เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 403 กลับเมืองหลวง
บทที่ 403 กลับเมืองหลวง
บทที่ 403 กลับเมืองหลวง
เยว่หลีออกไปอย่างเริงร่า ทว่าขากลับอยู่ในสภาพจนมุม
เสื้อผ้าของเขายุ่งเหยิง กระทั่งบนเส้นผมยังมีขนไก่ติดอยู่ ในอ้อมแขนมีของชิ้นเล็กใหญ่มากมาย ข้างเท้ายังมีของอีกกองหนึ่ง ส่วนคนกำลังตกอยู่ในความฉงน
“พรืด…”
“ฮ่า ๆ ๆ….”
องค์ชายห้าที่เพิ่งกลับมาอดหัวเราะเสียงดังลั่นไม่ได้
“เจ้าออกไปปล้นคนหรือโดนคนปล้นมากัน ฮ่า ๆ ๆ…”
เยว่หลีโกรธจนโยนแม่ไก่แก่ในอ้อมแขนใส่หน้าอีกฝ่าย
“อย่างน้อยข้าก็มีคนมอบของให้ตั้งมากมาย เจ้ามีหรือไม่”
หนานกงฉีหลิง “…”
พูดอันใดกัน เหล่าชาวบ้านต่างกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่จัดการขุนนางโกงกินเหล่านั้นแล้วก็พากันส่งไก่ เป็ด ไข่ หรือกระทั่งเนื้อหมักจำนวนมากมาให้พวกเขาเต็มจวนเจ้าเมือง
ทว่าเขาก็ถูกหนานกงฉีซิวปรามเอาไว้อย่างรวดเร็ว
พวกเขานั้นเพียงแค่ปลอมตัวเล็กน้อยก็ไม่เป็นที่รู้จักของชาวบ้านแล้ว แต่เยว่หลีนั้นต่างออกไป ดวงตาสีม่วงและผมสีขาวนั้นโดดเด่นเกินไป ไม่มีทางที่เหล่าชาวบ้านจะจำเขาผิดแน่นอน
ดังนั้นจึงถูกเหล่าชาวบ้านมุงล้อมด้วยความกระตือรือร้น
หนานกงฉีซิวยิ้มแล้วตบไหล่ของเขา “ไม่มีอันใดมากมาย ทุกคนเพียงแค่รู้สึกขอบคุณเจ้า”
เยว่หลีไม่พูดอันใด เขาย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
แม้ว่าจะดูทุลักทุเลไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจคนเหล่านั้นแต่อย่างใด
ทว่าเขากลับเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมากขึ้นมา เมื่อได้รู้ว่าผู้คนจำนวนมากจดจำทุกสิ่งที่เขาทำเอาไว้ภายในใจ
“รู้สึกว่าแม้เหน็ดเหนื่อยก็สามารถทนฟันฝ่าไปได้ใช่หรือไม่”
ริมฝีปากของหนานกงฉีซิวแย้มยิ้มขึ้น “พวกเราเพียงแค่ทำในสิ่งที่สมควรทำ ทว่ากลับถูกพวกเขาจดจำเอาไว้ นับเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจอย่างมากที่ถูกผู้คนจำนวนมากมายจดจำเอาไว้ด้วยความซาบซึ้ง”
เยว่หลีพยักหน้า “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของขุนนางคดโกงเหล่านั้น”
หนานกงฉีซิวหัวเราะออกมา “ไปเถิด พรุ่งนี้เจ้าเมืองหนานโจวจะมาถึงแล้ว คืนนี้พวกเรามาดื่มกันสักหน่อย รอหลังจากส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดเสร็จแล้วก็สามารถกลับเมืองหลวงได้”
หนานกงฉีหลิงร้องอย่างยินดีทันที “เข้าหน้าหนาวแล้ว ไม่รู้ว่าเสี่ยวเป่าจะคิดถึงพวกเราหรือไม่”
หลังจากมื้อกลางวันในวันรุ่งขึ้น เจ้าเมืองหนานโจวก็เดินทางมาถึงด้วยสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรีบเดินทาง
สภาพของเขาเหมือนถูกทรมานตลอดเส้นทาง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ทว่าดวงตายังคงกระจ่างใส
“คารวะองค์รัชทายาท องค์ชายสี่ องค์ชายห้า ใต้เท้าเยว่หลี”
หลังจากหวังอวี้อันคำนับครบทุกคนแล้วก็ถูกหนานกงฉีซิวเร่งให้ไปพักผ่อน
“ใต้เท้าหวังเดินทางติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ท่านไปพักเสียก่อนเถิด เรื่องอื่น ๆ ไว้ค่อยว่ากัน”
หวังอวี้อัน “ขอพระทัยองค์รัชทายาท กระหม่อมขอตัวลา”
กว่าหวังอวี้อันจะตื่นเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบย่ำค่ำแล้ว เขารีบเติมเต็มท้องของตัวเองก่อนไปเตรียมรับช่วงต่อ
ระหว่างนั้นหนานกงฉีซิวให้ความสนใจกับเขาไม่น้อย เพียงไม่นานก็ต้องทอดถอนใจออกมา
สมกับเป็นคนที่เสด็จพ่อเลือกมา
แม้จะไม่คุ้นชินกับงานเหล่านี้ ทว่าก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หลังได้รับมอบงานมาส่วนหนึ่งแล้ว หวังอวี้อันก็จุดตะเกียงอ่านตลอดทั้งคืน
หลายวันผ่านไปเช่นนี้ หนานกงฉีซิวพบว่าคนผู้นี้เพียรพยายามอย่างถึงที่สุดจริง ๆ
เขาเกิดความสนใจที่มาของคนผู้นี้เล็กน้อย
หวังอวี้อันไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เอ่ยเล่าประวัติความเป็นมาของตนเองให้ฟัง
หนานกงฉีซิว “…”
สมกับเป็นเสด็จพ่อ วิธีเช่นนี้ยังคิดออกมาได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ก็สามารถเห็นภาพได้ชัดเลยว่าตระกูลขุนนางเหล่านั้นจะหงุดหงิดร้อนใจเพียงใด
เจ็ดวันต่อมา หน้าที่ภาระงานทั้งหมดก็ถูกส่งมอบอย่างสมบูรณ์ หวังอวี้อันก็ได้แต่งตั้งเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาขึ้นมาสร้างเป็นระบบบริหารงานของตนเอง
กล่าวตามตรง เมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นแล้ว ขุนนางฉ้อฉลที่อยู่รอบข้างเขาได้รับการชำระล้างจนแทบหมดจด
ทว่าด้วยความที่ภาระงานมีจำนวนมากเกินไป รวมกับการที่คนลดลงจำนวนมาก ก็ยังทำให้เขายุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้น
เขาไม่ได้ต้องทำเพื่อรักษาตำแหน่งเจ้าเมืองหนานโจวเท่านั้น แต่ยังต้องไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังด้วย
ดังนั้นหวังอวี้อันจึงราวกับฉีดเลือดไก่*[1]ทุกวัน บางวันกินเพียงซาลาเปาเป็นอาหาร นี่ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากมันกินสะดวกระหว่างอ่านเอกสาร!
ข่าวพวกหนานกงฉีซิวกำลังจะเดินทางกลับเมืองหลวงแพร่กระจายออกไปได้เช่นไรก็ไม่ทราบ
เมื่อถึงวันออกเดินทางเหล่าชาวบ้านถึงพากันออกมาส่งกันเนืองแน่น “องค์รัชทายาทโปรดเดินทางอย่างสวัสดิภาพ ใต้เท้าทุกท่านเดินทางโดยปลอดภัย”
พวกเขาคุกเข่าลงตรงประตูเมือง ตะโกนร้องให้เดินทางโดยปลอดภัยส่งคนจนออกไปไกล
เมื่อม่านรถม้าปิดลง ภายในรถม้าก็สงบลง
หนานกงฉีหลิงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าตื้นตัน “พี่ใหญ่ นี่คือความรู้สึกที่ได้รับการเคารพรักจากประชาชนใช่หรือไม่ ที่แท้การถูกประชาชนจดจำว่าพวกเราทำสิ่งใดให้พวกเขาช่างอิ่มเอมใจเช่นนี้นี่เอง”
หนานกงฉีอิง “พวกเราจะกลับมาอีกหรือไม่”
หนานกงฉีซิวตอบ “อาจจะ ทว่าเมื่อถึงยามนั้นพวกเขาคงลืมพวกเราไปหมดแล้ว”
“ไม่”
เยว่หลีแกว่งเท้า “พวกเขาตั้งป้ายอายุยืนให้กับพวกเรา ข้าเห็นมีคนมากมายจุดธูปไหว้ด้วย”
บนใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มดูภาคภูมิใจเล็กน้อยอยู่ “ที่นั่นมีตุ๊กตาดินเหนียวของพวกเราอยู่ด้วย ข้าดูดีที่สุด ได้ยินมาว่ามีคนเอ่ยถึงข้าจำนวนมาก”
หนานกงฉีหลิง “เฮ้ เมื่อใดกันที่เจ้าออกไปด้านนอกโดยไม่เรียกพวกข้า!”
เยว่หลีทำหน้าทะเล้นใส่ “ไม่เพียงแต่ไม่เรียก ข้ายังขอให้ท่านลุงผู้นั้นทำตุ๊กตาดินเหนียวให้เสี่ยวเป่าด้วย ดูสิ นี่คือของขวัญที่ข้านำกลับไปให้นาง ส่วนเจ้าไม่มี”
เขายิ่งดูภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้นยามนำเอาตุ๊กตาดินเหนียวออกมา
เสียงคุยเริงร่าทำลายบรรยากาศหนักหน่วงเมื่อสักครู่จนสิ้น หนานกงฉีซิวเลิกม่านมองออกไปด้านนอก ดูเหมือน… หิมะกำลังจะตกแล้ว
หิมะแรกโปรยปรายลงมา แม้ปีที่แล้วจะเกิดภัยพิบัติจากหิมะ ทว่าทุกคนก็ยังคงตื่นเต้น
หิมะตกตามฤดูเป็นนิมิตของปีอันอุดมสมบูรณ์ นี่คือความเชื่อความคิดอันเรียบง่ายของชาวบ้านทั่วไป
ปีนี้ไม่เพียงแค่พืชผลอุดมสมบูรณ์ ทว่ายังจัดการกับเหล่าขุนนางฉ้อฉลได้จำนวนมาก เหล่าประชาชนต่างมีความสุข นับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง หวังว่าปีหน้าก็จะเป็นปีที่ดีเช่นกัน
เมื่ออากาศเริ่มเย็นลง ตลาดทุกเมืองทุกอำเภอก็เริ่มมีเสื้อขนสัตว์ที่ถูกควบคุมราคาออกขาย
เหล่าประชาชนที่เพิ่งผ่านปีอันอุดมสมบูรณ์ต่างก็มีกำลังพอจะซื้อได้ เสื้อขนสัตว์ราคาถูกนั้นราคาไม่ถึงร้อยอีแปะ ยิ่งของเด็กยิ่งถูกลงไปอีก
ดังนั้นเสื้อขนสัตว์จึงขายหมดแทบทันทีที่วางขาย
หนานกงสือเยวียนไม่ได้วางแผนจะเผยแพร่เรื่องถ่านหินออกไปในปีนี้ ประการแรกเป็นเพราะเหมืองถ่านหินทั้งหมดที่พบในตอนนี้อยู่ในบริเวณแดนพายัพ อีกทั้งนอกจากพวกเขาแล้วยังไม่มีผู้ใดค้นพบวิธีการใช้ถ่านหิน
ใกล้จะถึงวันเกิดของหนานกงสือเยวียนแล้ว แม้ว่าเขาไม่ได้วางแผนจะจัดงานใหญ่โตในปีนี้ ทว่าอาณาจักรต่าง ๆ ก็ยังส่งราชฑูตมา เมื่อถึงยามนั้นหากพวกซยงหนูล่วงรู้ถึงประโยชน์ของถ่านหินจะต้องหาทางแย่งชิงเหมืองถ่านหินที่พวกเขาพบอย่างแน่นอน
แม้เขาจะไม่เกรงกลัวการสู้รบ แต่ก็ไม่ชื่นชอบการทำให้หลายชีวิตต้องสิ้นสูญ
เหตุผลประการที่สองคือ ยามนี้ถ่านหินส่วนใหญ่ที่ถูกส่งกลับมาล้วนแบ่งไปยังกรมโยธาและค่ายทหารใหญ่ ๆ เหลือเพียงปริมาณน้อยเกินกว่าจะแบ่งสัน
[1] ฉีดเลือดไก่ (打鸡血) สมัยก่อนเลือดไก่เป็นยาบำรุง