรูหาช่องโจมตีไม่ได้
องค์ชายห้ายังมากไหวพริบแตกฉานกลยุทธ์ศึก ถึงองค์ชายสี่จะไม่เข้าใจ แต่เขาก็เชื่อฟังอย่างมาก น้องชายบอกให้โจมตีตรงไหนเขาก็ทำเช่นนั้นโดยไม่ลังเลแม้ครึ่งส่วน
ถึงเขาจะเป็นพี่ชาย แต่กลับไม่รู้สึกว่าการถูกน้องชายสั่งการเป็นเรื่องชวนขายหน้า
นี่ต่างหากจึงเป็นสิ่งที่หายากโดยแท้
“ยอดเยี่ยม!!!”
แม้จะเป็นการเข้าสู่สมรภูมิครั้งแรก แต่พวกเขาก็ทำได้เหนือความคาดหมายและทำให้ผู้คนปลาบปลื้มใจยิ่ง ยังส่งผลให้ไพร่พลฝั่งต้าเซี่ยมีขวัญกำลังใจฮึกเหิม
เหล่าแม่ทัพฝั่งเซี่ยกั๋วกงผู้เฒ่าล้วนหัวเราะเสียงดัง เอ่ยว่า “ต้าเซี่ยของพวกเรามีคลื่นลูกใหม่แล้ว!”
นี่คือองค์ชายของพวกเขา องค์ชายทั้งสองสืบทอดจุดเด่นของฮ่องเต้มาได้สมบูรณ์แบบ ตราบใดที่แผ่นดินต้าเซี่ยมีองค์ชายทั้งสองพระองค์ ยังต้องกังวลว่าจะพิทักษ์ไว้ไม่ได้อีกหรือ!
ฝั่งพวกเขาดีใจโห่ร้อง แต่ฝั่งหนานจ้าวกลับดีใจไม่ออก
หลังจากมหาปุโรหิตได้ทราบข่าวแล้วก็อิจฉาจนตาแดงก่ำ ปัดถ้วยชากระเบื้องเคลือบข้างกายตกพื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“เพราะอะไร! เหุตใดเรื่องดี ๆ ล้วนตกเป็นของต้าเซี่ย!”
เขาไม่ยินยอมพร้อมใจ ไม่อาจเอาชนะหนานกงสือเยวียนได้ไม่พอ ยังจะต้องยอมให้พวกบุตรชายของอีกฝ่ายมาขี่บนศีรษะตนอีก!
“ใครก็ได้ เข้ามา!”
“ท่านมหาปุโรหิต”
“ต้าเซี่ยให้องค์ชายทั้งสองเข้าร่วมการรบ ตอนนี้หนานกงสือเยวียนยังไม่ปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาแล้ว ส่งคนไปแจ้งวังหลวงให้เคลื่อนทัพใหญ่ห้าแสนนายมาทันที”
คนผู้นั้นได้ยินแล้วพลันหน้าถอดสี “ท่านมหาปุโรหิตไม่อาจทำเช่นนี้ได้ หากส่งทัพใหญ่ห้าแสนนายมาที่นี่ เมืองหลวงก็เท่ากับว่างเปล่าสิขอรับ”
มหาปุโรหิตยิ้มเย็น “จะกลัวอะไร ขอเพียงพวกเราฉวยโอกาสนี้กำจัดหนานกงสือเยวียนได้ ต้าเซี่ยก็เป็นของพวกเราแล้ว”
มหาปุโรหิตในยามนี้สูญเสียเหตุและผลไปแล้ว กอปรกับข่าวสารที่สายลับจากทางนั้นส่งมาให้ เขายิ่งร้อนใจอยากใช้โอกาสนี้กำจัดหนานกงสือเยวียน
หนานกงสือเยวียนและเหล่าแม่ทัพคงคิดไม่ถึงว่าเพราะความเข้าใจผิดครั้งนี้ และยังเป็นเพราะฝ่ายเขาปล่อยเด็กชายหญิงไปหลายสิบคน ทำให้ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถหาเลือดคนมาสังเวยได้ บวกกับความสะเทือนใจที่ได้เห็นองค์ชายที่เก่งกาจทั้งสองพระองค์ ทำให้มหาปุโรหิตสูญเสียการใคร่ครวญที่เป็นเหตุเป็นผลไป จึงสั่งเคลื่อนย้ายกำลังพลห้าแสนนายจนทำให้การป้องกันเมืองหลวงอ่อนแอ
…
ณ เมืองหลวงของหนานจ้าว
การเคลื่อนทัพห้าแสนนายจากเมืองหลวงย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาของเจียงอู๋ฮ่วนไปได้ เขานำข่าวนี้ไปบอกต่อหนานกงชิงและเสี่ยวเป่า
หนานกงชิง “ต้องการกำลังเสริมมากมายเช่นนี้ หรือทางนั้นจะเกิดเรื่องแล้ว”
เจียงอู๋ฮ่วนกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว เคลื่อนย้ายกำลังพลมากมายเช่นนั้น การป้องกันเมืองหลวงย่อมว่างเปล่า พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้พอดี”
มหาปุโรหิตไม่สนใจความปลอดภัยของราชนิกุลสกุลเจียงในวังหลวง บรรดายอดฝีมือจำนวนมากที่อารักขาวังหลวงอยู่จึงถูกเรียกตัวไปด้วยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นคือวันที่กษัตริย์หนานจ้าวจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพให้องค์ชายคนโปรด คนน้อยลงไปเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งปลอดภัยกว่าเดิม
“ในวังต้องการให้พาเสี่ยวเป่าไปด้วย”
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่าก็อยากไปตามหาท่านอาสี่ด้วยเหมือนกัน”
เจียงอู๋ฮ่วน “อย่าดื้อ เจ้าคอยติดตามข้าอยู่ในงานเลี้ยงก็พอ อย่าเดินเพ่นพ่าน”
เสี่ยวเป่าได้ยินอย่างนั้นก็รับคำอย่างห่อเหี่ยว
“ก็ได้”
เวลาผ่านไปเร็วยิ่ง ในวังกลับดูเหมือนไม่ได้รู้เลยว่าข้างนอกรบกันหนักหน่วงปานใด ในช่วงยามวิกฤตเช่นนี้ งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์ชายห้าของหนานจ้าวกลับจัดอย่างแสนจะหรูหราฟุ้งเฟ้อ
——————————————-