เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 397 เป็นข้าราชการ
บทที่ 397 เป็นข้าราชการ
บทที่ 397 เป็นข้าราชการ
หวังอวี้อันไม่ได้ลดความระแวดระวังลงเพราะเหตุนี้แม้แต่น้อย “เจ้าเป็นใครกัน”
แม้ในใจจะกำลังตื่นตระหนก แต่ก็รีบควบคุมอารมณ์อย่างรวดเร็วและเริ่มไตร่ตรองถึงที่มาที่ไปของบุคคลตรงหน้าตนเองอย่างลึกซึ้ง
องครักษ์เงาพอใจกับการแสดงออกของเขามาก ที่ไม่มีอาการตื่นตระหนกกับสิ่งใด ๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรสามารถสร้างความหวาดกลัวต่อเขาได้ง่าย ๆ
“ให้คำตอบกับข้าหลังจากอ่านสิ่งนี้จบแล้ว”
องครักษ์เงายื่นจดหมายให้ สิ่งที่เขียนลงในนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคำสัญญาที่เขียนถึงบุตรตระกูลขุนนางที่ถูกกดขี่ โดยจะมอบตำแหน่งในราชสำนักและทำตามคำขอ แลกกับความภักดีจากเขา
หวังอวี้อันเลือกที่จะตอบรับโดยไม่ได้ลังเลมากมายนัก
“ข้อแลกเปลี่ยนคือการปล่อยมารดาและน้องชายข้าไป”
หลังจากนี้ เขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลหวังอีก
“เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ชาญฉลาด”
องครักษ์เงายกยิ้มที่มุมปาก และวางจดหมายลงให้เขาลงชื่อก่อนจะเก็บมันกลับไป “พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้า”
เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่ง หลายคนติดร่างแหถูกจำคุกร่วมกับคนในตระกูลคนอื่น ๆ หลังจากได้รับข้อเสนอที่น่าดึงดูดเช่นนี้ก็ยอมรับข้อตกลงโดยไม่ลังเล
ทั้งหมดล้วนเพื่อครอบครัว ความอยู่รอด หรือไม่ก็เพื่อเงินและอิสรภาพ
หนานกงสือเยวียนไม่ได้สนใจว่าแรงจูงใจของการยอมรับข้อตกลงคือสิ่งใด เขาสนใจเพียงผลประโยชน์ที่จะได้จากคนเหล่านี้เท่านั้น
ในขณะที่บรรดาตระกูลชนชั้นสูงที่ไม่เกี่ยวข้อง และเหล่าครอบครัวยากจนที่ถูกกดขี่จำนวนมากก็ได้รับข้อเสนอเช่นกัน
แน่นอนว่าองครักษ์เงาของหนานกงสือเยวียนล้วนเป็นคนฉลาด พวกเขาจะมอบจดหมายนี้แก่คนที่มีภาระต้องดูแลทั้งสิ้น
ในบ้านพักห่างไกลและรกร้างของตระกูลซ่งที่เป็นตระกูลของไท่ซือ มีเด็กหนุ่มร่างกายผอมบางนั่งอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเซียวเปิดจดหมายที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทราบที่มาในห้องตนเอง
“แค่ก ๆ ๆ”
“คุณชายขอรับ อากาศหนาวเย็นลงเรื่อย ๆ แต่ที่นี่กลับไม่มีแม้แต่ฟืน ร่างกายของท่านจะทนได้อย่างไร!”
ซ่งชิงอ่านเนื้อหาภายในจดหมายแล้วยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย
ทว่าแววตาของเขาไม่ได้ยิ้มตาม จากนั้นก็ขอให้บ่าวรับใช้เพียงคนเดียวที่มีเอาแท่นหมึกและพู่กันมาเพื่อเขียนจดหมาย
คงจะดีไม่น้อยหากจดหมายนี่มาถึงเร็วกว่านี้ มารดาและน้องชายของเขาจะคงจะไม่สิ้นใจ
ความต้องการเดียวของเขาในยามนี้คือ ต้องการให้ทุกคนในตระกูลซ่งชดใช้ด้วยชีวิต
ในเวลาเพียงสองวัน หนานกงสือเยวียนรวบรวมผู้คนมากความสามารถได้ราวสามสิบคน
พวกเขาล้วนหลักแหลมและมากความสามารถ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการครอบครัวของพวกเขาจึงถูกสังหารหรือไล่กวาดล้างมาตั้งแต่ยังเล็ก และไม่สามารถเฉิดฉายขึ้นมาได้
สองคนในนั้นเป็นบุตรนอกสมรสของตระกูลขุนนางใหญ่
ไม่มารดาเสียชีวิต ก็บิดาแต่งงานใหม่
ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความแค้นเคืองที่มีต่อบิดาแท้ ๆ ทั้งต้องเผชิญกับการไล่ล่า และคอยหลบหนีเอาตัวรอดจากความตายมาตลอด
“พาทุกคนมาที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ช้าทุกคนก็ถูกพาตัวมาที่โถงตำหนักฉินเจิ้ง เพื่อรอการประเมินจากหนานกงสือเยวียน
ในยามนี้เหล่าขุนนางยังไม่ทราบเรื่อง กำลังรอการประนีประนอมจากฮ่องเต้อย่างใจจดใจจ่อ
“ผ่านไปสามวันแล้วก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร ฝ่าบาททรงไม่มีรับสั่งใดลงมาอีกงั้นหรือ”
“ใต้เท้า ฝ่าบาทจะทรงยอมประนีประนอมกับเราจริง ๆ หรือขอรับ ข้าได้ยินว่ามีการลงข่าวในหนังสือตี้เป่า เพื่อเลือกเจ้าหน้าที่จากครอบครัวยากจน เราจะไม่ถูกแทนที่ใช่หรือไม่”
หนังสือตี้เป่าเหล่านี้กำลังแจ้งข่าวว่าราชสำนักกำลังต้องการคัดเลือกเจ้าหน้าที่จากบุคคลทั่วไป ใครก็ตามที่มีความสามารถ เพียงแค่มาลงชื่อและผ่านการสอบ ผู้ที่ได้คะแนนหนึ่งร้อยอันดับแรกของแต่ละอำเภอจะได้รับเข้ามาคัดเลือกในรอบต่อไป และนำมาคัดเลือกให้ได้สองร้อยคน เพื่อเข้าสู่รอบมณฑล ก่อนจะส่งตัวมายังเมืองหลวงเพื่อสอบขั้นสุดท้าย
ทันทีที่ได้รู้ข่าวนี้ ไม่เพียงตระกูลขุนนางเท่านั้นที่แสดงความไม่พอใจ แต่ผู้คนทั่วไปก็ยิ่งแตกตื่นไปด้วย
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินและได้เห็นมาก่อน ทุกคนในอาณาจักรต่างพากันให้ความสนใจ
“จริงหรือเนี่ย ข่าวที่ว่าเป็นความจริงหรือ เราชาวบ้านตาดำ ๆ ทั่วไปก็สามารถเป็นข้าราชการสร้างเกียรติประวัติแก่บรรพบุรุษได้เช่นกันงั้นหรือ”
“เจ้าไม่ได้โกหกใช่หรือไม่ เรื่องดี ๆ เช่นนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วย”
“ข้าได้ยินข่าวมาบ้างว่าเหล่าขุนนางพากันออกจากราชการ ยามนี้ทางการจึงขาดแคลนคนอย่างมาก”
‘ผู้รู้’ บางคนเริ่มแจ้งข่าวคราวออกไป “จากที่หนังสือพิมพ์ตี้เป่าลงประกาศเมื่อวันก่อน องค์รัชทายาทได้จับกุมขุนนางฉ้อโกงและสังหารผู้มีอิทธิพลจำนวนมากที่มีพฤติกรรมกดขี่ข่มเหงราษฎร และขุนนางหลายคนก็เห็นว่าสิ่งที่องค์ชายทำนั้นเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไป ดังนั้นจึงพากันกดดันองค์ชาย ร่วมกันประท้วงให้ปลดพระองค์ออกจากตำแหน่ง”
“ว่าอย่างไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่ องค์ชายทรงจับคนร้ายรังแกชาวบ้าน จัดการคนเลว ๆ แต่กลับถูกกดดันได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว ตระกูลขุนนางพวกนั้นคิดว่าชาวบ้านอย่างเรามีค่าน้อยนิด จะถูกรังแกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเขาสนใจแต่อำนาจเงินทองเท่านั้น คนที่เข้ามาช่วยบำบัดทุกข์ของเราแต่ขวางทางพวกเขาจึงต้องถูกกำจัดอย่างไรเล่า”
“อ้าว คนเช่นนี้มาเป็นขุนนางได้อย่างไรกัน ฝ่าบาทตรัสว่าขุนนางก็เป็นดั่งพ่อแม่ดูแลราษฎรต่างบุตร พวกเขามีหน้าที่มาช่วยเหลือเรายามเกิดปัญหา ไม่ใช่มารังแกข่มเหงกันเช่นนี้”
“บัดนี้ฝ่าบาททรงขาดแคลนผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ จึงได้มีการออกประกาศรับสมัครผู้ที่มีความสามารถ ไม่เพียงแค่คนรู้หนังสือสูง ๆ เท่านั้น แต่ทางการยังต้องการเจ้าหน้าที่อีกมากให้มาช่วยเรื่องการเกษตร การสร้างบ้าน ขุดคลอง งานไม้ ยังต้องมีคนที่ต้องรู้การค้าขาย ข้าไม่รู้อะไรนอกจากการทำไร่ทำนา ก็ยังมีหวังจะเป็นขุนน้ำขุนนางได้ด้วย เป็นเกียรติของบรรพบุรุษจริง ๆ สมัครได้ที่ใดหรือ”
คนทั่วไปมีความคิดเห็นเช่นนี้เสมอ แต่ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใด ตอนนี้มีผู้ริเริ่มชี้หนทางให้แล้ว พวกเขาจึงรีบลงชื่อตาม ๆ กันเป็นจำนวนมาก
หมู่บ้านตระกูลหลิ่ว…
“ท่านแม่ ข้าพบหนทางจะช่วยท่านแล้ว”
ในบ้านมุงจากทรุดโทรม มีหญิงป่วยหนักนอนอยู่ที่เตียงอย่างอ่อนแรง ใบหน้าของนางซีดเซียวและโรยรา
เด็กหนุ่มร่างผอมบางไม่ต่างจากนางเดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างตื่นเต้น
“ท่านแม่ขอรับ ตอนนี้ทางการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ กำลังรับคนเพิ่มอยู่ หากสอบผ่านแล้วไม่เพียงจะได้รับเงินห้าตำลึงเท่านั้น แต่ยังจะได้รับตำแหน่งในราชสำนักอีกด้วย ท่านแม่ก็รู้ว่าข้าเก่งเรื่องงานไม้ยิ่งกว่าใคร ข้าจะไปสมัครดู”
สตรีบนเตียงไออย่างรุนแรง “อาศัยเพียงงานช่างไม้ที่ต่ำต้อยนี้เจ้าจะเป็นเจ้าหน้าที่ได้จริงหรือ”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้โกหกนะขอรับ มีเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนในหนังสือพิมพ์ตี้เป่า ไม่เพียงแต่ช่างไม้เท่านั้น แต่ยังรับชาวนา คนก่อสร้าง และคนที่ทำยาได้อีกด้วย พวกเขารับทั้งนั้น แค่ต้องไปทดสอบฝีมือก่อน เฉพาะผู้ที่สอบผ่านจะได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ”
เมื่อมารดาได้ยินคำอธิบายของเขาใบหน้าของนางก็พลันแดงก่ำขึ้นด้วยความตื่นเต้นและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
“ลูกชายแม่มีความสามารถ เจ้าต้องเป็นข้าราชการได้อย่างแน่นอน เมื่อได้เป็นเจ้าหน้าที่แล้ว พ่อเจ้าและบรรพบุรุษของเราคงภูมิใจยิ่ง คนที่อยู่บนสวรรค์คงยินดีกับเจ้า”
เด็กหนุ่มตาแดงก่ำ “ท่านแม่ ข้าจะตั้งใจอย่างเต็มที่ หากสอบผ่านเมื่อไร ข้าจะหายามาให้ท่านเอง”
เด็กหนุ่มจากหลายครอบครัวต่างตื่นเต้นเมื่อได้รับทราบข่าว หลายคนที่ทำงานอยู่ถึงกับทิ้งงานไปสมัครเข้าทดสอบ เพราะกลัวว่าจะมีคนมาสมัครจนเต็มแล้วตนจะพลาดโอกาสนี้ไป