เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 376 พวกเจ้ารีบโตไว ๆ เสีย
บทที่ 376 พวกเจ้ารีบโตไว ๆ เสีย
บทที่ 376 พวกเจ้ารีบโตไว ๆ เสีย
“พี่ใหญ่ ท่านมาพอดีเลย พวกเราเพิ่งพบสุราที่น้องเจ็ดซ่อนเอาไว้ ทุกคนกำลังดื่มกันอยู่ ท่านก็มาดื่มด้วยกันสิ”
หนานกงฉีเฉินแย้มยิ้มเริงร่า รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้พบพี่ใหญ่ที่นี่ จึงรีบชักชวนเขาเข้าร่วมทันที
“พี่ใหญ่”
เมื่อคนอื่น ๆ เห็น ก็รินสุราให้อย่างมีความสุข ยกเว้นหนานกงฉีจวินผู้เป็นเจ้าของสุรา
หนานกงฉีเฉินหัวเราะร่าแล้วตบไหล่ของหนานกงฉีจวิน “อย่าอารมณ์เสียไปเลย เจ้ายังเด็กดื่มสุรามากไม่ได้ พี่ชายกำลังช่วยเจ้าแก้ปัญหาอยู่นะ”
หนานกงฉีเฉิน : …เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก
แต่ท่านอายุมากกว่าข้าเท่าไหร่กันเชียว!
ดวงตาของหนานกงฉีซิวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองดูเหล่าน้องชายของเขา รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งอ่อนโยนมากกว่าเดิม
ถ้าหากองครักษ์ของท่านพ่ออยู่ด้วยในยามนี้ รอยยิ้มดังกล่าวต้องทำให้รู้สึกขนลุกชันอย่างแน่นอน
หนานกงฉีซิวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “พวกเจ้ามีเวลาว่างผ่อนคลายมากเพียงนี้เชียว”
เขาจิบสุรา มองดูเหล่าพี่น้องแล้วกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “วันพรุ่งนี้ข้าจะไปหาพวกเจ้า”
เหล่าน้องชายไม่ได้คัดค้าน
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ท่านดูความสามารถพิเศษของเยว่หลีสิ เขาไม่เพียงผ่านตาจำได้ไม่ลืมแต่ยังฟังแล้วจำได้ไม่ลืมอีกด้วย”
หนานกงฉีซิวมองเยว่หลีด้วยดวงตาที่เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย “จริงหรือ”
เยว่หลีที่กำลังละเลียดสุราอยู่เงยหน้าขึ้นมองทันทีด้วยความตื่นตัวระแวดระวังเล็กน้อย
“แน่นอนย่อมต้องเป็นเรื่องจริง หากไม่เชื่อท่านก็ลองทดสอบเขาดู”
หนานกงฉีซิวลงมือทดสอบ แม้ว่าเยว่หลีจะเมามายเล็กน้อย แม้จะเกิดความระแวงที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่ก็ยังคงสามารถท่องหนังสือออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ดวงตาของหนานกงฉีซิวเปล่งประกายมากขึ้น เช่นเดียวกับมุมปากที่ยกสูงมากกว่าเดิม “เยว่หลี เจ้าอยากปกป้องเสี่ยวเป่าหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ดี วันรุ่งขึ้นข้าจะไปคุยกับราชครูหลี หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องไปสำนักศึกษาแล้ว แต่ไปเรียนกับข้าแทน”
เยว่หลีมองด้วยสายตาสับสน “เรียนสิ่งใดหรือ”
หนานกงฉีซิวตอบ “แน่นอนว่าย่อมเรียนรู้สิ่งมีประโยชน์ หลังจากเรียนเสร็จแล้ว ข้าจะเสนอชื่อเจ้าให้เข้าสอบกับเสด็จพ่อ เจ้าต้องพึ่งพาสิ่งที่ตนเองเรียนรู้เพื่อให้ได้รับตำแหน่งขุนนาง ทำให้เสี่ยวเป่าประทับใจได้…”
หนานกงฉีซิวมีวาทศิลป์ยิ่ง รู้ว่าเยว่หลีต้องการสิ่งใด ทั้งชักจูงโน้มน้าว สุดท้ายเยว่หลีที่ไร้เดียงสาและเมามายเล็กน้อยก็ตอบตกลงอย่างโง่งม พลันพยักหน้าตอบรับอย่างไร้ความลังเล
หนานกงฉีซิวยิ้ม “ส่วนพวกเจ้า ข้าไม่ได้ไปสำนักศึกษามานาน ไม่รู้ว่าการเรียนของพวกเจ้าก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะลองไปทดสอบพวกเจ้าดู”
เหล่าน้องชาย “…”
ก่อนจะจากไป หนานกงฉีซิวมองเหล่าน้องชายด้วยสายตาอันเปี่ยมความรัก ตบหัวน้องชายร่วมมารดาตนเองเบา ๆ
“พวกเจ้าก็โตเร็ว ๆ เข้า”
รอจนหนานกงฉีซิวจากไปแล้ว หนานกงฉีรุ่ยก็ขมวดคิ้ว “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพี่ใหญ่…”
ดูเหมือนกับจิ้งจอกหน้าเนื้อใจเสือ
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แม้พี่ใหญ่จะแย้มยิ้มอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่เขากลับรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
หารู้ไม่ว่าเมื่อหนานกงฉีซิวเห็นเหล่าน้องชายกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ ก็พลันเกิดความคิดเดียวกับเสด็จพ่อตนเองขึ้นมา มีแรงงานไม่ต้องเสียค่าจ้างมากมายเพียงนี้ ไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่าได้
แม้เหล่าน้องชายจะยังเด็ก แต่ก็ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้ค่อย ๆ สั่งสอนได้
ถึงจะลำบากเล็กน้อย แต่นี่ก็เพื่อผลประโยชน์ระยะยาว เขาจะต้องเลี้ยงดูเหล่าน้องชายให้ดี จะต้องดึงศักยภาพของเหล่าน้องชายออกมา จากนั้นก็ปลูกฝังให้โตมากลายเป็นผู้มีความสามารถ!
เกรงว่ากระทั่งตัวของหนานกงสือเยวียนก็คาดไม่ถึง ว่าตนเองจะกดดันบุตรชายคนโตมากเกินไปจนทำให้เขาพุ่งเป้าไปยังเหล่าน้องชายแทน
ขณะนั้นเองหนานกงสือเยวียนกำลังนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสอบเคอจวี่ทั้งหมดในห้องสมุดของเสี่ยวเป่า
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ราชสำนักค่อนข้างขาดแคลนขุนนาง แม้ว่าเขาจะเปิดประตูต้อนรับเหล่าบัณฑิตจากตระกูลยากจนเข้าทดสอบ แต่ก็ยังคงมีจำนวนน้อยเกินไป
ตำแหน่งสำคัญส่วนใหญ่ราชสำนักถูกครอบครองโดยคนจากตระกูลขุนนางใหญ่ ไม่อาจเปลี่ยนตำแหน่งได้โดยง่าย
เหตุผลหลักก็เพราะมีผู้มากความสามารถน้อยเกินไป อีกทั้งผู้ที่มีความรู้ได้มีโอกาสเล่าเรียนส่วนใหญ่ต่างก็มาจากตระกูลขุนนาง
เขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งปราบปรามคนเหล่านั้นเอาไว้ได้ แต่คนรุ่นหลัง… ลูกหลานของเขาเล่า
แม้ว่ารัชทายาทจะมีฝีมืออยู่บ้าง ทว่าทำทุกอย่างด้วยความโอนอ่อนประนีประนอม เมื่อไม่มีเขาคอยปราบปรามแล้ว เหล่าตระกูลขุนนางพวกนั้นย่อมหาโอกาสฉวยจังหวะกลับขึ้นมา
หากเขาสิ้นแล้ว และหนานกงฉีซิวไม่สามารถควบคุมตระกูลขุนนางเหล่านั้นได้ สุดท้ายนี้เสี่ยวเป่าอาจต้องเผชิญกับอันตราย
ดังนั้น… การสอบเคอจวี่ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทำลายการผูกขาดของเหล่าตระกูลขุนนาง
ไม่เพียงแค่บุตรหลานจากครอบครัวยากจนเท่านั้นที่เข้าสอบได้ กระทั่งเหล่าชาวบ้านก็ย่อมมีสิทธิ์ด้วย
วิธีการให้ขุนนาง ‘แนะนำ’ คนเข้ามาสอบยังเมืองหลวงนั้นมีข้อเสียมากเกินไป ไม่มีผู้ใดสามารถรับประกันได้ว่าขุนนางที่รับหน้าที่นั้นจะไม่กระทำการโดยเห็นแก่ตัว วิธีเช่นนี้ไม่ปลอดภัยและไร้กะเกณฑ์เกินไป
ระหว่างที่หนานกงสือเยวียนกำลังครุ่นคิด มือของเขาก็เคลื่อนไหว ตำราทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการสอบเคอจวี่ถูกจัดแยกออกมาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ขอบคุณเหล่าฮ่องเต้จากอีกโลกหนึ่งอย่างเงียบงัน สิ่งนี้ทำให้เขาสบายขึ้นเป็นอย่างมาก รู้สึกดีอย่างยิ่งที่ได้ลอกการบ้าน ทำการคัดลอกอย่างเพลิดเพลิน (จิบสุรา.jpg)
เหล่าฮ่องเต้จากอีกโลก : …
สบถด่า.jpg
เสี่ยวเป่าเองก็คัดลอกหนังสือด้วยท่าทางนอนคว่ำหน้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะถูกหนานกงสือเยวียนเคาะหัว
“นั่งดี ๆ”
ผู้ใดจะทำท่าเช่นนางตอนเขียนกัน นอนคว่ำหน้าบนโต๊ะเช่นนั้นตัวอักษรจะออกมาดีได้อย่างไร
เสี่ยวเป่านั่งตัวตรงอย่างไม่เต็มใจ
“อ่านอันใดอยู่”
เสี่ยวเป่ายกหนังสือในมือตนเองมาชูให้เขาดู ด้านบนหน้าปกหนังสือเขียนเอาไว้ว่า ‘การดูแลแม่หมูหลังคลอด’
หนานกงสือเยวียน “…”
มุมปากของเขาอดกระตุกไม่ได้ “เจ้าอ่านไปทำไม”
เสี่ยวเป่าแกว่งขาสั้น ๆ ของนางแล้วเอ่ยตอบเสียงใสแจ๋ว “เลี้ยงหมู เสี่ยวเป่าอยากเลี้ยงหมูเยอะ ๆ ทำให้ทุกคนสามารถกินเนื้อได้!”
ระหว่างนางกล่าวก็มองหน้าท่านพ่อด้วยความภาคภูมิใจ “หมูที่เสี่ยวเป่าเลี้ยงจะต้องอร่อย ทั้งยังอ้วนพีแน่ ๆ”
หนานกงสือเยวียนคิดถึงเหล่าหมูที่ถูกนำมาจากนาหลวง พวกมันล้วนถูกขุนเลี้ยงตามวิธีที่เสี่ยวเป่าบอกทั้งหมด
ยามนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหมูหลังจากที่ตอนแล้วสามารถเลี้ยงได้ดีเพียงนี้ ทั้งยังมีรสชาติอร่อยอย่างเหนือความคาดหมาย
ภายในหนึ่งปี หมูโตจนหนักได้เท่ากับแกะสองตัว เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว การเลี้ยงหมูนั้นคุ้มค่ากว่าแกะมาก
ทว่า…
“ให้บ่าวรับใช้เลี้ยงไปเถิด หากอยากให้ทุกคนสามารถกินเนื้อ ตัวเจ้าเพียงลำพังไม่อาจทำได้”
เสี่ยวเป่าสายหัว “เสี่ยวเป่าไม่ได้ต้องการเลี้ยงหมูอย่างเดียวเสียหน่อย เสี่ยวเป่ายังต้องการเลี้ยงวัว แกะ ม้า ไก่ เป็ด และปลาอีกด้วย…”
สุดท้ายนางก็สรุปออกมาเสียงใด “เสี่ยวเป่าต้องการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์!”
ฟาร์มเลี้ยงสัตว์คืออันใด แต่เขาก็เข้าใจได้ไม่ยากหลังจากได้ยิ่งสิ่งที่นางต้องการจะเลี้ยง
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ห้าม “อยากทำสิ่งใดก็ทำ หากต้องการคนก็บอกข้า”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกาย “เสี่ยวเป่ารู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อดีที่สุด~”
หนานกงสือเยวียนยิ้มมุมปากพร้อมส่ายหัว
สำหรับเสี่ยวเป่า เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ แต่เป็นเพียงพ่อคนหนึ่ง
สองพ่อลูกใช้เวลาอ่านหนังสือในห้องสมุดเป็นเวลานาน เมื่อคะเนว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว เขาก็บอกให้เสี่ยวเป่าพาออกไป เตรียมพร้อมจะนอนหลับพักผ่อน