เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 338 เด็กเผือกในคุกใต้ดิน
บทที่ 338 เด็กเผือกในคุกใต้ดิน
บทที่ 338 เด็กเผือกในคุกใต้ดิน
เสี่ยวเป่าวิ่งหนีสะเปะสะปะ แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าวิ่งมาถึงที่ไหนแล้ว
กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา นางเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นรูสุนัขรูหนึ่ง
มีช่องพอให้นางลอดผ่านได้พอดี
ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวเป่าจึงมุดรูสุนัขเข้าไปในตำหนักแห่งนั้นโดยไม่ลังเล
เสียงฝีเท้าวิ่งเป็นจังหวะดังมาจากข้างนอก นางแนบใบหน้ามอมแมมไปบนกำแพงแอบฟังเสียงจากด้านนอกอย่างระมัดระวังและลุ้นระทึก
“เร็วเข้า…อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้”
เป็นเสียงของทหาร
นางกำหมัดแน่นอย่างอดใจไม่อยู่ พวกพี่ชายคงไม่ได้ถูกจับได้แล้วหรอกนะ
ไม่ได้ ตอนนี้นางไม่อาจออกไป ถ้าถูกคนพวกนั้นจับได้ก็เท่ากับเพิ่มภาระให้พี่ชายน่ะสิ
เสี่ยวเป่าเดินวนเป็นวงกลมอยู่ที่เดิมด้วยความร้อนใจ รอจนเสียงฝีเท้าจากไปไกลแล้ว นางค่อยพนมมืออธิษฐานในใจว่า ขอให้อย่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านพี่เลย
เวลานี้นางค่อยเริ่มสังเกตบริเวณรอบ ๆ
สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือความรกร้าง ราวกับถูกคนทอดทิ้งไว้ในมุมมืด ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว
ต้นหญ้าบริเวณนั้นสูงจนถึงเอวของนางแล้ว
เสี่ยวเป่าเดินออกไปจากดงหญ้าอย่างยากลำบาก แล้วปัดเศษดินเศษหญ้าบนร่างตนเอง
เด็กน้อยชักจะหิวขึ้นมา ตอนอยู่ในงานเลี้ยงกินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกคนเรียกตัวออกมาแล้ว
เสี่ยวเป่านึกตำหนิกษัตริย์ของหนานจ้าวอยู่หลายคำ จากนั้นค่อยเดินไปนั่งลงบนขั้นบันไดที่พอจะถือได้ว่าสะอาดอยู่บ้างบริเวณตำหนักเก่าโทรมหลังนั้น
นางตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน รอให้พวกพี่ชายมาตามหาตนเอง
นางปลดกระเป๋าพกใบเล็กลงมาจากเอว หยิบขนมเกาลัดกลิ่นหอมน่ากินออกมาจากในนั้น ขณะกำลังจะส่งเข้าปากก็พลันมีเงาดำจากที่ใดไม่รู้โฉบผ่านไปอย่างรวดเร็วชนิดที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
เสี่ยวเป่างับได้เพียงความว่างเปล่า มิหนำซ้ำยังเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
นางมองมือที่ว่างเปล่าของตนเองอย่างเหม่อ ๆ แล้วหันไปมองบริเวณที่ห่างออกไปไม่ไกล
แมวสีดำปลอดตัวหนึ่งกำลังส่ายหางยาวของมันไปมา ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นจับจ้องมาที่นาง
สิ่งที่มันคาบอยู่ในปากก็คือขนมเกาลัดที่นางตั้งใจจะกินเมื่อครู่นี้เอง
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ “เจ้าหิวงั้นหรือ งั้นเจ้ากินเถอะ”
เห็นแมวตัวนั้นแย่งของกินของตัวเองไป เสี่ยวเป่าก็ไม่โมโห แต่กลับเอื้อเฟื้อให้มันกิน
นางหยิบอีกชิ้นออกมาให้ตนเอง
ก่อนจะออกมา นางแอบหยิบของอร่อยบนโต๊ะมาเยอะแยะเชียวล่ะ
ระหว่างที่เสี่ยวเป่ากัดขนมข้าวเหนียวชิ้นนั้นทีละคำ แมวดำตัวนั้นก็เดินมาถึงตรงหน้านาง
หางยาว ๆ ของมันพันรอบข้อเท้าของเสี่ยวเป่า แมวดำไม่ได้กินขนมที่คาบไว้ในปาก แต่กลับเอาหัวมาถูไถขานางเบา ๆ
“น่ารักจัง เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ ไม่มีใครเลี้ยงหรือ”
เสี่ยวเป่าลูบไล้ศีรษะของแมวดำขณะพูดกับมัน
นางยังคิดจะหยิบขนมอีกชิ้นออกมาป้อนมัน แต่เจ้าแมวดำกลับใช้ศีรษะดันขาของนาง ออกแรงมากเหมือนต้องการผลักให้นางเข้าไปในตำหนักร้างแห่งนี้กระนั้น
เสี่ยวเป่าถามเสียงเจื้อยแจ้วขณะจ้องเจ้าแมวน้อย “เจ้าทำอะไรน่ะ”
แมวดำส่งเสียงในลำคอ มันคาบขนมไว้ในปากแต่กลับไม่ยอมกิน มุ่งมั่นใช้ศีรษะดันขาสั้น ๆ ของนางท่าเดียว
เสี่ยวเป่าลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าสองก้าว แมวดำตัวนั้นก็เดินตามมาอย่างว่องไว พอนางหยุดก็ใช้ศีรษะดันอีกครั้ง
เอาเถอะ นางแน่ใจแล้วว่าเจ้าแมวดำตัวนี้ต้องการให้นางเข้าไปในนั้นจริง ๆ
ตำหนักทรุดโทรมเพียงนี้ ข้างในยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ว่างเปล่าวังเวง ลมพัดบานประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
บรรยากาศเย็นยะเยือกน่าขนลุกแผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
เสี่ยวเป่าขนลุกซู่ นึกกลัวขึ้นมา จะมีผีโผล่ออกมาหรือไม่นะ
แต่เพียงนางถอยหลังไปหนึ่งก้าว แมวดำตัวนั้นก็จะคอยดันขาของนางไปข้างหน้า
เสี่ยวเป่าใบหน้ายับย่น น้ำเสียงนุ่มนิ่มจวนเจียนจะร้องไห้
“เจ้าอยากให้ข้าไปไหน”
ทว่าแมวเหมียวพูดไม่ได้ จึงเอาแต่ดันนางไปข้างหน้า
ในที่สุดเมื่อเดินผ่านห้องชั้นนอก ทั้งสองก็มาถึงห้องด้านในสุด
แมวดำกระโจนขึ้นไปถึงหน้าภาพวาดที่สีเริ่มซีดจางแล้วภาพหนึ่งด้วยท่าทางปราดเปรียว
นั่นเป็นภาพวาดดอกเหมยที่ธรรมดามากภาพหนึ่ง ไม่รู้ว่าแขวนอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว อาจเป็นเพราะภาพนี้หยาบเกินไป ไม่มีคุณค่าใด ๆ จึงไม่ถูกคนนำไปด้วย แต่ถูกทิ้งไว้ในห้องนี้
แมวดำใช้ขาหน้าแตะ ๆ บนภาพใบนั้น เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปปลดภาพลงมาด้วยความสงสัย
ยามนั้นจึงพบว่ากำแพงเบื้องหลังภาพวาดมีบริเวณหนึ่งนูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัด
แต่สูงเกินไป นางเอื้อมไม่ถึง
สุดท้ายจึงหาเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นางขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ค่อยเอื้อมไปกดปุ่มนั้นได้
แกร๊ก…
ราวกับไปแตะกลไกอะไรเข้า กำแพงตรงหน้านางพลันเปิดออก
เบื้องหลังกำแพงคือทางเดินมืดมิดสายหนึ่ง
เสี่ยวเป่ากลืนน้ำลาย แมวดำกลับกระโดดลงมาจากบนโต๊ะ เดินนำทางเสี่ยวเป่าเข้าไปในนั้น
เสี่ยวเป่า “…”
นางแค่เข้ามาหลบในนี้เท่านั้นจริง ๆ นะ
ทำไม…ทำไมเหมือนกับว่าได้ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่อะไรสักอย่างเลยเล่า
เสี่ยวเป่าเดินตามแมวดำเข้าไปด้วยความสงสัยและใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งมืดขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด นางก็ยังมองเห็นรายละเอียดบางอย่างได้ชัดเจน
สองฝั่งคล้ายจะเป็นห้องขัง ราวกับว่าในอดีตเคยใช้คุมขังใครไว้ สภาพค่อนข้างรก ทั้งยังมีคราบโลหิตสีแดงเข้มหลงเหลืออยู่
ทว่ายามนี้ในนั้นไม่มีคนแล้ว แต่กลายเป็นแหล่งแพร่พันธุ์หนูจำนวนมากแทน
แมวดำเดินนำเสี่ยวเป่าตรงไปเรื่อย ๆ จนสุดทาง
บริเวณนี้มีแสงสว่าง แต่ก็เป็นเพียงตะเกียงน้ำมันที่ใกล้จะมอดดับดวงหนึ่ง
ทว่าเสี่ยวเป่ากลับรู้สึกว่าแสงตะเกียงนั้นเล็กจ้อยดุจดวงดารา คนใต้ตะเกียงนั่นต่างหากจึงสว่างไสวดุจสุริยันจันทรา
ภายในห้องลับที่มืดมิดแห่งนี้ ตรงนี้เป็นบริเวณเดียวที่มีช่องเปิดสู่ท้องฟ้า แสงจันทร์จากเบื้องบนสาดส่องเข้ามากระทบร่างคนผู้นั้นพอดี
เส้นผมสีขาวหิมะของเขาปล่อยสยายลงมาถึงพื้นโดยไม่ได้ใช้อะไรมัดเอาไว้ ร่างท่อนบนเปลือยเปล่าผ่ายผอม ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ
ตัวเขาในยามนี้ประหนึ่งเงามายาพร่ามัวสีขาวเรื่อเรืองที่อาจอันตรธานหายไปได้ทุกเมื่อ
อีกฝ่ายนั่งพิงกำแพง ก้มหน้าก้มตา มือสองข้างถูกล่ามโซ่เหล็กเอาไว้ ข้อเท้าก็ถูกล่ามโซ่เอาไว้เช่นกัน
เขาดูเหมือนจะถูกล่ามด้วยโซ่เหล็กมานานนม เพราะบาดแผลที่เกิดจากการเสียดสีกับโซ่บนข้อมือข้อเท้าของเขาล้วนแต่เป็นแผลเก่าเมื่อนานมาแล้ว
ห่วงเหล็กแนบสนิทกับผิวหนังบนข้อมือของเขา ประหนึ่งจะฝังเข้าไปในเนื้อกระนั้น
สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นก็คือ บนแขนของเขายังมีบาดแผลจำนวนมาก
บางแห่งคล้ายจะเป็นรอยแผลเก่า บางแห่งดูกลางเก่ากลางใหม่ ทั้งยังเป็นรอยบาดแผลที่ถูกมีดเฉือนทั้งหมด
เขานั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ ดูราวกับเทพจันทราที่ถูกกักขัง
ครั้นได้ยินเสียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อเสี่ยวเป่าได้เห็นรูปโฉมของเขาแล้วก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิม
นั่นเป็นใบหน้าที่ทำให้ฟ้าดินสูญสิ้นสีสัน ผิวขาวซีดไร้สีเลือด นอกจากผิวกับเส้นผมของเขาจะมีสีขาว แม้แต่ขนตาของเขาก็เป็นสีขาวด้วยเช่นกัน มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เป็นสีม่วงอ่อน