เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 356 หากเขาขายแมลงจะได้เงินหรือไม่?
บทที่ 356 หากเขาขายแมลงจะได้เงินหรือไม่?
การออกกำลังกายเพียงคนเดียวย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน นางจึงอยากชวนเยว่หลีและพวกท่านพี่มาแบ่งปันความลำบากด้วยกัน
เสี่ยวเป่าจึงก้าวขาสั้นป้อมของตนเองเพื่อไปตามคนอื่น ๆ อย่างเริงร่า
“ท่านพี่ พวกท่านอยู่หรือไม่เพคะ”
นางไล่ถามทุกคนจนรู้ว่าท่านพี่พาเยว่หลีไปที่ตำหนักของพี่สาม
แต่ทางเดินภายในตำหนักค่อนข้างวังเวงไปเสียหน่อย โชคยังดีที่มีหมัวมัวคอยนำทาง
ได้ยินเสียงเบา ๆ ดังมาจากข้างในห้อง เสี่ยวเป่าจึงเอียงศีรษะด้วยความสงสัย พวกท่านพี่กำลังทำอะไรกันอยู่นะ
เมื่อไม่มีใครตอบรับ นางจึงแง้มประตูแล้วเดินเข้าไปทันที
และภาพที่เห็น ก็ทำให้นางต้องตกตะลึง
“อื้อ อื้อ อื้อ…”
เยว่หลีที่โดนมัดเป็นบ๊ะจ่าง โดยมีพี่ห้าและพี่หกใช้ขนนกจั๊กจี้ฝ่าเท้าของเขาคนละข้าง จนเยว่หลีดิ้นพล่าน
“หากไม่ทำให้เจ้าเข็ดหลาบ เจ้าคงคิดว่าพวกข้าพูดเล่นสินะ จะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีหรือไม่ ต่อไปหากยังแอบปีนเข้าตำหนักของเสี่ยวเป่าอีก ครั้งหน้าจะไม่ใช่แค่จั๊กจี้สั่งสอนเช่นนี้แน่!”
เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่เสี่ยวเป่าไปกินข้าวกับท่านพ่อ เยว่หลีได้แอบปีนหน้าต่างเข้าไปในห้องของเสี่ยวเป่า
และเพราะเขาสามารถควบคุมแมลงได้ ฝูงต่อตัวใหญ่จึงไม่กล้าต่อย เขาจึงแอบลอบเข้าไปได้สำเร็จ
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของพวกพี่ชายได้ จึงโดนจับตัวมาเช่นนี้
และถูกจี้ตรงฝ่าเท้า
เสี่ยวเป่า “ท่านพี่ พวกท่านกำลังทำอะไรกันหรือเพคะ”
เสี่ยวเป่าเห็นสภาพเยว่หลีก็รู้สึกเห็นใจ ถูกมัดมือมัดเท้า ปากก็ถูกปิด ช่างน่าอับอายอย่างยิ่ง แต่เหตุใดเขายังดูดีเช่นนั้นกันเล่า
เจ้าก้อนแป้งบ่นพึมพำอยู่ในใจ ก่อนจะสลัดความคิดแปลก ๆ ในหัวทิ้ง พลางก้าวเดินเข้าไป
เหล่าพี่ชายจึงเริ่มแย่งกันพูด
พี่สี่ “เขาวิ่งไปทั่ว”
พี่ห้า “เขาปีนกำแพง”
พี่หก “เขาปีนหน้าต่าง”
พี่เจ็ด “เขาทำตัวไม่เหมาะสม บุกเข้าไปในห้องนอนของเจ้า”
พี่แปด “…”
พวกท่านพูดเช่นนั้นแล้วข้าจะเอ่ยสิ่งใดได้เล่า พี่เจ็ด พี่ขโมยบทของข้าอย่างนั้นหรือ!
สุดท้ายเขาก็บ่นพึมพำขึ้นมา “เขายอมรับเอง!”
เยว่หลีส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่งบราวนี่ออนไลน์
เสี่ยวเป่ามองพวกเขาด้วยแววตาจับผิด แล้วช่วยแก้ผ้ามัดปากให้เยว่หลีเป็นอิสระ
เยว่หลีรีบเอ่ยฟ้องทันที “ฮืออออ… เสี่ยวเป่า พวกเขารังแกข้า”
กล่าวจบก็ร้องห่มร้องไห้ จนดูน่าสงสาร
เสี่ยวเป่า “ท่านพี่ พวกท่านจับคนมัดแล้วจั๊กจี้แบบนี้ได้อย่างไร ใจร้ายมาก”
เหล่าพี่ชายต่างเงยหน้ามองฟ้าก้มหน้ามองดิน ไม่มองนางแม้แต่น้อย
“แก้มัดเดี๋ยวนี้เลย”
“อือ”
พวกเขาจำยอมปล่อยคนอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เยว่หลีฮัมเพลงเดินตามหลังเสี่ยวเป่า พลางกอดอกแล้วหันมามองหน้าพวกเขา อย่างกับจิ้งจอกสวมร่างแสร้งเป็นพยัคฆ์
พวกพี่ชาย “…”
เรื่องนี้ต้องได้รับการสะสางแน่
“เสี่ยวเป่า พวกเขาไม่อยากให้ข้าไปพบเจ้าอีก”
เสี่ยวเป่า “เพราะเหตุใดกัน”
หนานกงฉีเฉิน “พูดจาไร้สาระ ผู้ใดเอ่ยกันว่าไม่ให้เจ้าเข้าพบ ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าเข้าไปในห้องของเสี่ยวเป่าเท่านั้น”
หนานกงฉีรุ่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว ชายแปลกหน้าไม่ควรเข้าไปในห้องส่วนตัวของสตรี อีกทั้งน้องสาวของข้ายังเป็นถึงองค์หญิงถ้าหากนางโดนพวกขุนนางตำหนิ…”
เยว่หลีเอ่ยตอบโต้ “เช่นนั้นข้าจะสังหารพวกเขาเอง”
ท่าทางไร้เดียงสาแต่แสดงเจตนาร้ายอย่างชัดเจน
คนอื่น “…”
ไม่คิดเลยว่าเขาจะเอ่ยอยากสังหารผู้คนอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ยกเว้นองค์ชายสี่กับองค์ชายห้า หลังจากได้เห็นผู้คนล้มตายมาเป็นจำนวนมากจึงรู้สึกเฉยชายิ่ง
แต่…
“ไม่ได้!”
เสี่ยวเป่าเอ่ยห้ามเสียงแข็ง ก่อนจะเอ่ยสั่งสอน “จะสังหารคนตามใจตนเองไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้วนะ”
หนานกงฉีเฉิน “หากสังหารผู้คนในเมืองหลวง เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ”
หนานกงฉีรุ่ย “เจ้าคิดว่าตนเองอยู่ในสนามรบหรืออย่างไร!”
เยว่หลีผู้โดนรุมสั่งสอนพลันก้มหน้าลง “ข้าเข้าใจแล้ว ไม่สังหารก็ไม่สังหาร ถ้าเช่นนั้นหากพวกเขาตำหนิเสี่ยวเป่า ข้าสามารถตอบโต้พวกเขาได้หรือไม่”
พวกพี่ชายต่างพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “อย่างนั้นได้แน่นอนอยู่แล้ว”
พวกเขาเองก็เคยนำกระสอบไปรวบคนแล้วซ้อมพวกนั้นเช่นกัน
หนานกงฉีรุ่ย “หลังงานเฉลิมฉลองในวันพรุ่งนี้ เจ้าไปทูลเสด็จพ่อว่าจะขอมาเรียนกับพวกข้าสิ”
หนานกงฉีเฉินคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วพยักหน้า “หากไม่เข้าใจ เจ้าจำเป็นต้องได้รับการอบรมสั่งสอน”
เมื่อเสี่ยวเป่าเกิดมาบนโลกใบนี้ ท่านแม่ของนางเป็นหญิงงามสุภาพอ่อนน้อมคนหนึ่ง คอยอบรมสั่งสอนนางเสมอเกี่ยวกับเรื่องการวางตัวในฐานะชายหญิง นอกจากนี้ หลังจากนางเข้ามาอยู่ในพระราชวัง หมัวมัวก็คอยสั่งสอนมากมาย
แม้ว่ากฎเกณฑ์พวกนั้นจะค่อนข้างเข้มงวด แต่ถึงอย่างนั้น การที่ไม่ให้บุรุษเข้าไปในห้องส่วนตัวของสตรี ก็เพื่อปกป้องชื่อเสียงของฝ่ายหญิงเป็นหลัก
ทุกยุคสมัยล้วนมีกฎเกณฑ์และหลักการที่เปลี่ยนแปลงไป ในชาติก่อนแม้จะสามารถทำให้ชายหญิงเท่าเทียมกันได้ แต่ในชาติปัจจุบันนี้กลับเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร
ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงไม่อยากเป็นคนที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น การจำกัดสิทธิของสตรีในอาณาจักรต้าเซี่ย หากเทียบกับอาณาจักรอื่นแล้วยังถือว่าน้อยกว่ามาก ท่านพ่ออนุญาตให้ผู้หญิงทำงานเพื่อหารายได้ด้วยตัวเอง และยังสามารถหย่าร้างได้ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ในตอนนี้ผู้หญิงก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้สอบเคอจวี่ เข้ารับราชการขึ้นรับตำแหน่งขุนนาง
นอกจากนี้ นางเองก็เห็นด้วยที่ให้เยว่หลีได้เรียน การอ่านตำราให้มีความรู้มากขึ้นย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
“เยว่หลีไปเรียนกับพวกท่านพี่นะ เสี่ยวเป่าเองก็จะไปเรียนเหมือนกัน”
เมื่อพวกพี่ชายได้ยินคำพูดของเสี่ยวเป่า ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที “เสี่ยวเป่าเองก็จะมาเรียนด้วยกันหรือ”
นางขานตอบว่าอื้ม ศีรษะน้อยก้มต่ำดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุข “พอโตขึ้นก็ต้องอ่านตำราเยอะขึ้น”
พวกพี่ชายเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะศิษย์ที่ค่อนข้างเกียจคร้าน การเรียนนั้นถือเป็นฝันร้าย
“องค์หญิงเพคะ วันนี้ฝ่าบาทรับสั่งให้ออกกำลังกายสักหนึ่งชั่วยามแล้วจึงค่อยเสด็จกลับตำหนักเพคะ”
เมื่อชุนสี่เห็นว่าพวกเขายังพูดคุยกันอยู่ จึงเอ่ยเตือนออกมาเล็กน้อย
เสี่ยวเป่าหันมองท่านพี่ด้วยใบหน้าจริงจัง “ท่านพี่ พวกเรามาออกกำลังกายด้วยกันเถอะเพคะ”
ท่านพ่อช่างใจร้าย QAQ
ดังนั้นในเย็นวันนี้ ทุกคนจึงวิ่งรอบอุทยานหลวงอยู่นาน
หลังจากวิ่งเสร็จแล้ว เสี่ยวเป่าก็ยืดเส้นยืดสาย แสดงความยืดหยุ่นของตัวเองต่อหน้าพี่ชาย
ในขณะที่พวกพี่ชายต่างพากันปรบมือก็ต้องคอยหันมองสำรวจโดยรอบด้วย หากพวกชอบซุบซิบนินทามาเห็นเข้า คงนำเรื่องนี้ของน้องหญิงไปเล่าต่อเสีย ๆ หาย ๆ เป็นแน่
น้องสาวของพวกเขาแค่ยืดกล้ามเนื้อ ใครมีปัญหา ไม่มี!
นี่เป็นสิ่งที่พวกพี่ชายสองมาตรฐานคิดในใจ
เหนื่อยจนเหงื่อไหลไคลย้อย พอได้อาบน้ำก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก เสร็จแล้วก็ทิ้งตัวนั่งอยู่ตรงซุ้มเถาองุ่นกัดกินถังหูลู่กับแตงโม ลมเย็นพัดผ่าน ขาสั้นป้อมยกขึ้นไขว้กัน รู้สึกเหมือนกำลังใช้ชีวิตในช่วงวัยเกษียณ
ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้ตลอดทั้งคืนแทบไม่ฝันเลยสักนิด
หลังจากได้พักผ่อนไปหนึ่งคืนเสี่ยวเป่าก็พร้อมทำเรื่องสำคัญ เพราะองุ่นเริ่มสุกแล้ว ถึงเวลาหมักเหล้าองุ่น!
“ท่านพ่อ ท่านพ่อเพคะ เสี่ยวเป่าขอยืมรถม้าของท่านพ่อ เสี่ยวเป่ากับท่านพี่จะไปที่นาหลวงกันเพคะ!”
หลังจากบอกลาท่านพ่อผู้มีภาระยุ่งเหยิงแล้วเสี่ยวเป่าก็พาสัตว์หลายตัวในตำหนัก พวกพี่ชายและเยว่หลีออกเดินทางไปยังนาหลวงด้วยกัน
รถม้ากำลังขับเคลื่อนไปบนถนนเมืองหลวง เสี่ยวเป่าเปิดม่าน ก่อนจะเท้าแขนวางตรงขอบหน้าต่างแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก
ไม่ได้เห็นตั้งนานคิดถึงยิ่งนัก เจ้าก้อนแป้งส่ายศีรษะไปมาก่อนจะเริ่มเอ่ยครวญ
“ข้าคิดถึงกุ้งมังกรน้อยในเหลาอาหาร เป็ดย่าง ของหวานในโรงน้ำชา เกี๊ยวชิ้นเล็ก ขนมปิ่งโรยงา เกาลัดคั่วน้ำตาล แล้วก็ขนมถังหูลู่….”
สิ่งนั้นราวกับเป็นตัวจุดประกาย ทำเอาเหล่าพี่ชายที่นั่งอยู่ในรถม้าต่างขยับยิ้ม
เมื่อเยว่หลีได้ยินก็ถึงกับน้ำลายไหล
“เช่นนั้นแล้วพวกเราไปซื้อกันเถอะ”
หนานกงฉีฉินกลอกตา “ซื้ออะไรไร้สาระ เจ้ามีเงินอย่างนั้นหรือ”
เยว่หลีมองดูเอวที่ว่างเปล่าของตนเอง ท้อแท้อย่างยิ่ง
“ไม่มี”
ไม่มีเงิน = ซื้อของไม่ได้ = เลี้ยงเสี่ยวเป่าไม่ได้
เยว่หลี :ต้องหาเงิน!
ว่าแต่หากเขาขายแมลงจะได้เงินหรือไม่