เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 370 สาเหตุของการเดินทางข้ามเวลา
บทที่ 370 สาเหตุของการเดินทางข้ามเวลา
“ถนนเป็นหลุมบ่อเดินทางยากเย็น ก้นของเสี่ยวเป่าเจ็บมากเลยเวลานั่งรถม้า”
เป็นเรื่องจริงที่นางโปรดปรานการนั่งรถม้าเป็นอย่างมาก แต่นั่งนาน ๆ ไปก็เจ็บก้น ถนนหนทางใกล้กับพระราชวังนั้นเรียบร้อยดี แต่หากเป็นพื้นที่แดนไกลอาจต้องมึนเมาเป็นแน่
“หากถนนซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ยามส่งของให้พวกพี่รองและท่านอาสี่คงสะดวกมากขึ้นเป็นแน่”
หนานกงสือเยวียนขยับนิ้วแล้วเกาคางของนาง
“เจ้าคิดการณ์ไกลเสียจริง”
หากทำตามคำพูดของนางจริง เงินในท้องพระคลังอาจไม่เพียงพอ
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าสถานที่นั้นอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากเพียงใด ถึงแม้จะซ่อมแซมถนนหนทางเรียบร้อยดีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องใช้กำลังพลและเงินจำนวนมากในการบำรุงรักษาทุกปี หากเป็นเช่นนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายก้อนโตอีก”
ผู้ใดจะไม่ทราบบ้างว่าการซ่อมแซมถนนส่งผลดีเพียงใด แต่โครงการใหญ่อย่างการซ่อมแซมถนนไม่ใช่สิ่งที่พูดแล้วจะสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
เสี่ยวเป่าก้มหัวเล็กน้อย จริงสิ ปูน!
จะทำปูนอย่างไรล่ะ
เสี่ยวเป่ารู้สึกมึนงงไปหมดแล้ว นางรู้ว่าปูนนั้นดี ในชาติก่อนบนโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า พื้นผิวบนถนนส่วนใหญ่ต่างทำจากปูนและยางมะตอยทั้งสิ้น
แต่ปัญหาคือ เมื่อชาติก่อนเสี่ยวเป่าไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่านางจะมีอายุขัยยืนยาว แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนไปให้ความสนใจในสิ่งที่ตนไม่เคยใส่ใจมาก่อน
ฮือออ… หากรู้เช่นนี้แล้วคงไม่เอาแต่กินเล่นนอนเดินเพียงอย่างเดียวแน่
เมื่อหนังสือโดนใช้แล้วจะรู้สึกเสียดายน้อยลง*[1] นี่คือสิ่งที่เสี่ยวเป่ารู้สึกในตอนนี้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเป็นภูตพฤกษาที่ไม่เคยอ่านหนังสืออย่างจริงจังก็ตาม
เสี่ยวเป่าเริ่มสลดอย่างเห็นได้ชัด หนานกงสือเยวียนจึงขมวดคิ้วมุ่น
“แต่สิ่งที่เสี่ยวเป่าพูดก็มีเหตุผล เงินในท้องพระคลังไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารหรือเงินทอง ต่างต้องวางแผนรับมือกับปัญหาต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน
เขาเอ่ยกับหนานกงฉีซิว “ข้าขอฝากการทำน้ำแข็งกับองค์ชายด้วย ไปแจ้งกรมคลังเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่หนานกงฉีอวิ๋นและหนานกงฉีซิวไปแล้ว เขาก็บีบแก้มของเสี่ยวเป่าพลางเอ่ยถามอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เป็นอะไรไป”
เสี่ยวเป่าเอนตัวอยู่บนตัก พลางใช้คางวางเท้าเข้ากับฝ่ามือแล้วเริ่มเล่ารายละเอียด
ท่านพ่อทราบอยู่แล้วว่านางคือภูตพฤกษาตัวน้อยกลับชาติมาเกิด จึงไม่ต้องปิดบังสิ่งใดต่อหน้าเขา
เมื่อฟังเรื่องที่เสี่ยวเป่าเล่าจบ หนานกงสือเยวียนก็แอบรู้สึกเสียดาย
เสี่ยวเป่าจับมือเขาพลางลูบมัน “เสี่ยวเป่าขอโทษเพคะท่านพ่อ เสี่ยวเป่าช่วยอะไรไม่ได้เลย”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องขอโทษ ข้ายังไม่เคยเอ่ยขอโทษผู้ใดเลย เจ้าเป็นเพียงองค์หญิง ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระหน้าที่ทั้งหมดเอาไว้กับตัวเองหรอก”
เขาอุ้มลูกสาวเอาไว้ในอ้อมแขน
“ข้าคือฮ่องเต้ของแผ่นดิน จึงเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องรับผิดชอบทุกข์สุขของใต้หล้า หาใช่ภาระหน้าที่ของเจ้า เจ้าเคยเอ่ยถามถึงความปรารถนาของข้า แต่การมาจุติของเจ้านั้นก็เป็นดั่งพรจากสรวงสวรรค์แล้ว หากข้าจะต้องการสิ่งใดมากกว่านี้ก็คงโลภมากเกินไป สำหรับเรื่องใต้หล้า คงต้องพยายามให้ถึงที่สุด เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
เสี่ยวเป่า : ทำไมท่านพ่อของนางถึงแสนดีเช่นนี้!
หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะของนาง “อย่ากังวลมากไป ไปเล่นเถอะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้ววิ่งออกไป
นางจะไปทำปิงจีหลิ่นดับร้อนให้ท่านพ่อ อากาศเช่นนี้ ถึงแม้ในตำหนักจะมีน้ำแข็งอยู่แต่ก็ยังร้อนมาก
เมื่อมีวิธีทำน้ำแข็งจากดินประสิว จากนี้ก็จะมีน้ำแข็งเอาไว้ใช้ตลอดเวลา
อันที่จริงแล้ว หากไม่มีเสี่ยวเป่าคงมีเงินทองเหลือนำไปใช้อย่างสบาย แต่หนานกงสือเยวียนไม่มีวันยอมให้นางขาดแคลนเงินทองเป็นอันขาด
ทั่วทั้งพระราชวัง นอกจากตำหนักของฮ่องเต้แล้ว เสี่ยวเป่าคงเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในที่นี้เลยก็ว่าได้
แต่เสี่ยวเป่าก็ไม่เคยเอาแต่ใจตัวเอง หากเป็นคนอื่นถูกเลี้ยงดูมาเช่นนี้คงพากันหยิ่งผยองทะนงตัว
หลังจากที่เสี่ยวเป่ากลับมาถึงตำหนัก นางก็ขอให้ชุนสี่นำของที่ซื้อมาเอาไปให้ท่านพ่อ นอกจากนี้ยังส่งบางส่วนไปให้กับพวกพี่ชายและเยว่หลีด้วย
หลังจากนั้นจึงเริ่มพับแขนเสื้อแล้วลงมือทำปิงจีหลิ่นและน้ำแข็ง
นมเลิศรส ผลไม้รสชาติหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีถั่วเขียวข้าวเหนียวอื่น ๆ อีกมากมาย
สิ่งใดที่นางสามารถคิดได้ก็ทำออกมาทั้งสิ้น หลังจากนั้นก็นำไปแช่แข็ง เพียงแค่รอให้ถึงวันรุ่งขึ้นจึงค่อยนำออกมา
ก่อนเข้านอนในคืนนั้น เสี่ยวเป่าทิ้งตัวอยู่บนเตียง พลางนำหินรูปร่างเหมือนไข่ออกมาอีกครั้งแล้วเติมพลังวิญญาณลงไป
“กินอิ่มแล้วก็เข้านอนเสีย”
ตอนนี้เสี่ยวเป่าสามารถนอนคนเดียวได้แล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลกับอาการของท่านพ่ออีกต่อไป นอกจากนี้นางอายุสี่ขวบแล้วด้วย ถึงเวลาต้องแยกตัวออกมานอนคนเดียวได้แล้ว
ทุกวันในตอนเช้าหลังจากท่านพ่อขึ้นว่าราชกิจ เสี่ยวเป่าจะไปหาเพื่อให้ท่านพ่อลูบศีรษะของตน
ทุกวันได้เห็นเขาต้องจัดการกับหลายสิ่งที่แสนยุ่งยาก
เมื่อคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว นางก็หาวหวอด ก่อนจะดันตัวสุนัขจิ้งจอกที่อยู่บนเตียงไปอีกด้าน
“อย่ามาใกล้มากเกิน มันร้อน หงหง หากถึงช่วงฤดูหนาวข้าจะกอดเจ้าแล้วนอนหลับด้วยกันอย่างแน่นอน”
สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยส่งเสียงขานรับสองครั้ง ก่อนจะกระดิกหางพวงโตของตัวเองแล้วนำไปวางติดข้างกายนาง
มันเข้าใจเรื่องร้อน จึงยอมเชื่อฟังแล้ววิ่งกลับไปยังหมอนทางฝั่งเหนือศีรษะ
เสี่ยวเป่ากระดิกเท้าอวบบนเตียงไปมาอยู่หลายครั้ง หลังจากหาวออกมาอีกครั้งก็เตรียมตัวเข้านอน
เฮ้อ… ยังนึกถึงปูนอยู่เลย
หากมีปูนทำถนน เช่นนั้นแล้วคงสามารถช่วยท่านพ่อได้อย่างมหาศาล คำพูดนั้นที่ว่า ‘หากอยากรวยให้รู้จักสร้างถนนหนทางให้ดีเสียก่อน’ นั้น ค่อนข้างสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
ระหว่างที่กำลังคิดนั่นคิดนี่ เสี่ยวเป่าก็ผล็อยหลับไป นางจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าหินที่ถือเอาไว้ในมือ กำลังเกิดแสงเลือนราง
เสี่ยวเป่าเข้าสู่ห้วงฝัน ความฝันนั้นนางดูเหมือนจะกลายเป็นภูตพฤกษาตัวน้อย
ยามเมื่อเป็นภูตพฤกษาตัวน้อย นางสามารถแปลงกายเป็นหญ้า ดอกไม้ หรือแม้กระทั่งต้นไม้ได้ แต่หากจะแปลงกายเป็นมนุษย์นั้นไม่ได้
แม้ว่าจะแปลงกายเป็นพืชหลากหลายชนิด ก็ยังไร้ซึ่งตัวตน
นางคือภูตพฤกษาผู้ถือกำเนิดจากดวงจิตของพืชพรรณ ได้รับพลังโชคลาภและการรักษา ทุกวันจะต้องทำหน้าที่ดูแลพืชพรรณให้เติบโต ปัดเป่าพลังงานขุ่นมัว ยามมีเวลาว่างก็จะไปยังโลกมนุษย์
ครั้นเมื่อกำลังจะแปลงกาย กลับโชคร้ายถูกอัสนีฟาดผ่าลงมาแรงยิ่งกว่าโดนกระแสไฟฟ้าแรงสูงเสียอีก
ภูตพฤกษาตัวน้อยเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน หลังจากนั้นสติก็วูบดับไป
เดิมทีเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ นางเดินทางมาจากโลกอีกใบหนึ่ง แต่เสี่ยวเป่าก็ได้ค้นพบกับความสูญเสีย หลังจากความทรงจำของตนแล่นผ่านเข้ามาประหนึ่งภาพยนตร์ม้วนหนึ่ง นางก็สังเกตเห็นว่าตนเองเข้ามาอยู่ในสถานที่หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสีขาวโพลน
“ภูตพฤกษาน้อย”
ช่างเป็นน้ำเสียงที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ความรู้สึกแรกที่เสี่ยวเป่ารู้สึกได้คือเขาเปี่ยมไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ มาจากทั่วทุกสารทิศ ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างทันที
“ท่านเป็นใครกัน”
“ไม่ต้องกลัว”
แยกไม่ออกเลยว่าน้ำเสียงนั้นเป็นของชายหรือหญิง
“ข้าคือราชันแห่งสรวงสวรรค์ของโลกก่อนที่เจ้าเคยอาศัยอยู่ หาเจ้าพบเสียที”
แววตาของเสี่ยวป่าดูสับสนมากขึ้น “เทียนเต้า*[2]หรือ”
เสียงนั้นเอ่ยพูดต่อ “เจ้าเป็นจิตวิญญาณดวงสุดท้ายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ควรได้ใช้ชีวิตเป็นอมตะเนิ่นนานจนกว่าดวงดาราสีน้ำเงินจะดับสูญ แต่เนื่องจากบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องกับเคราะห์ทัณฑ์ของมังกรทมิฬ ดวงวิญญาณของเจ้าจึงสลายไป ข้าจึงต้องส่งดวงจิตของเจ้าเดินทางข้ามเวลาไปยังที่อื่น…”
เสี่ยวเป่าฟังอยู่สักพัก สุดท้ายจึงได้เข้าใจ
นางเป็นภูตพฤกษาที่ถือกำเนิดจากความประสงค์ของพืชพรรณนานาชนิด ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่านางคือลูกสาวที่ดวงดาราสีน้ำเงินให้กำเนิด ในขณะบำเพ็ญพลังวิญญาณก็สามารถส่งผ่านพลังวิญญาณกลับคืนสู่ธรรมชาติได้เช่นกัน เป็นการปัดเป่าพลังงานขุ่นมัวของโลก ทำให้พืชพรรณเติบโตงอกงาม
ด้วยวิธีนั้นจึงสามารถรักษาความสดใสและสร้างความสมดุลให้กับทั้งโลกได้ ในขณะเดียวกันคุณธรรมก็ก่อขึ้นมากมายภายในตัวของนางอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากบังเอิญมีส่วนเกี่ยวข้องกับทัณฑ์สวรรค์ของมังกรทมิฬจนดวงวิญญาณเกือบดับสลายไป โชคยังดีที่มีแสงแห่งบุญปกคลุมร่าง อีกทั้งเทียนเต้าสามารถส่งนางข้ามเวลาไปยังอีกโลกหนึ่งได้ทันเวลาพอดี
นอกจากนี้ก็เป็นเพราะคุณธรรมเหล่านั้นด้วย ที่ทำให้นางได้มีชีวิตในโลกใบใหม่ และยังได้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้
[1] เมื่อหนังสือโดนใช้แล้วจะรู้สึกเสียดายน้อยลง (书到用时方恨少) หมายถึง ความรู้เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ จะรู้สึกเสียใจว่าที่เรียนมามันน้อยเกินไป
[2] เทียนเต้า คือ ผู้คุมกฎสูงสุดของสวรรค์