เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 354 ไม่ฟัง ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง
บทที่ 354 ไม่ฟัง ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง
หลังจากได้ฟังหนานกงฉีหลิงเล่าวีรกรรมในสนามรบของเยว่หลี ทุกคนก็พลันมองเขาด้วยสายตาเปลี่ยนไป
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่ดูโง่งมเช่นนี้จะมีความสามารถเก่งกาจปานนั้น
หากพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นคงตกใจจนหมดสติ แค่ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับกู่พิษพวกนั้นยังกลัวจนขนหัวลุก ไม่มีผู้ใดหยุดกู่พิษพวกนั้นได้ แต่คนผู้นี้กลับควบคุมพวกมันได้
หนานกงฉีเฉินมองเยว่หลีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ชายผู้นี้อันตรายไม่น้อย อย่าไปยั่วโมโหเขาจะดีกว่า
ทันทีที่ได้กลับมาเหยียบสถานที่ที่คุ้นเคย เสี่ยวเป่าพลันใจเต้นแรง ขาสั้นป้อมวิ่งไปรอบ ๆ สวน
นางกวาดตามองสวนผลไม้ของตน เห็นองุ่นสุกงอมพร้อมกิน ส่งกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ
ชุนสี่ “องค์หญิงเพคะ องุ่นที่องค์หญิงปลูกลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่หม่อมฉันเคยเห็นมาเลยเพคะ องุ่นที่สุกก่อนหน้านี้บางส่วนถูกเสี่ยวไป๋และคนอื่น ๆ กินไปหมดแล้ว หากองค์หญิงกลับมาช้ากว่านี้ เกรงว่าองุ่นเหล่านี้คงถูกพวกเขากินจนหมด”
“แล้วพวกท่านพี่เล่า? พวกเขาได้ลองกินแล้วหรือไม่”
เสี่ยวเป่าเอ่ยถามในขณะที่ยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กพลางเอื้อมมือไปเก็บองุ่น
ชุนสี่ “พวกองค์ชายกินส่วนที่เก็บมาจากนาหลวงแล้วเพคะ”
องุ่นในสวนเป็นสายพันธุ์ที่มีเถาค่อนข้างใหญ่ ดีที่เสี่ยวเป่าวางแผนไว้อย่างรอบคอบ ค้างไม้เลื้อยที่สร้างไว้บัดนี้จึงกลายเป็นซุ้มองุ่นแสนร่มรื่น ด้านล่างวางโต๊ะเก้าอี้ไว้เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อน
“ข้าช่วย ๆ”
เยว่หลีที่กำลังจับเก้าอี้ไม้กลัวว่านางจะล้มลงมาจึงอาสาช่วย
เสี่ยวเป่าผู้ดื้อรั้นเท้าเอวปฏิเสธ “ไม่ ข้าอยากทำเอง!”
นางสี่ขวบแล้วนะ และจะอายุห้าขวบในปีนี้ ว่ากันว่าความสูงเพิ่มขึ้นตามอายุ นั่นหมายความว่านางต้องสูงขึ้นด้วย!
เสี่ยวเป่าผู้เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าตนเองโตขึ้น พลันเอื้อมมือตัดพวงองุ่นได้สำเร็จก็ทำหน้าภาคภูมิใจ องุ่นพวงใหญ่ในมือเรียกได้ว่าใหญ่กว่าหน้านางเสียอีก
“ดูสิเพคะ เสี่ยวเป่าตัดมันเอง!”
ท่าทางภูมิอกภูมิใจนั้นน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
พี่ชายแต่ละคนยกนิ้วให้พลางชมนางจนตัวแทบลอย เยว่หลีเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจจนหน้ายับย่น
แต่ก็อย่างว่า คนหน้าตาดีทำสิ่งใดก็ดูดีไปซะหมด ต่อให้จะทำหน้าแปลกประหลาดอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาน้อยลงเลย
องุ่นที่สุกงอมยังมีอีกมาก เสี่ยวเป่ายืนบนเก้าอี้เอื้อมไม่ถึงองุ่นพวงที่เหลือ นางจึงปีนหลังเสือแทนเก้าอี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะเก็บมันให้ได้
คนอื่น ๆ ก็ช่วยกันเก็บคนละไม้คนละมือ ผ่านไปไม่นานองุ่นก็อัดแน่นเต็มตะกร้าใบใหญ่
เสี่ยวไป๋และถวนจื่อรีบเสนอหน้าทำท่าน้ำลายสอ
คนกลุ่มหนึ่งและสัตว์หลายตัวนั่งกินองุ่นอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ใต้ซุ้มองุ่น
“องุ่นพวกนี้เก็บไว้ให้ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ท่านอาเจ็ด ส่วนคนที่เหลือค่อยไปเก็บจากสวนที่นาหลวงก็แล้วกัน”บราวนี่ออนไลน์
เจ้าตัวเล็กไม่ลืมท่านพ่อและคนที่เหลือ
“แตงโมเล่า แตงโมลูกใหญ่ของข้าเล่า”
จู่ ๆ ถวนจื่อก็กระโดดขึ้นมาหา นี่สินะที่เขาเรียกว่า กินข้าวในชามพลางมองในหม้อ*[1] กินองุ่นยังไม่หมดแต่กลับอยากกินแตงโม
ชุนสี่รีบรายงานนางด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงวางพระทัย หม่อมฉันรู้ว่าองค์หญิงจะต้องอยากเสวยแตงโมเมื่อกลับมา หม่อมฉันจึงแช่เย็นไว้ในบ่อแล้ว หม่อมฉันจะไปนำมาถวายเดี๋ยวนี้เพคะ”
อากาศร้อน ๆ เช่นนี้ จะมีอะไรดีไปกว่าการได้กินแตงโมหวานเย็นชื่นใจ
แตงโมลูกใหญ่สองลูกไม่เพียงพอที่จะแบ่งปันให้ทุกคน แต่ถวนจื่อและเสือสองตัวมีความอยากอาหารมากกว่าคนอื่น ๆ
หากเสี่ยวเป่าไม่ห้ามไว้ ถวนจื่อก็คงกินแตงโมลูกใหญ่หมดทั้งลูกเพียงลำพัง
อาจเป็นเพราะกินไม่อิ่ม สายตาถวนจื่อจึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
เสี่ยวเป่าถือแตงโมซีกหนึ่งไว้อย่างหวงแหน “ไม่ให้ เจ้ากินไปเยอะแล้ว ที่เหลือจะเก็บไว้ให้ท่านพ่อ!”
นางเป็นบุตรสาวแสนดีนึกถึงท่านพ่อตลอดเวลา
นี่เป็นการลิ้มลององุ่นและแตงโมครั้งแรกของเยว่หลี ดวงตาเขาเป็นประกายไม่จางหาย มือหนึ่งถือองุ่นมือหนึ่งถือแตงโม ท่าทางเอร็ดอร่อยมากกว่าผู้ใด
ทั้งเยว่หลีและเสี่ยวเป่าตั้งใจกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เจ้าตัวเล็กเหยียดตัวบนเก้าอี้ เผยให้เห็นพุงป่อง ๆ กำลังส่งเสียงร้องเหมือนหมูน้อย
“ท่านพี่ช่วยนวดท้องให้เสี่ยวเป่าทีเพคะ”
อยู่บ้านตนสบายกายสบายใจเป็นที่สุด ความอยากอาหารก็มีมากขึ้นทันทีที่กลับมาถึง
หนานกงฉีเฉินนวดท้องให้นางโดยไม่อิดออด “แตงโมมีฤทธิ์เย็น กินมากไปไม่ดี เกิดปวดท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เขานวดท้องไล่ลมให้น้องสาวพร้อมตีหน้านิ่งดุนาง
เสี่ยวเป่า “อืม ๆ ทราบแล้วเพคะ”
แม้จะยอมรับผิดแต่โดยดี แต่ครั้งต่อไปนางก็จะทำอีกอย่างแน่นอน
เสี่ยวเป่าแทบไม่อยากขยับตัว มือปิดปากหาวพร้อมกับเอนศีรษะพิงพี่หก หลับตาพริ้มคล้ายจะเคลิ้มหลับ
ก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งหมดจะหายไป นางก็ไม่ลืมกำชับพี่ชาย
“เยว่หลี ฝากท่านพี่ดูแลเยว่หลีด้วย”
สิ้นเสียงพึมพำ นางก็หลับสนิทในขณะที่ซบอกพี่ชาย
หนานกงฉีเฉินค่อย ๆ อุ้มนางขึ้นแนบอก แม้จะไม่ได้เจอกันนานกว่าครึ่งปี แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขาก็หาได้ลดน้อยลง
พอเห็นหนานกงฉีเฉินอุ้มเสี่ยวเป่าออกไป เยว่หลีก็รีบสะบัดหน้าหมายจะตามไปด้วย แต่กลับถูกหนานกงฉีหลิงรั้งเอาไว้เสียก่อน
“เจ้าไปไม่ได้ เจ้าถือเป็นคนนอก จะเข้าออกห้องเสี่ยวเป่าตามอำเภอใจไม่ได้!”
เยว่หลี “เพราะเหตุใด! ข้าไม่ใช่คนนอก ข้าคือเยว่หลี เยว่หลีของเสี่ยวเป่า!”
เขาเน้นย้ำคำว่า ‘เยว่หลีของเสี่ยวเป่า’ พร้อมทำหน้ามั่นอกมั่นใจ
หนานกงฉีหลิงและพี่น้องคนอื่น ๆ ทำหน้าเข้มขึ้นทันที
“อย่างไรก็ไม่ได้ บุรุษไม่ควรย่างกรายเข้าไปในห้องส่วนตัวของสตรี”
เยว่หลี “เช่นนั้นข้าไม่ใช่บุรุษ!”
อีกหลายคน “…”
ดื้อด้านเสียจริง ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย
“เจ้าเข้าไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเสี่ยวเป่าจะเสียหาย”
ทันทีที่หนานกงฉีรุ่ยพูดจบ เยว่หลีหยุดชะงักพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”
หนานกงฉีรุ่ยตั้งใจอธิบาย “มันเป็นธรรมเนียมของที่นี่ ห้ามมิให้บุรุษสกุลอื่นเข้าไปในห้องส่วนตัวของสตรี ไม่เช่นนั้นสตรีนางนั้นจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ ฝ่ายหญิงอาจโดนคำครหา ถูกนินทาว่าร้ายในทางไม่ดี พวกเราเองก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเช่นกัน เมื่อเสี่ยวเป่าเติบโตขึ้น เราก็มิควรใกล้ชิดสนิทสนมจนเกินงาม”
เยว่หลีคว้าแขนชายตรงหน้าผู้พร่ำบอกว่าเขาเข้าไปไม่ได้พลางมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ
“เช่นนั้นข้าขอเปลี่ยนชื่อเป็นหนานกงเยว่หลีได้หรือไม่”
ในขณะที่เขาคิดว่าตนเองเฉลียวฉลาด
ทว่ากลับโดนสมาชิกตระกูลหนานกงปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง “ไม่ได้!”
หนานกงฉีหลิง “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สกุล แต่เป็นสายเลือด!”
หนานกงฉีจวิน “พี่ห้า ท่านอย่าเสียเวลาอธิบายเลย ดูท่าแล้วเขาโง่กว่าข้าเสียอีก คงไม่เข้าใจหรอก!”
หนานกงฉีรุ่ย “สรุปคือ หากเจ้าหวังดีกับเสี่ยวเป่าจริง ก็ห้ามเข้าไปในห้องส่วนตัวนาง แล้วก็ห้ามทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเสี่ยวเป่าต่อหน้าผู้อื่น และห้ามอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง”
เยว่หลีปิดหูพลางส่ายหัว “ไม่ฟัง ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง”
หนานกงฉีหลิงและคนที่เหลือโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
ที่ผ่านมาพวกเขาต่างอดทนอดกลั้น แต่ตอนนี้พวกเขาทนไม่ไหวแล้ว
หนานกงฉีหลิงรีบรุดเข้าไปจับตัวเขาไว้เป็นคนแรก คนที่เหลือก็พร้อมใจเข้าช่วยลากตัวเยว่หลีออกไป
“ปล่อย… ปล่อยข้า พวกเจ้าปล่อยข้านะ เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่าช่วยด้วย อื้อ…”
เสียงสุดท้ายอู้อี้เพราะโดนปิดปากก่อนจะถูกลากตัวออกไป
แม้เยว่หลีจะเป็นราชากู่ ทว่าศึกในคราวนี้ เขานั้นเป็นแค่คนไม่มีทางสู้
ด้วยแรงพันธนาการจากหนานกงฉีหลิงและหนานกงฉีอิง เขาจึงไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย
คิดจะเข้าหาน้องสาวของพวกเขาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
เสี่ยวเป่าที่ยามนี้หลับสนิทไม่รับรู้สิ่งใด สะบัดเท้าถีบผ้าห่มออกจากตัว
หนานกงฉีเฉินยืนข้างหน้าต่างมองเหล่าพี่น้องพาเยว่หลีออกไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปห่มผ้าให้น้องสาวแล้วหมุนตัวเตรียมเดินออกไป
“ดูแลองค์หญิงให้ดี”
“เพคะ”
[1] กินข้าวในชามพลางมองในหม้อ หมายถึง โลภมาก ไม่รู้จักพอ