เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 343 เจอแล้ว
บทที่ 343 เจอแล้ว
บทที่ 343 เจอแล้ว
ภายในห้องลับ เสี่ยวเป่าที่กำลังถักผมให้เด็กหนุ่มอย่างเบื่อหน่ายก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ศีรษะก็เงยขึ้นทันที
เพราะกลัวว่าตัวกู่พวกนั้นจะสร้างความอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจ นางจึงอธิบายกับพี่ชายคนงามด้วยการทำไม้ทำมืออยู่นานสองนาน จนในที่สุดเขาก็ควบคุมตัวกู่น่ากลัวที่บินว่อนไปมาพวกนั้นไม่ให้เผลอไปทำร้ายท่านพ่อและบรรดาพี่ชายของนาง
ถึงอย่างไรเจ้าสิ่งนี้ก็สามารถเขมือบคนทั้งตัวภายในไม่กี่ลมหายใจ
โชคดีที่ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากในการสื่อสารกับพี่ชายคนงาม แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
นางพบว่าเขาฉลาดมากทีเดียว จะพูดอย่างไรดี เหมือนกับเด็กแรกเกิดที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นแมวดำที่มีพฤติกรรมเลียนแบบไปเสียทุกอย่าง
ราวกับว่าเขาถูกเลี้ยงดูโดยเจ้าแมวดำตัวนี้
ดูจากท่าทางที่แมวดำหาอาหารมาให้เขาอย่างเชี่ยวชาญ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นความจริง
มิรู้ว่าผู้มาเยือนในคราวนี้จะเป็นมิตรหรือว่าศัตรู ขณะที่นางกำลังจะเอาเจ้าแมวดำไปซ่อน นางพญาต่อตัวอ้วนพีของนางก็กลับมาพอดี
เมื่อเห็นนางพญาต่อ ดวงตาของเสี่ยวเป่าก็เป็นประกายแรงกล้า ทิ้งเปียที่ถักไปได้เพียงครึ่งเดียวในมืออย่างรวดเร็ว ขาสั้นป้อมเตรียมจะวิ่งออกไปข้างนอก
แต่ว่าก็ถูกอุ้มเอาไว้หลังวิ่งไปได้เพียงก้าวเดียว
เด็กหนุ่มหน้าตางดงามเหลือล้นอุ้มเจ้าก้อนแป้งเอาไว้ นัยน์ตาสีม่วงจับจ้องไปยังทางเข้าห้องลับ
ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นผู้มาเยือน
ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืนและแสงสว่างจากโคมไฟ เสี่ยวเป่ามองเห็นผู้มาเยือนได้อย่างเด่นชัด
นางขยี้ตาพลางนึกสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่
เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของเขาคนนั้นอย่างชัดเจน เสี่ยวเป่าก็หดคอกลับ พยายามซ่อนตัวเองสุดขีด
“ท่าน… ท่านพ่อ”
จบกัน เหตุใดนางถึงรู้สึกเย็นวาบที่บั้นท้ายกันนะ
นัยน์ตาลุ่มลึกของหนานกงสือเยวียนหยุดมองเด็กหญิงตัวน้อยสองลมหายใจ จากนั้นก็มองเด็กหนุ่มที่กำลังอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง อากาศรอบข้างดูเหมือนจะเย็นลงเล็กน้อย
“แม่เจ้า เขาเป็นปีศาจอะไรน่ะ!”
ผู้ที่อยู่ข้างหลังหนานกงสือเยวียนคือชายหนุ่มท่าทางงุ่มง่ามซื่อบื้อ เขาทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ด้วยประโยคเดียว
ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มในชุดสีขาวทั้งตัว
สายตาของเจียงอู๋ฮ่วนจ้องเขม็ง คล้ายกับประหลาดใจ แต่ก็ฉงนงงงวยไปพร้อมกัน
“ออกมาเที่ยวเล่นไม่นาน ก็จำข้ามิได้แล้วหรือ?”
ถึงขั้นแทนตัวเองว่าข้า เสี่ยวเป่าก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่านพ่อโกรธนางจริง ๆ นางผละจากแขนของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงวิ่งเข้าไปหาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ!”
นางโถมตัวเข้าไปกอดเขา จากนั้นก็เริ่มร้องไห้ก่อนที่หนานกงสือเยวียนจะทันได้ขยับตัว
“แง… เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อที่สุดเลย”
นางร้องไห้ออกมาจากใจจริง ความเดือดดาลที่สุมอยู่ในอกของหนานกงสือเยวียนก็คล้ายกับจะหายวับไปกับสายลม
เขาถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นก็โน้มตัวไปอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมา
เสี่ยวเป่ากอดคอเขาไม่ยอมปล่อย หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลริน ทั้งดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
สวรรค์รู้ดี ว่านับตั้งแต่ที่นางเข้าวัง ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากท่านพ่อและบรรดาท่านพี่มาโดยตลอด ทั้งยังไม่เคยต้องพบเจอกับความลำบากใด ๆ แต่พอได้มาเยือนหนานจ้าวในครั้งนี้ นางกลับหิวโซและหวาดกลัว แม้จะพยายามมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพอได้เห็นหน้าท่านพ่อก็อยากร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งยังรู้สึกน้อยอกน้อยใจอย่างยิ่ง
เสี่ยวเป่าโอบคอของเขาพลางคลอเคลียไปมาจนน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งหน้า
ความเยือกเย็นในดวงตาของหนานกงสือเยวียนบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าและอ่อนโยน
เขาลูบหลังเสี่ยวเป่าเพื่อปลอบโยน
“ข้ายังมิได้ลงโทษเจ้าเลย เจ้าก็ชิงร้องไห้เสียแล้ว”
เสี่ยวเป่าก้มหน้างุดพลางสะอึกสะอื้น
“ท่านพ่ออย่าตีก้นเลยนะ เสี่ยวเป่าอาย”
หนานกงสือเยวียนแค่นหัวเราะ “เจ้ารู้จักอายเป็นด้วยหรือ”
เขาก้มมองใบหน้าขบขันของบุตรสาว “หน้าเจ้าไปทำอะไรมา”
เสี่ยวเป่าเพิ่งจะนึกออก เอื้อมมือลูบคลำใบหน้าขณะสะอึกสะอื้นไปด้วย
“พี่ปู้หนานอีแต่งให้เสี่ยวเป่าเพคะ”
นอกจากดวงตาสีดำสนิทดูสดใส ส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าล้วนต่างไปจากเดิม
“ท่านพ่อจำเสี่ยวเป่าได้ทันทีเลย ท่านพ่อเก่งที่สุด~”
นัยน์ตาของเสี่ยวเป่าแดงก่ำ หยดน้ำตาเป็นประกายเกาะบนขนตาดำโค้งงอน ดูน่าสงสารจับใจ
แต่ทั้งที่เป็นถึงขนาดนี้แล้ว นางก็ยังไม่ลืมที่จะประจบประแจง
หนานกงสือเยวียนตีบั้นท้ายนางเบา ๆ “ไม่ต้องมาประจบ”
จากนั้นสายตาก็จ้องมองไปที่เด็กหนุ่มในชุดขาว
เด็กคนนั้นมีเส้นผมสีขาวและนัยน์ตาสีม่วง กระทั่งขนตาก็ยังเป็นสีขาว รูปลักษณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่ทำให้คนที่ไม่เคยเห็นต้องตื่นตกใจเลย แม้แต่เขาเองก็ยังประหลาดใจเช่นกัน
แต่เมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นเส้นผมที่ถูกถักเป็นเปียหลายต่อหลายเส้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ แค่มองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเสี่ยวเป่า
บัดนี้เจียงอู๋ฮ่วนข่มกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปยืนข้างเด็กหนุ่มในชุดขาว รูม่านตาหดเล็กลงขณะจับจ้องไปที่ดอกไม้สีแดงสดชวนดึงดูดราวกับมีชีวิตบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าผิดเองเพคะ!”
ตอนนั้นเองเสี่ยวเป่าก็ตะโกนขึ้นมา สีหน้าเรียกได้ว่าเศร้าใจเหลือแสน
“ข้าเจอดอกสามชีวาแล้ว อยู่ใต้จมูกเสี่ยวเป่าแท้ ๆ แต่ว่า แต่ว่า…”
เมื่อได้ยินคำว่าดอกสามชีวา ร่างกายของหนานกงสือเยวียนก็สั่นสะท้าน “ดอกสามชีวา?”
เสี่ยวเป่าสะอึกสะอื้น “แต่ว่าตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว แง”
นางร้องไห้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นานสองนาน แต่ว่า… ก็เปลี่ยนแปลงอะไรมิได้
เจ้าก้อนแป้งชี้นิ้ว “เขากินไปแล้ว”
หนานกงสือเยวียน “…”
แม้จะเป็นเขา แต่ว่าบัดนี้อารมณ์กลับวูบไหว จากนั้นสีหน้าก็กลับมาไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
เจียงอู๋ฮ่วน “ไม่หรอก ดอกสามชีวาไม่ได้หายไป”
หนานกงสือเยวียนและเสี่ยวเป่ามองหน้าเขาพร้อมกัน
เจียงอู๋ฮ่วนชี้ดอกสามชีวาที่กินพื้นที่เกือบครึ่งบนหลังของเด็กหนุ่ม “นี่คือดอกสามชีวา”
เด็กหนุ่มมีแผ่นหลังสีขาวผ่องราวกับหิมะ ดอกสามชีวางดงามไร้ที่เปรียบดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ทั้งยังเสริมความลึกลับน่าค้นหาให้ไม่น้อย
เสี่ยวเป่า “นั่นเพิ่งปรากฏขึ้นหลังจากที่เขากินดอกสามชีวาเข้าไป คงไม่ได้กินของผิดสำแดงเข้าไปหรอกนะ”
เจียงอู๋ฮ่วนพูดสิ่งที่เขาเคยบอกกับหนานกงชิงก่อนหน้านี้
“เขากินดอกสามชีวาเข้าไป ประจวบเหมาะกับดอกสามชีวาที่เติบโตจนสมบูรณ์ เขาจึงกลายเป็นราชากู่ สามารถควบคุมกู่ได้ทุกชนิด และชื่อของราชากู่ ก็คือดอกสามชีวา”
นัยน์ตาของเจียงอู๋ฮ่วนฉายแววตื่นเต้นยากจะบรรยาย เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นราชากู่กับตาตัวเองเช่นนี้ ราชากู่เชียวนะ!
ว่ากันว่าหนึ่งคนสามารถพิชิตทหารนับแสน ควบคุมกู่ในใต้หล้า
ตามบันทึกกล่าวไว้ว่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนเคยมีราชากู่ปรากฏตัวขึ้น แต่น่าเสียดายที่กลับถูกหลอกโดยพวกที่มีเจตนาชั่วร้ายจนโดนควบคุม สุดท้ายเกิดความโกลาหลไปทั่วใต้หล้า วีรบุรุษผู้หนึ่งใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตจึงสามารถสังหารราชากู่รวมถึงคนที่ควบคุมราชากู่ลงได้
น่าเศร้าที่วีรบุรุษผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส ทำได้เพียงรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง แต่กลับมิทันได้ปกครองก็ต้องมาจากโลกนี้ไปด้วยอาการบาดเจ็บแต่ครั้งเก่าก่อน
จากนั้นอาณาจักรที่เพิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้เพียงไม่กี่ปีก็เข้าสู่ยุคแห่งสงครามและความโกลาหลอีกครั้ง ส่งผลให้ดินแดนเป็นอันต้องแตกแยก
ห้าร้อยปีต่อมา ในที่สุดราชากู่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ราชากู่นี้จะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของ ‘พวกตัวปัญหา’ อีก
——————————————-