เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 393 หนังสือพิมพ์
บทที่ 393 หนังสือพิมพ์
Onlybook
บทที่ 393 หนังสือพิมพ์
หลังจากหารือเรื่องจัดทำหนังสือพิมพ์กันเป็นที่เรียบร้อย บ่ายวันนั้น ช่างฝีมือก็เริ่มแกะสลักแม่พิมพ์ตัวอักษรทันที โดยมีฉินเฟิงคอยกำกับดูแล
เนื่องจากเสี่ยวเป่าเสนอวิธีการพิมพ์แบบบล็อกและการพิมพ์ด้วยตัวเรียง จึงต้องใช้ช่างฝีมือสิบกว่าคนมารวมด้วยช่วยกัน
การพิมพ์แบบบล็อกทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่า ทว่าใช้ได้เพียงครั้งเดียว
ในทางกลับกัน การพิมพ์ด้วยตัวเรียงนั้นเป็นภาระงานที่หนักกว่า ไม่มีทางแกะสลักแม่พิมพ์ตัวอักษรทั้งหมดเสร็จในวันเดียว อีกทั้งต้องเสียเวลาเรียงแม่พิมพ์อักษร ข้อเสียเพียงข้อเดียวคือมันลำบากกว่า
เสี่ยวเป่ามอบหมายหน้าที่ดูแลเรื่องนี้กับฉินเฟิง เขาจึงกลายเป็นเถ้าแก่โดยสมบูรณ์ ยามนี้นางง่วง อยากกลับไปนอนเต็มที
แม้นางจะเก่งกาจเพียงใด ทว่าร่างกายนางยังคงเป็นเพียงเด็กเล็ก หลังจากวิ่งวุ่นทั้งวัน ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจึงต้องการพักผ่อน
เย็นวันนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับแรกก็ถือกำเนิดขึ้น
เสี่ยวเป่าจึงถือหนังสือพิมพ์วิ่งมาหาท่านพ่อด้วยจิตใจเบิกบาน
ทว่าพอมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง นางกลับหาท่านพ่ออย่างไรก็ไม่พบ
“องค์หญิง ฝ่าบาททรงกำชับบ่าวไว้ว่า หากท่านเสด็จมาให้แจ้งว่าฝ่าบาททรงมีราชกิจนอกวัง พรุ่งนี้ถึงจะกลับ ให้ท่านบรรทมรอฝ่าบาทเสด็จกลับมาวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าถอนหายใจเสียงหงอย แต่ก็กลับมาร่าเริงอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะหมุนตัวจากไปพร้อมหนังสือพิมพ์ในมือ อย่างไรเสียเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ต้องถูกเผยแพร่
เพราะตื่นเต้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เสี่ยวเป่าจึงกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอยู่พักหนึ่ง ผ่านไปไม่นานนางก็กอดหมอนข้างผล็อยหลับไป
ชุนสี่จึงเดินเข้าไปห่มผ้าให้นาง
เช้าวันรุ่งขึ้น ขอทานตัวน้อยถือหนังสือพิมพ์เดินไปทั่วท้องถนนและตรอกซอกซอยในเมืองหลวง
“หนังสือพิมพ์จ้า หนังสือพิมพ์ เพียงหนึ่งเหวินเท่านั้น จ่ายเพียงหนึ่งอีแปะก็จะรู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงทรงจับกุมขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักแล้ว”
“หนังสือพิมพ์จ้า หนังสือพิมพ์ ฝ่าบาททรงลดภาษีการเกษตรลงเหลือสองส่วน แต่ประชาชนที่หนานโจวและอีกหลายพื้นที่กลับถูกเรียกเก็บภาษีห้าส่วน”
“ขุนนางทุจริตเก็บภาษีการเกษตรถึงห้าส่วน ฝ่าบาททรงพิโรธจึงจับกุมขุนนางทุจริต”
ขอทานตัวน้อยประกาศเสียงดังลั่น จริงอยู่ที่พวกเขาอ่านหนังสือพิมพ์ในมือไม่ออก แต่พวกเขาจดจำเนื้อหาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ผู้คนที่พบเห็นเหล่าขอทานตัวน้อยต่างตื่นตระหนกเมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาป่าวประกาศ
“เจ้าหนูมานี่หน่อย ที่พวกเจ้าถืออยู่คือสิ่งใดหรือ”
“เถ้าแก่ นี่คือหนังสือพิมพ์ของทางการ เป็นข่าวสารเรื่องฝ่าบาททรงจับกุมขุนนางทุจริต”
เขายื่นหนังสือพิมพ์ให้เถ้าแก่อ่าน พยายามขายให้ดีที่สุด “หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ราคาเพียงหนึ่งอีแปะเท่านั้น ไม่แพงเลยเถ้าแก่ ซื้อสักฉบับเถิด”
“ได้ ข้าเอาหนึ่งฉบับ”
จ่ายเพียงหนึ่งเหวิน แต่ได้กระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรบอกเล่าเรื่องราวที่ตนใคร่รู้ เงินที่จ่ายไปย่อมไม่เสียเปล่าแน่
อีกทั้งกระดาษที่ใช้ก็คุณภาพสูงมาก ราคาสูงกว่าหนึ่งอีแปะอีกกระมัง
จะติดก็เพียงแต่… เขาอ่านไม่ออก
“เถ้าแก่ ในนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้างหรือ ข้าได้ยินเจ้าหนูนั่นประกาศว่าฝ่าบาททรงจับกุมขุนนางทุจริต เป็นความจริงหรือไม่”
เถ้าแก่ “ข้าก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน แต่ข้าเชื่อว่าอักษรบนกระดาษคุณภาพดีนี้มีค่ามากกว่าหนึ่งอีแปะแน่นอน ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ยอมจ่ายเงินซื้อมันมา”
“ก็จริง เจ้าหนู ข้าซื้อด้วย”
“ได้แล้วขอรับ หนึ่งอีแปะขอรับ”
ผ่านไปพักหนึ่ง ประชาชนผู้ไม่ขัดสนเงินตราก็ทยอยเข้ามาซื้อหนังสือพิมพ์ไปคนละฉบับ กระดาษที่เต็มไปด้วยคำพูด ราคาความรู้สมัยนี้แพงเสียยิ่งกว่าอะไร ตำราที่ถูกที่สุดยังราคาหลายสิบอีแปะ
“เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าบนนี้เขียนไว้ว่าอันใดบ้าง”
ขอทานตัวน้อยจึงตอบเท่าที่ตนรู้ “ฝ่าบาทจับกุมขุนนางทุจริต ในนั้นเขียนอธิบายเหตุผลทั้งหมดไว้แล้ว ข้าเองก็ไม่รู้หนังสือจึงไม่รู้รายละเอียด”
ทันทีที่ขอทานตัวน้อยเอ่ยจบ ผู้คนรอบ ๆ ต่างตะลึง
“ผู้ใดอ่านออกบ้าง ช่วยอ่านให้ฟังที”
ไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับการจับกุมขุนนางจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยมทารุณแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง มาบัดนี้เหล่าขอทานตัวน้อยกลับบอกว่าพวกคนที่ฝ่าบาทจับกุมล้วนเป็นขุนนางทุจริตอย่างนั้นหรือ
เดิมทีผู้คนในเมืองหลวงต่างให้ความสนอกสนใจเรื่องนี้ไม่น้อย พอได้ยินดังนั้น พวกเขายิ่งอยากรู้เนื้อหาในหนังสือพิมพ์เข้าไปใหญ่
“ข้าจำได้ว่าคุณชายหลี่รู้หนังสือ เถ้าแก่ คุณชายหลี่ยังอยู่ที่นี่หรือไม่ เรารีบไปหาเขากันเถิด”
เถ้าแก่อยากรู้ไม่ต่างกัน จึงรีบสั่งให้ลูกจ้างในร้านไปเชิญคุณชายหลี่มา
แม้คุณชายหลี่จะรู้หนังสือ ทว่าคราแรกที่เขาเห็นหนังสือพิมพ์ เขาถึงกับขมวดคิ้ว มันเป็นภาษาพูด อ่านยากไปนิด แต่พอพยายามอ่านต่อไปเรื่อย ๆ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
เดี๋ยวก็โมโห เดี๋ยวก็ทำหน้าละอาย ก่อนจะจบลงด้วยการสบถออกมาด้วยความเคียดแค้น
“ไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่นึกเลยว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้…”
“คุณชายหลี่ อย่าเอาแต่เข้าใจอยู่ผู้เดียวสิ อ่านให้เราฟังด้วยเถิด”
“ใช่ ๆ คนที่ฝ่าบาททรงจับกุมเป็นขุนนางทุจริตจริงหรือไม่ รีบอ่านให้เราฟังด้วยเถิด เอาแบบละเอียด ๆ เลยนะขอรับ”
เถ้าแก่ “คุณชายหลี่โปรดเมตตาพวกเราด้วย ค่าอาหารวันนี้ข้าน้อยไม่คิด ถือเสียว่าเลี้ยงขอบคุณท่าน”
คุณชายหลี่กล่าวขออภัยเล็กน้อยที่ตนมัวแต่สนใจเนื้อหาในกระดาษจนลืมทุกคน
“ขออภัย ข้าจะอ่านให้ฟังเดี๋ยวนี้”
จากนั้นเขาก็อ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นฟังโดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียว
หลังพบความผิดปกติ องค์รัชทายาทที่อ้างว่าประชวรพร้อมกับองค์ชายสี่และองค์ชายห้าจึงแฝงตัวเข้าไปสืบหาความจริง จนได้หลักฐานมาโดยไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เมื่อหลักฐานถึงมือคนในวัง ฝ่าบาทจึงทรงพิโรธหนัก สั่งจับกุมขุนนางทุจริตทันที
ในหนังสือพิมพ์ยังมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการลดภาษีการเกษตรเหลือเพียงสองส่วนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทว่าขุนนางแอบทำการลับที่ขัดต่อพระราชประสงค์ด้วยการเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกสามส่วน ประชาชนจึงต้องเสียภาษีสูงถึงห้าส่วน ทว่าเกินครึ่งของภาษีกลับเข้ากระเป๋าตระกูลขุนนางที่เรียกตนว่าผู้มีเกียรติ
ทั้งยังมีการเขียนถึงเรื่องราวของเด็กน้อยผู้ยากไร้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเรียกเก็บภาษีเกินจริง ชาวบ้านหลายครัวเรือนต้องขายที่ดินทำกินเพื่อจ่ายภาษี ถึงขั้นถูกบังคับให้ขายลูกในไส้กินก็มี
บางครอบครัวจ่ายภาษีจนหมดตัว ไม่เหลือแม้แต่ข้าวกินประทังชีวิต หัวหน้าครอบครัวต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อหาอาหารมาเลี้ยงปากท้องคนในบ้าน
ดังเช่นเรื่องราวของพ่อลูกสี่คนหนึ่ง เขาต้องไปล่าหมูป่าบนเขามาประทังชีวิต ทว่ากลับต้องเสียชีวิตลงอย่างอนาถ
บ้างก็ไปทำงานที่เหมืองหิน พอตรากตรำทำงานหนักจนหมดแรงก็ถูกปาก้อนหินจนตาย เกิดเรื่องราวเช่นนี้มากมายนับไม่ถ้วน
เพียงแต่ผู้คนในเมืองหลวงไม่เคยได้พบเห็นหรือรับรู้ บัดนี้มันถูกเขียนลงบนหนังสือพิมพ์ เผยแพร่ให้ผู้คนได้รับรู้และตระหนักถึง แต่ละคนต่างสะเทือนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่น้อย
ตระกูลขุนนางพวกนั้นกลับมั่งคั่งขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนัก
ในตอนท้ายของหนังสือพิมพ์สรุปว่า “เลือดเนื้อของประชาชนเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้เหล่าขุนนางทุจริต ทุกสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำไปก็เพื่อประชาชนทั้งหลาย ทว่ากลับถูกใส่ร้าย น่าเศร้าใจเสียจริง!”
คุณชายหลี่ที่อ่านมาจนถึงประโยคสุดท้ายถึงกับตาแดงก่ำ คนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เป็นพวกเราที่เข้าใจฝ่าบาทผิดไป ฝ่าบาททรงทำเพื่อพวกเราทุกคนต่างหาก!”
เพียะ…
ชายร่างใหญ่คนหนึ่งตบตัวเองอย่างแรง
“ข้าหลงเชื่อคำพูดคนพวกนั้น ใส่ร้ายฝ่าบาทว่าโหดเหี้ยมทารุณ เป็นข้าเองที่ผิดต่อฝ่าบาทที่กล่าวร้ายต่อพระองค์!”
“ขุนนางทุจริตพวกนั้นสมควรถูกจับแล้ว พวกมันจะต้องชดใช้ความผิดที่พวกมันก่อ!”
“ข้าเห็นด้วย เป็นถึงขุนน้ำขุนนางกลับทำการทุจริตเช่นนี้ได้อย่างไร ฝ่าบาททำถูกต้องแล้ว คนพวกนั้นสมควรถูกประหารชีวิต!”
ในยุคสมัยนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ทำไร่ไถนาเลี้ยงปากท้อง พวกเขายังถือว่าโชคดีกว่าผู้คนในหนานโจวอยู่มาก เพราะพวกเขาอาศัยอยู่แถวชานเมืองของเมืองหลวง ต่อให้ขุนนางพวกนั้นจะใจกล้าเพียงใด ก็ยังไม่กล้ากระทำการอันใดใต้จมูกฝ่าบาท