เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 401 ขุนอีกฝ่ายให้อ้วนพี
บทที่ 401 ขุนอีกฝ่ายให้อ้วนพี
บทที่ 401 ขุนอีกฝ่ายให้อ้วนพี
สกุลอื่น ๆ ที่ได้ทราบข่าวก็ไม่ต่างกัน บ้างก็โกรธจัดจนเกือบหมดสติ โชคยังดีที่หมอโผล่มาช่วยไว้ได้ทัน
“พวกมัน พวกมันกล้าดีอย่างไร!”
“เนรคุณ เจ้าพวกเนรคุณ แม่ของมันอยู่ที่ไหน พาตัวมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
“นายท่าน อนุภรรยากับบุตรสาวของนางถูกพาตัวไปแล้วขอรับ ที่ว่าการมิเพียงมอบจวนแยกให้แก่พวกเขา แล้วก็ แล้วก็…”
“พูดมา!”
“ยังส่งคนไปคุ้มครองพวกเขาด้วยขอรับ”
ตึง ตึง ตึง โครม…
ทันใดนั้นจวนสกุลใหญ่หลายแห่งก็มีเสียงดังโครมครามให้ได้ยิน
ต้องบอกว่าครั้งนี้หนานกงสือเยวียนลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก กระทำราวกับเสียบมีดลงบนร่างของพวกเขาเลยทีเดียว
บรรดาขุนนางส่งคนไปเพิ่มเพื่อสืบข่าวและติดต่อ แต่ก็ไม่ได้เห็นแม้แต่ใบหน้าของคนเหล่านั้น
เหล่าขุนนางโกรธจนไม่คำนึงถึงสิ่งใด คิดใช้เล่ห์อุบายเดิม ๆ ทำลายชื่อเสียงของพวกเขา หวังจะยกเรื่องความกตัญญูมาใช้เพื่อกดดัน แต่ดูเหมือนว่าหนานกงสือเยวียนจะเดาความคิดทั้งหมดนั้นออก
เมื่อเหล่าขุนนางชั้นสูงปล่อยข่าวลือออกไปได้เพียงไม่นาน เรื่องราวชีวิตอันน่าเศร้าของพวกเขาก็ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์
ทุกคนต่างเปิดรอยแผลเป็นของตัวเองออกสู่สายตาผู้คน
มิหนำซ้ำประโยคที่หนานกงสือเยวียนกล่าวขณะกำลังว่าราชกิจก็ถูกเขียนลงไปเช่นกัน
“ที่เรียกว่าความกตัญญูนั้น ควรเป็นบิดาเมตตา บุตรกตัญญู ต้องมีสิ่งแรกก่อน แล้วจึงจะนำไปสู่สิ่งหลัง”
ฮ่องเต้ทรงตรัสแล้วว่าบิดามารดาต้องเมตตา บุตรจึงจะกตัญญู พวกเขาล้วนถูกทารุณกรรม ก็แค่แยกเรือนออกไปใช้ชีวิตของตัวเองแล้วอย่างไรเล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรเป็นการแก้แค้นเสียหน่อย
ส่วนเรื่องที่บอกว่าไปแย่งตำแหน่งของพวกเขา นั่นก็ไม่ใช่เพราะพวกท่านอ้างว่าป่วยแล้วไม่ไปเข้าประชุมขุนนางเสียตั้งนานมิใช่หรือ พวกท่านไม่ไปแล้วยังมาห้ามไม่ให้คนอื่นไป มีหรือที่ราชสำนักจะเอาไว้
ดังนั้นภายใต้การชี้นำของคนที่ฉินเฟิงเป็นผู้ตระเตรียม ประชาชนมิเพียงไม่คัดค้าน แต่ยังปรบมือเป็นการเห็นพ้องกับเรื่องนี้
เพราะในหนังสือพิมพ์ฉบับก่อน ๆ ขุนนางชั้นสูงมิได้สร้างความประทับใจที่ดีนักให้กับพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นภาษีผลผลิตทางการเกษตรอย่างละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนทนไม่ได้
นอกจากนี้ขุนนางพวกนั้นก็มักวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้คนไม่เว้นแม้แต่บ่าวรับใช้ มีเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวงที่ไม่รู้สึกเกลียดชังพวกเขา บัดนี้เมื่อได้เห็นคนเหล่านี้ตกอับ ผู้คนไม่น้อยก็แอบปรบมือดีใจ
มิเพียงเท่านั้น ผลงานที่เหล่าขุนนางหน้าใหม่ได้สร้างขึ้นถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ทุก ๆ สามวัน ทำให้ประชาชนยิ่งชื่นชอบขุนนางที่ลงมือทำงานจริงเหล่านี้มากขึ้นไปอีก
“ไม่คิดเลยว่าการปรับตัวและความสามารถของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้มาก”
หนานกงสือเยวียนรู้สึกอารมณ์ดี เป็นเรื่องยากทีเดียวที่เขาจะกินอาหารกลางวันกับเสี่ยวเป่าได้อย่างผ่อนคลายสักมื้อ อีกทั้งยังเป็นหม้อไฟอีกด้วย!
เสี่ยวเป่าแกว่งเท้าไปมาอย่างมีความสุข “สายตาท่านพ่อเฉียบแหลมที่สุด”
เรียกได้ว่านางปากหวานทีเดียว
มุมปากหนานกงสือเยวียนแย้มยิ้มขึ้นเล็กน้อย พลางคีบอาหารใส่ชามของบุตรสาว “เจ้ามีความชอบมากที่สุด หากไม่ใช่เพราะหนังสือพวกนั้นกับหนังสือตี้เป่าของเจ้า ก็มิรู้ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมากน้อยเพียงใด”
อากาศเริ่มหนาวแล้ว วันนี้เสี่ยวเป่าสวมใส่เสื้อผ้าค่อนข้างหนา ใบหน้าประณีตงดงามแลดูอวบอ้วน ดวงตากลมโตสดใส มีขนสีแดงปกคลุมรอบคอ เวลายิ้มเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ ที่ข้างแก้ม ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
นางเองก็คีบอาหารให้ท่านพ่อด้วยเช่นกัน ทั้งยังคีบแต่เนื้อใส่ชามของเขา ท่าทางเป็นกังวลราวกับกลัวว่าท่านพ่อของนางจะหิวก็มิปาน
“ท่านพ่อกินเยอะ ๆ นะเพคะ ท่านผอมลงไปมากเลย”
“หนังสือตี้เป่าไม่เกี่ยวกับเสี่ยวเป่า เป็นผลงานของฉินเฟิงต่างหาก ส่วนหนังสือพวกนั้นท่านพ่อก็เป็นคนอ่าน ก็ต้องเป็นผลงานของท่านพ่อ เสี่ยวเป่าเป็นแค่ผู้ช่วย!”
นางวางตำแหน่งของตัวเองไว้ชัดเจนทีเดียว
หนานกงสือเยวียนลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน
แต่แล้วทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เสี่ยวเป่าพลันกระโดดลงจากเก้าอี้ จากนั้นก็วิ่งไปหยิบจอบเพื่อไปขุดดิน
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
เสี่ยวเป่า “ท่านพ่อรีบกลับไปพักผ่อนนะเพคะ เสี่ยวเป่าจะไปขุดของดีมาให้”
นางขุดดินอย่างเหนื่อยหอบ ไม่นานนักไหสุราที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินก็ถูกขุดขึ้นมา
ข้างในนี้มีสมุนไพรที่นางหมักเอาไว้
ท่านพ่อทำงานหนักจนตัวผอม เสี่ยวเป่าเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ ต้องบำรุงร่างกายให้เขาเสียหน่อย
เขามองดูสุราที่ส่งกลิ่นยาอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็มองเจ้าก้อนแป้งที่เป็นห่วงเป็นใยตน
หนานกงสือเยวียน “…”
รู้สึกเหมือนบทบาทของพ่อกับลูกสาวจะสลับกันนิดหน่อย
“ท่านพ่อรีบดื่มเร็วเข้า นี่เป็นของดีเชียวนะ เสี่ยวเป่าตั้งใจทำยาดองนี้เพื่อท่านเลย”
แม้จะมีกลิ่นยา แต่ก็ไม่เหม็นแต่อย่างใด และดูเหมือนจะทำให้กลิ่นของสุราเข้มข้นขึ้นอีกด้วย
ท่ามกลางสายตากระตือรือร้นของลูกสาว ในที่สุดหนานกงสือเยวียนก็ยกขึ้นจิบ
รสชาติไม่เลว ไม่ฉุนเหมือนกับเหล้าขาวที่เสี่ยวเป่าเคยให้มา ทั้งยังมีรสหวานติดปลายลิ้น
“ไม่เลว”
ยาดองนี้เป็นของดีจริง ๆ มิว่าจะพูดอย่างไร สิ่งที่เสี่ยวเป่าเป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา หลัก ๆ แล้วก็คือตัวกู่ที่อยู่ภายในร่าง
เมื่อนึกถึงข่าวคราวที่ส่งมา หากจะเข้าไปยังฉางเฉิงเทียนได้อย่างปลอดภัย เช่นนั้นก็ต้องกำราบพวกซยงหนูและเผ่าทุ่งหญ้าอื่น ๆ ที่กำลังวางแผนโจมตีให้ราบคาบเสียก่อน
ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ต้องรอให้สถานการณ์ภายในสงบลงเสียก่อน เขาจึงจะสามารถขยายดินแดนได้อย่างไร้กังวล
เสี่ยวเป่ายังคงตั้งใจป้อนท่านพ่อของนางต่อ จากนั้นก็ตามด้วยถูกหยิกแก้ม
“กินของตัวเองไป แขนสั้นกว่าข้าแต่ยุ่งพัลวันจริงเชียว”
เสี่ยวเป่าพูดอย่างหนักแน่น “ก็เพราะท่านพ่อทำงานหนักจนผอมโซนั่นแหละ!”
ในที่สุดมื้อนี้ก็จบลงที่พ่อและลูกสาวผลัดกันป้อนไปมา มิหนำซ้ำยังมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือหวังจะขุนอีกฝ่ายให้อ้วนพี
หลังจากกินเสร็จก็มีข่าวที่น่ายินดีอีกเรื่องคือ น้ำตาลทรายขาวพร้อมแล้ว
เมื่อได้เห็นน้ำตาลเม็ดละเอียดที่มีสีขาวราวกับหิมะ หนานกงสือเยวียนก็ยิ่งอารมณ์ดี
ในโลกใบนี้ เกลือและน้ำตาลล้วนแต่เป็นสินค้าที่สร้างกำไรอย่างมหาศาล
ทว่าสองสิ่งนี้กลับอยู่ในมือของพ่อค้าเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพ่อค้าเกลือในเมืองเหยียนเฉิง
ทันใดนั้นหนานกงสือเยวียนก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาบอกให้เสี่ยวเป่าพาตนเองไปยังห้องสมุด
“หนังสือเรื่องเกลืออยู่ที่ไหนหรือ”
เสี่ยวเป่าค้นหาโดยการหลับตา และให้ท่านพ่ออุ้มนางไปยังทิศทางที่ตนเองชี้
จากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ‘เทคนิคการตากเกลือ’
ตอนนี้ท้องพระคลังกำลังขาดแคลน รอให้บรรดาขุนนางหนุ่มที่เขาแต่งตั้งมั่นคงเมื่อใด เขาก็เตรียมที่จะตักตวงกำไรจากพ่อค้าเกลือทันที
ตอนนี้มีคำกล่าวกันโดยทั่วไปว่า ท้องพระคลังยังร่ำรวยมิสู้ทรัพย์สมบัติของพ่อค้าเกลือ
นี่มิใช่การพูดเกินจริงแต่เป็นความจริง เนื่องจากเมืองเหยียนเฉิงที่อยู่ทางตอนใต้เจริญรุ่งเรืองกว่าที่ใด บรรดาขุนนางชั้นสูงของเหยียนเฉิงล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเกลือทั้งสิ้น เงินในมือของพวกเขามีมากกว่าท้องพระคลังมิรู้กี่สิบเท่า
แต่ว่าพ่อค้าเกลือพวกนี้มิได้ซื่อสัตย์ พวกที่ร่ำรวยเป็นเพียงส่วนน้อย และความรุ่งเรืองของพวกเขาก็ตั้งอยู่บนความทุกข์ทรมานของชาวนาเกลือ
นอกจากนี้… พ่อค้าเกลือจำนวนหนึ่งยังขายเกลือให้กับชนเผ่าทุ่งหญ้า แต่ว่าพ่อค้าใจกล้ามิได้ขายแค่เกลือ แต่ยังขายคนจากจงหยวน กระทั่งแอบขายแร่เหล็กและอาวุธที่ทำจากเหล็กให้ชนเผ่าทุ่งหญ้าอีกด้วย
สรุปก็คือไม่มีอะไรที่พ่อค้าเกลือผู้ละโมบไม่กล้าทำ
หนานกงสือเยวียนอ่านวิธีผลิตเกลือจากน้ำทะเลและจดบันทึกเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามเสี่ยวเป่าว่าเตรียมฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของนางไปถึงไหนแล้ว
เสี่ยวเป่าจิ้มนิ้วเข้าหากัน “มีที่ดินที่ท่านพ่อให้ ที่ดินที่พี่ใหญ่ให้ ที่ดินที่พี่รองให้ ที่ดินที่ท่านอาเจ็ดให้ เสี่ยวเป่าก็จะมีฟาร์มขนาดใหญ่ แห่งหนึ่งไว้เลี้ยงวัว แกะ ม้า แห่งหนึ่งไว้เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ แล้วก็อีกแห่งไว้เลี้ยงปลา…”
หนานกงสือเยวียน “ที่ดินกระจัดกระจายกันหรือ”
“ที่ดินสามผืนที่ท่านพ่อให้เสี่ยวเป่ามามีสองผืนที่อยู่ติดกัน เป็นผืนใหญ่ที่สุด เสี่ยวเป่าจะเอาไว้เลี้ยงวัว แกะ แล้วก็ม้าเพคะ!”