เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 402 ข้าไม่ทำแล้ว!
บทที่ 402 ข้าไม่ทำแล้ว!
บทที่ 402 ข้าไม่ทำแล้ว!
หนานกงสือเยวียนฟังจบก็โบกมือ “ข้าจะซื้อที่ดินและหมู่บ้านรอบ ๆ ให้เจ้า”
เสี่ยวเป่ายิ้มในทันใดราวกับเป็นชางฉู่ตัวน้อยที่แอบขโมยของกินได้สำเร็จ พร้อมกับเอ่ยเสียงหวาน “ท่านพ่อดีที่สุดเลย~”
ทั้งสองไม่ได้อยู่ในห้องสมุดนานเท่าใดนัก
หลังจากพักผ่อนแล้ว หนานกงสือเยวียนก็จัดการงานที่คั่งค้างต่อไป
หลัก ๆ แล้วก็เป็นเพราะทางด้านขุนนางชั้นสูงเริ่มเคลื่อนไหวลับ ๆ อีกครั้ง
พวกเขาทำอะไรฮ่องเต้ไม่ได้ แต่กับพวกขุนนางหน้าใหม่นั่นเป็นอีกเรื่อง
ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ในตำแหน่งมานานหลายปี นับว่ายังมีเส้นสายในราชสำนักไม่น้อย
หนานกงสือเยวียนส่งคนไปดูแลความปลอดภัยของพวกเขาโดยเฉพาะ ส่วนจะแก้ไขปัญหาอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถพวกเขา นี่ก็ถือเป็นบททดสอบด้วยเช่นกัน
ณ เมืองหนานโจว…
หลังจากที่สังหารเหล่าตระกูลผู้มีอำนาจนับพัน และจับตัวพวกขุนนางทุจริตได้แล้ว ประชาชนทั่วทั้งหนานโจวก็ส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง เดินตามรถคุมขังนักโทษไปที่ลานประหาร
พวกเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัวเมื่อเผชิญกับเหตุประหารตัดศีรษะ กลับปรบมือด้วยความดีใจเสียด้วยซ้ำ
บางคนถึงขั้นคุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้ขณะมองดู ร่ำไห้ให้กับครอบครัวที่ตายจากไป
เลือดที่ไหลนองในวันนั้นแทบจะย้อมลานประหารให้กลายเป็นสีแดง
แต่ทว่าหลังจากที่เจ้าหน้าที่ทุจริตถูกจับกุมแล้ว ระบบการเมืองทั่วทั้งหนานโจวก็แทบจะเป็นอัมพาต
ด้วยเพราะจำนวนขุนนางทุจริตคดโกงนั้นมีมากเกินไป
หนานกงฉีซิวจึงงานรัดตัว เขาคัดเลือกคนที่พอจะใช้งานได้ให้รับตำแหน่งนายอำเภอเป็นการชั่วคราว
แต่ตำแหน่งสำคัญอย่างเจ้าเมืองใช่ว่าจะเอาใครมาเป็นก็ได้ เขาจึงได้แต่หวังว่าเสด็จพ่อจะส่งคนมาในเร็ว ๆ นี้
แต่ทว่าข่าวที่ส่งมาจากเมืองหลวงกลับมิสู้ดีนัก สาเหตุก็เพราะว่าครั้งนี้มีคนเข้ามาพัวพันมากเกินไป
แต่ดีร้ายอย่างไรหนานกงสือเยวียนก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากน้องชายได้ แต่เขาทำไม่ได้
แน่นอนว่ามีคนที่ไม่อยากทำงานยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เยว่หลีหอบหนังสือกองหนึ่งวิ่งไปที่ห้องของหนานกงฉีซิวด้วยความเดือดดาล จากนั้นก็โยนลงตรงหน้าเขา
“ข้าไม่ทำแล้ว!”
เขานี่โง่จริง ๆ ถูกหลอกให้มาทำงานตรากตรำอยู่ที่นี่ ตอนนี้เขาอยากย้อนเวลากลับไปตบกะโหลกโง่ ๆ ของตัวเองให้ตายไปเลย
ด้วยงานที่ทับถมลงมามากมาย ในที่สุดเยว่หลีก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว
เขาในยามนี้ยังคงมีเส้นผมสีขาวและใบหน้ารูปงามเหมือนดังเก่า แต่กลับสูญสิ้นความไร้เดียงสาและความโง่งมแบบเด็ก ๆ และโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากทีเดียว
เพียงแต่ยังไม่ค่อยสุขุมเท่าใดนัก
หนานกงฉีซิวถอนหายใจเบา ๆ เขาเป็นผู้ช่วยชั้นดีที่สามารถทำงานแทนได้หลายสิบคน เยว่หลีมีความจำเป็นเลิศทั้งยังมิได้โง่เขลา เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ร่ำเรียนวิชาจึงดูทึ่มไปบ้าง แต่ว่าตอนนี้น่ะหรือ ฉลาดเสียจนหลอกไม่ได้แล้ว
“เสด็จพ่อส่งเจ้าเมืองมาแล้ว อดทนอีกหน่อยนะ ดูเจ้าตอนนี้สิโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เสี่ยวเป่าต้องมองเจ้าเปลี่ยนไปแน่ ๆ”
เยว่หลีเหล่ตามองเขา “เจ้าเห็นข้าโง่หรือ ต่อให้ข้าโง่จริง ๆ เสี่ยวเป่าก็ไม่มีวันรังเกียจข้า ยังคิดจะหลอกให้ข้าทำงานให้เจ้าต่ออีก”
ยิ่งรู้แบบนั้นก็ยิ่งนึกเสียใจ เมื่อก่อนช่างดีเหลือเกินที่ได้เอาแต่กินกับเล่นไปวัน ๆ ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงมันเสียแล้ว
“อย่างไรข้าก็ไม่ทำแล้ว”
เขาคิดเลขกับอ่านเอกสารทุกวันจนหัวแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
รู้สึกอีกด้วยว่าผมร่วงไปเยอะทีเดียว ทำเอาเยว่หลีปวดใจยิ่งนัก
เสี่ยวเป่าชอบเส้นผมและดวงตาของเขามากที่สุด นางยังบอกอีกว่าจะถักเปียให้ตน
“ข้าเป็นพี่ชายของเสี่ยวเป่า”
เยว่หลีขึ้นเสียง “แล้วไง?”
หนานกงฉีซิวพูดอย่างใจเย็น “เจ้าคิดดูสิว่าหากข้าเหนื่อยจนเป็นอะไรไป เสี่ยวเป่าจะโทษเจ้าหรือไม่ หืม?”
รัชทายาท สุภาพบุรุษผู้งดงามราวกับดอกกล้วยไม้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม เยว่หลีมองหน้าเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้า…”
เจ้ามันคนหน้าซื่อใจคด เหตุใดคนตระกูลหนานกงถึงได้ใจจืดใจดำขนาดนี้ จับข้าไว้ทำประโยชน์เช่นนี้ยังเป็นคนอยู่หรือไม่!
“ข้าจะไปตามหมอมาให้เจ้า!”
“โอ๊ย…ปวดหัวจัง ข้าจะเขียนจดหมายหาเสี่ยวเป่า ร่างกายข้าเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ แต่คนบางคนกลับเอาแต่คิดเรื่องพักเสียได้”
เยว่หลี “…”
เขาล่ะอยากชกหน้าคนจริง ๆ
ไม่ได้อยากชกแค่รัชทายาทคนเดียว แต่อยากชกหน้าตัวเองด้วย
ตอนนั้นตัวเองหน้ามืดตามัวไปได้อย่างไร ถึงได้คิดว่าคนผู้นี้อบอุ่นใจดีจนไว้เนื้อเชื่อใจเขาไปเสียหมด
เจ้ามันตาบอดมองคนไม่ออกจริง ๆ!
สุดท้ายเยว่หลีก็ทำได้เพียงหอบเอกสารจากไปด้วยความหงุดหงิด
ขณะก้าวออกจากประตู หนานกงฉีซิวก็รั้งเขาเอาไว้
“มีอะไร”
เยว่หลีหันกลับไปมองอย่างไม่สบอารมณ์
“วันนี้ข้าให้เจ้าหยุดหนึ่งวัน ไปรับเงินที่พ่อบ้านหนึ่งร้อยตำลึง อยากได้อะไรก็เอาไปซื้อ”
“จริงหรือ”
เยว่หลีตาเป็นประกายในทันที
“อืม ไปเถอะ”
หากอยากให้ม้าวิ่ง ก็ต้องให้อาหารเสียก่อน
เยว่หลีเลือกจะลืมเรื่องที่ถูกบีบบังคับเป็นการชั่วคราว เขาถือถุงเงินไปตามท้องถนนอย่างมีความสุข
เมื่อคำนวณดูแล้ว นอกจากตอนที่นำกองทหารอันยิ่งใหญ่ไปจับกุมขุนนางทุจริตกับเหล่าอาชญากร เขาก็แทบไม่มีเวลาได้ออกไปไหนเลย
เขาอยู่ที่หนานโจวมาเสียตั้งนาน แต่ยังไม่เคยแวะไปเที่ยวที่ตลาดหนานโจวเลยสักครั้ง
เยว่หลีออกมาข้างนอกโดยสวมหมวกเอาไว้ และหยุดแวะที่ร้านขายเกี๊ยวน้ำเล็ก ๆ แห่งแรก
“เถ้าแก่ขอเกี๊ยวน้ำหนึ่งชาม”
“ได้เลย เชิญท่านนั่งก่อนนะขอรับ”
เมื่อเยว่หลีนั่งลงแล้วแต่ดวงตากลับอยู่ไม่สุข เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบ ๆ
“มิทราบว่าท่านคือใต้เท้าเยว่หลีใช่หรือไม่”
ทันใดนั้นก็มีคนเรียกชื่อเขา เยว่หลีหันไปมองก็พบว่าเป็นฮูหยินท่านหนึ่งกำลังยืนซื้อผักอยู่
“เจ้าจำข้าได้ด้วยหรือ”
เขาจับหมวกของตัวเองอย่างห่อเหี่ยวนิดหน่อย คงไม่มีใครเห็นหน้าหรอกนะ
เมื่อเห็นว่าเขายอมรับ นางก็รู้สึกตื่นเต้นทันที “ข้าเห็นผมที่โผล่ออกมาข้างหลังท่าน”
เส้นผมยาวสลวยสีขาวราวหิมะเช่นนี้ไม่ผิดแน่ ต้องใช่ใต้เท้าเยว่หลีอย่างแน่นอน!
ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงตรงหน้าเยว่หลี
“ใต้เท้าเยว่หลี ขอบคุณท่านมาก สามีของข้าถูกขุนนางคดโกงใส่ร้ายและจับขังคุก ท่านเป็นคนนำทหารไปจับเจ้าคนโฉดนั่น ทั้งยังปล่อยสามีข้าให้เป็นอิสระ เป็นพระคุณใหญ่หลวงยิ่งนัก บุญคุณครั้งนี้ครอบครัวข้าชดใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด!”
เยว่หลีเบิกตากว้าง จากนั้นก็รีบพยุงนางลุกขึ้น “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้น”
เถ้าแก่ร้านเกี๊ยวได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็ยกเกี๊ยวน้ำชามใหญ่เข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“ใต้เท้าเยว่หลี ใช่ใต้เท้าเยว่หลีจริง ๆ ร้านเกี๊ยวน้ำเล็ก ๆ แห่งนี้ขอเลี้ยงท่านเอง พวกเราสามีภรรยาแก่เฒ่าก็ขอขอบคุณท่านเช่นกัน คนใจเหี้ยมพวกนั้นรังแกพวกเรามานานเหลือเกิน กินแล้วไม่จ่ายเงินยังไม่เท่าไร แต่ยังเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองตั้งมากมายทุกวัน หากพวกท่านไม่จับคนขี้โกงพวกนั้น พวกข้าคงหมดหวังที่จะเปิดร้านนี้ต่อไปแล้ว”
เยว่หลี “…”
เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มิหนำซ้ำก็มีคนวิ่งเข้ามาหลังจากที่ได้ยินชื่อของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยัดอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขา บ้างก็ยัดไข่ไก่ใส่มือ บางคนถึงกับยกไก่ให้เขาเลยทีเดียว
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย หมวกของเขาก็หลุดออก เผยให้เห็นเส้นผมสีขาวผ่องและนัยน์ตาสีม่วง
ทว่ากลับไม่มีใครหวาดกลัวหรือว่ารังเกียจแม้แต่คนเดียว มีแต่รู้ฐานะของเขาแล้วก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก