เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 367 ดินสอถ่าน
บทที่ 367 ดินสอถ่าน
เสี่ยวเป่ารู้ดีว่าพวกพี่ ๆ ทำไปเพราะห่วงนาง ในยุคสมัยนี้ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญยิ่ง นางที่เป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในราชวงศ์ ย่อมต้องเป็นที่จับจ้องจากสายตาหลายคู่
เสี่ยวเป่าเองก็ใช่ว่าจะไม่ห่วงชื่อเสียงของตน แต่ตอนนี้นางอายุเพียงสี่ขวบ ยังเป็นแค่เด็กสี่ขวบ!
มันไม่แปลกที่จะมีสหายไว้วิ่งเล่นด้วยกัน แม้เยว่หลีจะไม่ใช่เด็กเล็กแล้วก็ตาม ทว่าจิตใจเขานั้นนับว่าไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์
เขาก็ไม่ต่างอันใดกับเด็กเล็กเลยสักนิด
ในเมื่อเขาอายุมากกว่า แล้วเหตุใดนางจะปฏิบัติกับเขาเหมือนพี่ชายไม่ได้เล่า
อีกอย่างมีท่านพ่ออยู่ ผู้ใดจะกล้าว่าร้ายนาง คิกคิก!
หลังจากไปพบเยว่หลีกับเหล่าพี่ชายแล้ว เสี่ยวเป่าตั้งใจไว้ว่าจะออกไปพบพี่สามที่นอกวัง
เยว่หลีขอตามไปด้วย แต่ถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“เยว่หลีต้องเป็นเด็กดีนะ พึ่งเริ่มเรียนก็อยากโดดเรียนแล้ว ทำเช่นนี้อาจารย์จะรู้สึกไม่ดีเอาได้นะ”
เสี่ยวเป่าเขย่งเท้าลูบหัวปลอบโยนเขาอย่างนุ่มนวล
“เอาไว้วันหยุดเราค่อยไปเล่นด้วยกัน ข้าจะหาของกินอร่อย ๆ มาให้ทุกวันเลยดีหรือไม่”
เหล่าพี่ชายที่อยู่รอบ ๆ เกิดความอิจฉาในใจ
“น้องหญิงมาหาเยว่หลีสินะ…”
เสี่ยวเป่าสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงไม่พอใจจึงรีบพูดเอาใจพวกเขา
“ย่อมต้องมาหาพวกท่านด้วยอยู่แล้วสิ พรุ่งนี้เสี่ยวเป่าจะเอาปิงจีหลิ่น*[1]มาให้ด้วยนะ”
อากาศร้อนขนาดนี้จะขาดของเย็น ๆ ได้อย่างไร วันนี้นางเพิ่งทำแม่พิมพ์สำหรับทำปิงจีหลิ่นเสร็จพอดี
แม้เหล่าพี่ชายจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เสี่ยวเป่ากำลังพูดถึงคือสิ่งใด แต่มันมีคำว่าเย็นอยู่ในนั้น พวกเขาจึงคาดเดาได้ว่ามันน่าจะช่วยคลายร้อนได้
เสี่ยวเป่ากางร่มคันเล็กเดินไปขึ้นรถม้าของท่านพ่อด้วยท่วงท่าสง่างาม
ภายในรถม้ามีน้ำแข็งเต็มอ่าง อากาศจึงไม่ร้อนอบอ้าวเท่าข้างนอก
ชุนสี่คุกเข่าอยู่ข้างหน้าตั่งตัวเล็กพร้อมยื่นองุ่นที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วให้นาง
เจ้าก้อนแป้งเนื้อตัวจ้ำม่ำเอนกายบนตั่ง ท่าทางเกียจคร้านราวกับแมวน้อย
ถือดินสอถ่านขีด ๆ เขียน ๆ ลงบนกระดาษ
เมื่อชุนสี่ยื่นอาหารไปตรงหน้า นางก็อ้าปากรับ แก้มนวลป่องขยับไปมาตามจังหวะการเคี้ยว ตากลมจับจ้องสิ่งที่ตนวาดบนกระดาษ
มันคือพัดลมที่นางพึ่งนึกขึ้นได้ เป็นพัดลมที่ใช้มือหมุน
แม้มันยังต้องใช้แรงมนุษย์ ทว่าก็ช่วยทุ่นแรงได้เยอะกว่าการยกพัดอันใหญ่โบกไปมา อีกทั้งลมก็แรงกว่าด้วย
หลังจากวาดภาพพัดลมมือหมุนในความทรงจำเรียบร้อยแล้ว นางพยายามดึงความทรงจำของตนกลับมาอีกครั้งก็พลันนึกถึงจักรยาน
นางจึงวาดภาพจักรยานลงไปด้วย
ต้องขอบคุณที่นางเป็นภูตพฤกษาตัวน้อยที่อายุยืนยาว ถึงได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย ความทรงจำส่วนใหญ่อาจจางหายไปบ้าง แต่พอพยายามนึก มันก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัว
รถม้ามาถึงประตูเข้าออกพระราชวัง องครักษ์รักษาประตูปล่อยผ่านทันที
ในเมื่อนี่เป็นรถม้าของฝ่าบาท หากดูจากสถานการณ์แล้วคนในรถม้าต้องไม่ใช่ฝ่าบาทเป็นแน่ แต่ก็พอเดาได้ว่าผู้ที่อยู่ด้านในเป็นผู้ใด
ต้องเป็นองค์หญิงผู้เป็นที่รักใคร่ของฝ่าบาทอย่างแน่นอน
รถม้าแล่นไปตามทาง ก่อนจะหยุดลงตรงหน้ากรมโยธา
เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย เจ้าหน้าที่น้อยใหญ่ต่างคุ้นเคยกับการมาของนาง
“ถวายพระพรองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่า “พี่สามอยู่ที่ใด”
“เหลียงอ๋องกับพวกใต้เท้าอยู่ที่กองอาวุธ ที่นั่นร้อนมาก องค์หญิงทรงพักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าถกชายกระโปรงขึ้น “ข้าจะไปพบเขา”
กองอาวุธเป็นสถานที่ที่ใช้ผลิตอาวุธทางทหาร รวมถึงพัฒนาอาวุธ
แต่หลายปีมานี้ การค้นคว้า พัฒนา และปรับปรุงอาวุธกลับถดถอยลงเรื่อย ๆ
ยามนี้หนานกงฉีอวิ๋นกับขุนนางจำนวนหนึ่งจึงกำลังหารือกันเกี่ยวกับการพัฒนาธนูให้มีประสิทธิภาพขึ้น
หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง หน้าไม้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงจำนวนมากในการยิงเหมือนธนูก็ถือกำเนิดขึ้น
เทียบกับธนูแบบเดิม หน้าไม้นี้ใช้แรงน้อยกว่า มีระยะยิงที่ไกลกว่า ใช้วัสดุในการทำลูกศรน้อยกว่า แต่สร้างความเสียหายได้มากกว่า
เมื่อหน้าไม้คันแรกผ่านการทดสอบโดยสมบูรณ์ ผู้ที่ร่วมแรงร่วมใจกันสรรค์สร้างมันขึ้นมาย่อมต้องปลาบปลื้มยินดี
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดก็สำเร็จ ยินดีกับเหลียงอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงฉีอวิ๋นผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการคิดค้นอาวุธรูปแบบใหม่ เขาจึงต้องเดินทางไปที่ค่ายทหารด้วยตนเอง เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ ศึกษา และเก็บข้อมูลจากเหล่าพลธนู
หน้าไม้นี้ใช้เวลาพัฒนาถึงสองเดือน ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
เสี่ยวเป่าเดินมาถึงพอดี ได้ยินเสียงโห่ร้องดีใจ ทั้งยังเห็นว่าพี่สามของนางถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่หลายคน
“องค์ชาย ขอกระหม่อมลองใช้ดูได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เพียงมีหน้าไม้นี้กระหม่อมเองก็สามารถสังหารศัตรูได้เช่นกัน”
ธนูแบบเดิมต้องยิงในระยะไกลถึงจะสร้างความเสียหายได้สูง และต้องเป็นผู้ที่มีกำลังมากถึงจะง้างธนูนี้ได้
พลธนูในค่ายทหารจึงต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดถึงจะได้รับการคัดเลือก
จากนี้ไป หน้าไม้ที่พวกเขาช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจะถูกนำมาใช้แทนธนูแบบเดิม ผู้ที่จะได้รับคัดเลือกเป็นพลธนูก็จะมีมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้พวกเขาก็จะสามารถฝึกฝนพลธนูฝีมือดีได้มากขึ้นอีกด้วย
ใต้เท้าทั้งหลายจึงอยากลองใช้บ้าง หนานกงฉีอวิ๋นจึงมอบให้พวกเขาไป
“ทำเพิ่มอีกสองคันให้ทันวันพรุ่งนี้ ข้าจะนำไปถวายเสด็จพ่อกับเสด็จพี่รัชทายาท”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สั่งการเสร็จ หนานกงฉีอวิ๋นก็บังเอิญหันไปเห็นเจ้าตัวเล็กที่กำลังโผล่หัวเข้ามาแอบดู
เขาฉีกยิ้มกว้างทันที “เสี่ยวเป่า”
หนานกงฉีอวิ๋นเอ่ยชื่อนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ยามนี้เขาจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีฝีมือด้านสิ่งประดิษฐ์ ทว่าการเข้าสังคมและการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานนั้นไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เขาเปลี่ยนไปมากเพราะได้ทำในสิ่งที่ตนชอบ หนานกงฉีอวิ๋นดูมั่นใจและสุขุมมากขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าเขาเติบโตขึ้นแล้ว
ไม่เพียงแต่การเติบโตตามอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตทางด้านอารมณ์จิตใจและด้านอื่น ๆ อีกด้วย
“พี่สาม”
เสี่ยวเป่าที่ถูกจับได้เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“พวกท่านยุ่งอยู่หรือไม่”
หนานกงฉีอวิ๋นคุกเข่าลงตรงหน้าพลางลูบหัวนาง “ไม่ยุ่งแล้ว มาหาพี่สามมีเรื่องอันใดหรือไม่”
“มีเพคะ”
นางหยิบภาพวาดออกมาแล้วยื่นให้เขา
“พี่สาม ให้คนทำสองสิ่งนี้ได้หรือไม่เพคะ”
หนานกงฉีอวิ๋นรับมันไป แต่สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นไม่ใช่ภาพบนกระดาษ แต่เป็นสิ่งที่ใช้วาดภาพ
เขาไม่เคยเห็นหมึกเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าวาดภาพพวกนี้ด้วยสิ่งใดหรือ”
เสี่ยวเป่าหยิบดินสอถ่านออกมาแล้วยื่นให้เขา
นี่เป็นเครื่องเขียนที่นางขอให้กรมวังจัดทำขึ้นมา เพราะนางไม่ถนัดใช้พู่กันวาดภาพสิ่งของ
“มันเหมือนกับดินสอที่เหล่าพระสนมใช้เขียนคิ้วหรือไม่”
มีอยู่ครั้งหนึ่งเสี่ยวเป่าไปเล่นกับพี่หก แล้วบังเอิญเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยกำลังใช้มันประทินโฉม จึงเกิดความคิดนี้ขึ้น
“นับว่าเป็นความคิดที่ดี”
หนานกงฉีอวิ๋นยกยิ้มชอบใจพร้อมลองใช้ดินสอถ่านวาดภาพบนกระดาษ
ทว่าพริบตาต่อมาเขากลับมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เสี่ยวเป่ารีบเข้าไปสอน
“จับแบบนี้เพคะ”
หนานกงฉีอวิ๋นยังไม่ชินกับการใช้ดินสอถ่านวาดภาพ
แต่ผ่านไปไม่นาน เขาก็ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ดินสอถ่าน
หากใช้จนคุ้นเคยแล้วก็วาดเส้นได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือพกพาสะดวก
ที่ผ่านมาหากเขานึกสิ่งใดขึ้นได้ในยามที่ไม่มีพู่กันกับหมึก เขาทำได้เพียงพยายามจดจำมันไว้ในหัว หลงลืมไปก็หลายหน
แต่หากพกสิ่งนี้ติดตัวไว้ เขาก็จะสามารถจดบันทึกได้ทุกเมื่อ
หนานกงฉีอวิ๋นตาเป็นประกาย วางแผนไว้ในใจว่าจะต้องให้คนทำสิ่งนี้ไว้ใช้เองบ้าง
เสี่ยวเป่าเห็นว่าพี่สามดูชอบอกชอบใจมาก จึงมอบมันให้เขา
[1] ปิงจีหลิ่น คือ ไอศกรีม