เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 392 เตรียมการหนังสือตี้เป่า
บทที่ 392 เตรียมการหนังสือตี้เป่า
Onlybook
บทที่ 392 เตรียมการหนังสือตี้เป่า
เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ตนเองต้องเผชิญในเมืองจินโจว ฉินเฟิงก็ยังรู้สึกอับอายคับแค้นอยู่บ้าง
ยังดีที่ตระกูลอวี๋และเจ้าเมืองหลี่ทั้งหมดล้วนพบกับจุดจบอันเลวร้าย
แม้ว่าจะอับอายและคับแค้นแต่ฉินเฟิงก็ไม่ได้กระทำหรือเคลื่อนไหวอันใด เพียงแค่เขินอายเล็กน้อยยามอธิบายออกมา
หลีรุ่นเห็นการแสดงออกทั้งหมดของเขา ยิ่งรู้สึกพอใจกับศิษย์คนนี้มากขึ้น
“กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว หลังจากสอบเสร็จศิษย์ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนและกล่าวขอบคุณเซียวเหยาอ๋องและคนอื่น ๆ เป็นการส่วนตัวเลย”
ใบหน้าของฉินเฟิงเต็มไปด้วยความละอาย อันที่จริงเขาเองก็คิดจะไปขอบคุณเป็นการส่วนตัว ทว่าช่องว่างทางฐานะนั้นแตกต่างมากเกินไป
หากเขาไปหาเซียวเหยาอ๋อง คงไม่พ้นถูกคนสงสัยว่าเขากำลังจะพึ่งบารมีของเซียวเหยาอ๋อง นี่นับว่าไม่ดีต่อใครทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงให้บ่าวรับใช้ในจวนส่งของขวัญพอเป็นพิธีและเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณเท่านั้น
เขาทำได้เพียงจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ภายในใจ รอจนกว่าตนจะมีกำลังมากพอจะตอบแทนเซียวเหยาอ๋องได้
ส่วนเรื่องการพบองค์หญิงและองค์ชายยิ่งเป็นไปไม่ได้ ด้วยตำแหน่งขุนนางของเขาในตอนนี้ยังไม่อาจเข้าประชุมขุนนางได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจดจำเอาไว้เท่านั้น
ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะได้มาพบกับองค์หญิง
ฉิงเฟิงเอ่ยทักทายทำความเคารพองค์หญิงอีกครั้ง “กระหม่อมขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่ท่านได้ช่วยชีวิตเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าโบกมือ “เจ้าขอบคุณข้าไปแล้ว อย่าได้ขอบคุณอีกเลย”
ฉินเฟิงมองไปทางราชครูหลี “ท่านราชครูเรียกศิษย์มาด้วยต้องการให้ทำสิ่งใดหรือ”
หลีรุ่นตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “หลังจากนี้เรียกข้าว่าอาจารย์เถิด”
ฉินเฟิงราวกับถูกความประหลาดใจกระแทกเข้าบนศีรษะจนมึนไปเล็กน้อย
แม้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อระงับความตื่นเต้นภายในใจเอาไว้ แต่ก็ยังคงปรากฏออกมาให้เห็น เขารีบคำนับหลีรุ่นอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์ฉินเฟิงคารวะอาจารย์”
แน่นอนว่าการกระทำในตอนนี้เรียบง่ายเกินไป เขาจะต้องหาวันมาคำนับอาจารย์อย่างจริงจัง ปัจจุบันการคำนับอาจารย์นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ต้องเลือกวันอย่างพิถึพิถันที่สุด
“ลุกขึ้น วันนี้ข้ามีเรื่องต้องการให้เจ้าทำ”
หลีรุ่นชี้ไปที่นั่งด้านข้างบอกเป็นเชิงให้นั่งลง ก่อนเล่าเรื่องหนังสือตี้เป่าให้เขาฟัง
ฉินเฟิงเองก็ตระหนักได้ถึงปัญหาเดียวกับที่หลีรุ่นคิดมาก่อน
เสี่ยวเป่าเอ่ย “กระดาษมีจำนวนมากทั้งยังราคาไม่แพง ท่านพ่อวางแผนจะเผยแพร่มันออกไป ส่วนเรื่องการพิมพ์ท่านราชครูหลีโปรดอธิบายให้เขาฟังเถิด”
นางอธิบายจนหมดแรงจึงส่งต่อให้ราชครูอธิบายเรื่องการพิมพ์ต่อ
ระหว่างนั้นเด็กน้อยก็จิบชาแก้กระหายไปพลาง
ทว่ากลับถูกน้ำชาขมในบ้านของราชครูหลีทำให้ใบหน้าน้อย ๆ บิดเบ้
ราชครูเอ่ยอธิบายด้วยความเขินอายเล็กน้อย “นี่คือชาขมที่ขุนนางเฒ่าชื่นชอบ”
ใบหน้าของเสี่ยวเป่ายับย่น ทว่าปากก็เอ่ยสิ่งตรงกันข้าม “ไม่เลว ไม่เลว”
ราชครูหลี “…”
ฉินเฟิง “…”
ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
หลีรุ่นและฉินเฟิงพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการพิมพ์ เมื่อเทียบกับคำอธิบายของเสี่ยวเป่าที่ชวนสับสนและกระโดดไปมาแล้ว คำอธิบายของเขาเรียบง่ายกว่ามาก
ฉินเฟิงฟังแล้วเข้าใจทันที
ยิ่งฟังแววตาของเขาก็ยิ่งเปล่งประกาย รู้สึกตื่นเต้นจนร้องอุทานออกมาหลายครั้ง
“ทำได้ถึงเพียงนั้น”
ด้วยตำแหน่งราชครู หลีรุ่นย่อมรู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง ดังนั้นหลังจากยืนยันแล้วก็สามารถจัดเรียงพิมพ์หนังสือได้
เสี่ยวเป่ามองตามแล้วก็ขมวดคิ้ว
“ไม่ได้ เช่นนี้ไม่ได้”
ทั้งสองคนหันไปมองนางเป็นตาเดียว
เสี่ยวเป่าเอ่ยออกมาอย่างมีเหตุมีผล “ข้าถามท่านราชครูสักเล็กน้อย หนังสือตี้เป่าของพวกเราต้องการให้ผู้ใดอ่าน”
“ย่อมต้องเป็นชาวบ้านทั่วใต้หล้า
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างแรง “ใช่แล้ว ทว่าเหล่าชาวบ้านนั้นไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือ สิ่งที่พวกท่านเขียนยากเกินกว่าจะอ่านได้คล่อง ชาวบ้านทั่วไปไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ภาษาชาวบ้าน”
ฉินเฟิง “ภาษาชาวบ้านหรือ”
หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ต้องทำให้ชาวบ้านทั่วทั้งใต้หล้าเข้าใจได้”
พวกเขาทิ้งฉบับร่างดั้งเดิมแล้วเริ่มเขียนขึ้นใหม่อีกครั้ง
‘ต้าเซี่ยปียี่สิบเอ็ด มีประกาศเก็บภาษีการเกษตรสองส่วน ทว่าข่าวจากหนานโจว อำเภอเจ๋ออวิ๋น อำเภออันฉิง กลับมีชาวบ้านถูกบังคับเก็บภาษีการเกษตรถึงห้าส่วน…”
เสี่ยวเป่าไล่ชี้แล้วอ่านตาม รูปแบบการเขียนของฉินเฟิงนั้นไม่เลวเลย เริ่มต้นจากข่าวที่ส่งมาจากหนานโจว ตามด้วยการสืบสวนของรัชทายาทและคนอื่น ๆ ความเดือดร้อนทุกข์ยากที่ชาวบ้านได้รับ ความเลวร้ายของเหล่าตระกูลขุนนาง ความโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ และต้นสายปลายเหตุของเหล่าขุนนางที่ถูกจับกุมล้วนถูกเขียนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
คราวนี้สิ่งสำคัญคือการเพิ่มเครื่องหมายวรรคตอนลงไป
หลังจากอ่านหนังสือในห้องสมุดแล้ว นางก็ปวดตาเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องอ่านตัวอักษรที่เรียงกันแน่นขนัดแบบไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน
แม้ว่าลายมือของฉินเฟิงจะค่อนข้างงดงาม ทว่าก็ไม่ได้ช่วยเรื่องการปวดตาของนางเลย
ฉินเฟิงเพิ่มสัญลักษณ์แปลกเหล่านั้นตามที่นางบอกลงไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ทว่าหลังจากที่เพิ่มลงไปเสร็จแล้วก็อ่านอีกครั้ง เขาก็พบว่ามันอ่านง่ายกว่าอย่างแปลกประหลาด
ยามนี้เขาตระหนักได้ถึงข้อดีของเครื่องหมายวรรคตอนแล้ว
หลีรุ่นเองก็อ่านมันอีกครั้ง ในฐานะผู้เรียนบทกวีมาย่อมยากที่จะไม่ขัดตากับบทความที่เขียนด้วยภาษาชาวบ้านทั้งหมด
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเขียนด้วยภาษาชาวบ้านเช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านที่ไม่เคยเรียนหนังสือเข้าใจได้ง่ายกว่าบทความของเขาที่คนทั่วไปแทบไม่อาจเข้าใจได้
ส่วนสัญลักษณ์แปลก ๆ เหล่านั้น ยิ่งอ่านเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นได้ถึงคุณประโยชน์มากขึ้น
สุดท้ายก็สามารถตัดสินใจได้ “เอาเช่นนี้แหละ”
แน่นอนว่าหน้าแรกสุดย่อมต้องเป็นพาดหัวเกี่ยวกับการโกงกิน ทว่าพอเขียนเสร็จก็พบว่ายังเหลือที่ว่างอยู่บ้าง
เสี่ยวเป่าชี้ไปยังช่องว่าง “ท่านราชครูเขียนบทความลงไปเถิด คราวนี้ไม่จำเป็นต้องเขียนภาษาชาวบ้าน เขียนใช้ผู้เรียนหนังสือเหล่านั้นได้อ่าน ท่านดุด่าพวกเขาให้มากเข้าไว้ หยิบยกตำราคัมภีร์ออกมาแจกแจง บนบทความไร้คำหยาบคาย ทว่าเพียงพวกเขาอ่านก็รู้ได้ว่าถูกด่าอยู่”
หลีรุ่น “…”
ฉินเฟิง “…”
คำขอของท่าน นับว่ามากหรือน้อยไปดีนะ
ทว่าหลีรุ่นก็ถอนหายใจออกมา แล้วตัดสินใจเขียนบนความลงไป การเขียนครั้งนี้จะต้องทำให้เหล่าตระกูลขุนนางเกิดความโกรธเคืองอย่างแน่นอน
เสี่ยวเป่าหยิบพู่กันมาส่งใช้เขาอย่างเริงร่า
ฉินเฟิงกังวลเล็กน้อย “ทว่าสิ่งที่อาจารย์เขียนจะทำให้ขุนนางเหล่านั้นไม่มีวันยอมจบเรื่องเป็นแน่”
เสี่ยวเป่า “เช่นนั้นง่ายยิ่งนัก เพียงราชครูหลีตั้งนามปากกาให้กับตนเอง หนังสือตี้เป่าฉบับนี้น่าจะถูกทำขึ้นมาในพระราชวัง พวกท่านเพียงแค่เขียนบทความแล้วส่งไปยังจวนของท่านอาเจ็ด จากนั้นก็ให้ท่านอาเจ็ดส่งไปพิมพ์ภายในวังอีกที”
นางพูดแล้วก็พลันส่ายหน้า “ไม่ได้ ข้ากับท่านพี่อีกสามคนยังเด็กเกินไป ท่านพ่อก็ยุ่งเกินกว่าจะมีเวลาดูแลหนังสือตี้เป่า ท่านอาเจ็ดเองก็ทำไม่ได้ ต้องรับผิดชอบเรื่องกรมคลัง ถ้าให้งานอีกท่านอาเจ็ดจะต้องเสียสติแน่…”
เสี่ยวเป่านับนิ้ว ก่อนจะพบว่าไม่มีผู้ใดว่าง!
จากนั้นนางก็มองหลีรุ่นด้วยดวงตารินน้ำตา “ท่านราชครู ช่วยด้วย QAQ”
หลีรุ่น “…”
ฉินเฟิงอดกระตุกมุมปากไม่ได้ เหตุใดบางครั้งองค์หญิงถึงดูฉลาดเฉลียว แต่บางคราวกับ… โง่งมยิ่งนัก
เขาอดเอ่ยแนะนำออกมาไม่ได้ “องค์หญิง ท่านสามารถถามฝ่าบาทว่าสามารถหาคนมาจัดการได้หรือไม่”
เสี่ยวเป่าเคาะหัวตัวเองหนึ่งที “ใช่แล้ว”
หลังจากนั้นนางพลันเงยหน้ามองไปทางฉินเฟิง มือเล็ก ๆ ประสานเข้าหากัน “เช่นนั้น ท่านกลัวที่จะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองหรือไม่”
ฉินเฟิงตกตะลึง สามารถคาดเดาได้ว่านางต้องการจะเอ่ยสิ่งใด
ฉินเฟิงประสานมือคำนับ “องค์หญิงเห็นค่าของกระหม่อม… กระหม่อมย่อมไม่ลังเลใจ”
ภายในใจของเขามีความทะเยอทะยานในการปีนขึ้นสูง ทั้งยังต้องการตอบแทนบุญคุณจากใจจริง
แม้การรับช่วงต่อหนังสือตี้เป่าจะทำให้ไม่ปลอดภัยจากเหล่าตระกูลขุนนาง แต่นี่ก็นับได้ว่าเป็นโอกาสเช่นเดียวกัน