เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 357 ประหลาดยิ่งนัก
บทที่ 357 ประหลาดยิ่งนัก
ขณะนั่งอยู่บนรถม้าพลางคิดไม่ตกว่าจะหาเงินมาซื้อของให้เสี่ยวเป่ากินอย่างไร
บัดนี้ของบางส่วนที่เสี่ยวเป่าต้องการ บรรดาพี่ชายของนางได้ให้คนไปซื้อมาเรียบร้อยแล้ว
ถังหูลู่คนละหนึ่งไม้ และเกาลัดคั่วน้ำตาลถุงใหญ่อีกหนึ่งถุง
เสี่ยวเป่ากินอย่างเอร็ดอร่อย ทว่าเยว่หลีกลับกินราวกับไม่มีรสชาติ
“เจ้าเป็นอะไรไป”
นางใช้นิ้วสะกิดเยว่หลี เด็กหนุ่มคอตกท่าทางดูไม่ยินดี
แม้จะดูเศร้าสร้อยแต่ก็ไม่กระทบการกินของเขาแม้แต่น้อย ถังหูลู่หนึ่งไม้ถูกกัดเข้าปากไปสามลูกในระยะเวลาอันสั้น
เยว่หลี “ข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง”
หนานกงฉีหลิงเบิกตากว้างราวกับกำลังมองสัตว์วิเศษหายาก
“เจ้าถึงขั้นขบคิดปัญหานี้แล้วหรือ สิ่งใดกระตุ้นเจ้ากัน!”
คนอื่น ๆ มองเขาโดยพร้อมเพรียง แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่นิสัยของเขาก็ดูออกได้อย่างง่ายดาย บริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับกระดาษที่ว่างเปล่า มีเพียงหยดน้ำหมึกเล็กน้อยซึ่งถูกสอนโดยเจ้าแมว อีกทั้งเสี่ยวเป่ายังเป็นผู้สอนให้เขาพูดคุย เดินเหิน และได้รู้จักกับสิ่งใหม่ ๆ ในโลกภายนอก
ในโลกของเขาไม่มีสิ่งใดถูกและผิด อยากทำอะไรก็ทำเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่เข้าใจกฎระเบียบซึ่งเป็นที่รู้กันโดยทั่วอย่างเช่นว่าบุรุษที่มิใช่เชื้อพระวงศ์ไม่สามารถเข้าใกล้ห้องนอนของเสี่ยวเป่าได้
เขารู้เพียงว่าตนเองอยากอยู่ใกล้ ๆ เสี่ยวเป่า จึงปีนกำแพงและหน้าต่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มิถูกมิควรในสายตาของผู้อื่น เขาได้กระทำเรื่องที่เกินขอบเขต ทั้งยังไร้ซึ่งความรับผิดชอบใด ๆ
แต่วันนี้เขากลับครุ่นคิดว่าตนเองต้องทำอะไรในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
เยว่หลีเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เก็บซ่อนความคิดของตัวเองแม้แต่น้อย
“ข้าอยากเลี้ยงดูเสี่ยวเป่า”
ใบหน้าของบรรดาพี่ชายบึ้งตึงในพริบตา เสี่ยวเป่าหัวเราะอย่างมีความสุข
เมื่อเยว่หลีเห็นนางหัวเราะก็หัวเราะตามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ราวกับว่าคนที่เศร้าโศกเมื่อครู่มิใช่ตัวเขาเสียอย่างนั้น
“เสี่ยวเป่าต้องให้เจ้าเลี้ยงดูด้วยหรือ มีพี่ชายอย่างพวกข้าอยู่ จะมีอะไรให้เจ้าทำอีก มันใช่เรื่องที่เจ้าต้องห่วงหรือ!”
“นั่นสิ!”
เยว่หลี “พวกเจ้าเอาเงินให้ข้า ข้าก็ไม่กังวลแล้ว”
ถุย! อย่านึกว่าเจ้าหน้าตาดีแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!
เยว่หลีเหลือบมองพวกเขาอย่างเสียดาย จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยท่าทางสัตย์จริง “ข้าสามารถแย่ง หรือหยิบเงินของคนอื่นได้หรือไม่?”
“ไม่ได้!!!”
ได้โปรดเก็บความคิดน่ากลัวของเจ้าไปทีเถิด เป็นคำพูดไร้เดียงสาที่กวนประสาทเสียจริง!
เสี่ยวเป่า “ห้ามแย่งของคนอื่น เจ้าต้องแลกเปลี่ยนกับพวกเขา”
เยว่หลีทำท่าราวกับว่ากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
หลังจากที่ป้อนเกาลัดคั่วเข้าปากเสี่ยวเป่าอย่างช่ำชอง เยว่หลีก็ถูกเบียดออกไป
เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ไม่ยอมให้เขาป้อน ดวงตาก็ถมึงทึงด้วยความไม่พอใจ
ไม่นานก็มาถึงนาหลวง ผู้ดูแลยิ้มแย้มอย่างประจบสอพลอ
“องค์ชาย องค์หญิงเจาเสวี่ย อากาศร้อนนัก พวกเรารีบเข้าไปข้างในเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่เยว่หลีก้าวลงจากรถม้า แสงตกกระทบเส้นผมและผิวพรรณจนดูเปล่งประกาย ชุดสีแดงบนเรือนร่างของเขากลับทำให้ยิ่งแสบตา
นี่เป็นชุดที่เสี่ยวเป่าเลือกให้เองกับมือ
คนผิวขาวหากสวมชุดสีขาวก็จะยิ่งเสริมให้ดูราวกับเทพเซียน เพียงแต่ให้ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
สุดท้ายเมื่อเขาเปลี่ยนมาสวมชุดสีแดงก็ยิ่งชวนให้ตกตะลึง
ราวกับเกิดมาเพื่อเข้าคู่กับสีขาวและสีแดงได้อย่างลงตัว มิได้ดูเจ้าสำราญเหมือนท่านอาเจ็ด ทั้งยังไม่ยโสโอหังอย่างเช่นพี่รอง มันแค่ดูเข้ากับเขา และชวนให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เสี่ยวเป่าคิดว่าคนที่บริสุทธิ์และน่าหลงใหลที่บางคนพูดถึงในชาติก่อนก็คงจะเป็นแบบเขานี่แหละ
เห็น ๆ กันอยู่ว่าความงดงามชวนให้หลงใหล ทว่าพื้นอารมณ์กลับบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนพระโพธิสัตว์ ราวกับละทิ้งกิเลสทางโลกไปจนหมดสิ้น แค่มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกละอายแก่ใจดีมิอาจดูหมิ่นแม้สักนิด
ทันทีที่ได้เห็นเขา ผู้ดูแลและคนในหมู่บ้านต่างก็อึ้งไปตาม ๆ กัน
หนึ่งเพราะความงดงาม สองเพราะรูปลักษณ์ที่ผิดแปลกจากคนทั่วไป
ในโลกที่มิได้ใจกว้างมากนัก ต่อให้เยว่หลีจะมีรูปร่างหน้าตาและนิสัยที่น่าทึ่งเพียงใด ก็ยังถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดอยู่วันยังค่ำ
บางทีการหาวิธีย้อมสีผมให้กับเขาอาจช่วยแก้ปัญหาได้ แต่เสี่ยวเป่าไม่เคยคิดที่จะย้อมผมให้เขามาก่อน
เพราะว่ามีนางคอยปกป้อง ท่านพ่อของนางคือฮ่องเต้ และพี่ชายก็เป็นองค์ชาย หากว่าปกป้องผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพวกเขา และทหารเกือบล้านชีวิตไว้ไม่ได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
“มองอะไรกัน”
หนานกงฉีหลิงกวาดสายตามองผู้ดูแลและบรรดาคนรับใช้
เมื่อผู้ดูแลตั้งสติได้ก็รีบก้มหน้าทันที “องค์ชายห้า กระหม่อมขอประทานอภัยที่เสียมารยาท”
หนานกงฉีเฉินเบ้ปาก “จะขอโทษพี่ห้าทำไม ขอโทษเยว่หลีสิ”
พวกเขารวมหัวกันรังแกเยว่หลีได้ แต่ว่าคนอื่นไม่ได้รับอนุญาต
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเยว่หลี บรรดาเด็กหนุ่มก็จัดให้เขาเป็นหนึ่งในพวกพ้องของตน แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองวันก็ตามที
ผู้ดูแลก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี พลันรีบเอ่ยขอโทษเยว่หลี
เยว่หลี “???”
เขายังคงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่จู่ ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัว เขาเลียนแบบท่าทางเย็นชาของหนานกงสือเยวียน นัยน์ตาสีม่วงดูเยือกเย็นไม่แยแส เพียงเหลือบมองผู้ดูแลด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ผู้ดูแลขนลุกชันในทันที ความเย็นยะเยือกพัดผ่านตั้งแต่ฝ่าเท้าจรดหนังศีรษะ เหงื่อแตกไปทั้งตัว
จากนั้นก็จูงมือเสี่ยวเป่าที่กำลังนิ่งอึ้งจากไปท่ามกลางสายตาตกตะลึงของบรรดาพี่ชาย
ผู้ดูแลถอนหายใจอย่างโล่งอก บ่นกับตัวเองในใจอย่าได้ประมาทเช่นนี้อีก ดูเหมือนว่าคุณชายผู้นี้จะไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วย
หนานกงฉีจวิน “เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ราวกับเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย”
หนานกงฉีเฉิน “ให้ตายสิ ความรู้สึกนี้คุ้นเคยชะมัด”
จากนั้นทุกคนก็พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน “เสด็จพ่อ!”
พูดจบก็พากันตัวซีดตัวสั่น
เมื่อมาถึงภายในเรือน ก็สั่งให้ทุกคนแยกย้าย เสี่ยวเป่าและบรรดาพี่ชายต่างมองเยว่หลีด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เยว่หลียิ้มซื่อบื้อดูไร้เดียงสาให้พวกเขา
“มีอะไรหรือ”
หนานกงฉีหลิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด “โง่ทึ่มแบบนี้ ใช่เยว่หลีไม่ผิดแน่”
เสี่ยวเป่าเขย่งเท้าไปบีบแก้มของเขา เยว่หลีก็ก้มหัวอย่างให้ความร่วมมือ ใบหน้ายิ้มแฉ่งท่าทางดูเพลิดเพลิน หากว่ามีหาง ป่านนี้คงจะส่ายไปมาไม่หยุด
ในที่สุดหนานกงฉีจวินก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่จึงถามขึ้น “เมื่อครู่มันอะไรกัน เจ้าดูเหมือนกับเสด็จพ่อมาก”
เยว่หลี “ข้าก็แค่เลียนแบบท่านพ่อของเสี่ยวเป่า”
ฝูงชน “…”
ใช้ได้เลยเจ้าหมอนี่ เลียนแบบได้เหมือนขนาดนี้นับว่าเจ้ามีความสามารถ
หนานกงฉีจวิน “เจ้าทำได้อย่างไร ไหนเจ้าลองเลียนแบบข้าบ้างสิ”
เยว่หลีจ้องมองเขา แววตาดูมีชีวิตชีวาและมั่นใจจนเกินควร “เหตุใดเจ้าถึงโง่ขนาดนี้ แค่นี้ก็ทำไม่ได้”
ทุกคน “!!!”
ให้ตายสิ ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือว่าสีหน้าเมื่อครู่ก็เหมือนหนานกงฉีจวินไม่มีผิดเพี้ยน
คนอื่น ๆ เริ่มสนใจขึ้นมาทันที หนานกงฉีเฉินลองดูบ้าง “เจ้าลองเลียนแบบข้าบ้าง”
เยว่หลีกอดอก แววตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง เชิดหน้าเล็กน้อยพร้อมกับแค่นเสียง
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
หนานกงฉีหลิง “ข้าบ้าง ๆ ๆ”
รอยยิ้มของเยว่หลีดูสดใสราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา “นายน้อย ข้าอยากไปออกรบสร้างชื่อเสียง ข้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่!”
“…”
หลังจากที่เลียนแบบท่าทางของทุกคน เยว่หลีก็เริ่มหมดแรง นั่งยอง ๆ พลางวางคางบนไหล่เสี่ยวเป่าดูเปราะบางและน่าสงสาร
“เหนื่อยจังเลย”
เสี่ยวเป่า : แม้เขาจะเลียนแบบนาง แต่เหตุใดพอเขาทำแล้วดูไม่เข้าเลยสักนิด!
มิใช่เพียงแค่เขาคนเดียว แต่คนอื่น ๆ ก็ด้วย
มันไม่เหมือนการเลียนแบบหรือว่าการแสดงอีกแล้ว เหมือนกับเขาเป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ ราวกับว่ามีหลายบุคลิกอยู่ในตัวเขา
หนานกงฉีจวินตาเป็นประกาย “แปลกประหลาด แต่ก็สุดยอด!”
แต่ว่าทักษะดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์ในยุคนี้เท่าใดนัก