เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 404 ตำหนักทองคำ
บทที่ 404 ตำหนักทองคำ
บทที่ 404 ตำหนักทองคำ
เหล่าอาณาจักรข้างเคียงได้ยินเรื่องสถานการณ์ในต้าเซี่ยมานานแล้ว พวกเขาต่างเตรียมพร้อมที่จะมายืนยันข่าวคราวให้แน่ใจ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาชวนหดหู่ใจคือ แม้ว่าต้าเซี่ยจะเกิดความวุ่นวายภายใน แต่เจิ้นหนานอ๋องและแม่ทัพตระกูลเซี่ยก็ยังคงตั้งมั่นรักษาการ หากพวกเขาต้องการจะเปิดศึกกับต้าเซี่ยจำต้องคิดให้รอบคอบ
ภายในพระราชวัง ท่ามกลางหิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก เสี่ยวเป่าที่ทั้งร่างห่อด้วยขนจิ้งจอกกำลังวิ่งโดยมีเสือทั้งสองตัวตามหลัง รั้งท้ายด้วยเหล่านางกำนัลและขันที
เสี่ยวเป่าอุ้มเตาอุ่นมืออย่างจิ้งจอกน้อยเอาไว้ ด้วยเสื้อผ้าที่หนาไปบ้าง ยามวิ่งแต่ละก้าวจึงดูเหมือนฉีเอ๋อร์*[1]ตัวอ้วนกลมจอมเซ่อซ่า
“องค์หญิง ได้โปรดช้าลงหน่อยเถิด”
เสี่ยวเป่าไม่ฟัง พวกพี่ใหญ่กลับทั้งที นางแทบอดทนรอที่จะได้พบกับพวกเขาไม่ไหว เช่นนั้นจะชักช้าได้อย่างไร
หากล้มก็เพียงแค่ลุกขึ้นมาใหม่ หิมะปกคลุมทุกหนแห่งต่อให้ล้มลงไปก็ไม่เจ็บ
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่!”
เสียงเล็ก ๆ ตะโกนออกมาเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
ทว่าหลังจากนางวิ่งเข้าไป ก็พบว่าด้านในตำหนักฉินเจิ้งไม่ได้มีเพียงแค่เสด็จพ่อและพวกพี่ใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีคนจากต่างอาณาจักรอยู่ด้วย
นางรีบหยุดตัวอย่างกะทันหัน ทำให้เสียหลัก เมื่อใบหน้าใกล้ร่วงลงกระแทกพื้น ร่างอันแข็งแกร่งของเฮยอู๋ฉางก็เข้าขวางเอาไว้ได้ทันท่วงที
เสี่ยวเป่ารีบกลับมายืนอย่างมั่นคง ในอ้อมแขนยังคงกอดจิ้งจอกน้อยเอาไว้พลางอมยิ้มอย่างสง่างาม
ประหนึ่งว่าคนที่เมื่อสักครู่เกือบหน้าทิ่มไม่ใช่ตัวนางแต่อย่างใด
“คารวะเสด็จพ่อ เสด็จพี่รัชทายาท พี่สี่ และพี่ห้า”
หลังจากนั้นนางก็หันมาอีกด้านหนึ่งแล้วเอ่ยเพิ่มออกมา “รวมถึงทุกท่านด้วย”
ชาวซยงหนูที่ถูกเรียกว่าทุกท่าน “…”
พวกหนานกงสือเยวียนที่ถูกเสี่ยวเป่าแสดงท่าทางกุลสตรีสง่างามใส่อย่างกะทันหัน “…”
เสี่ยวเป่ามักแสดงท่าทางเฉลียวฉลาดเปี่ยมชีวิตชีวามาโดยตลอด บางครั้งบางคราวก็ทำตัวออดอ้อนประหนึ่งลูกแมวน้อย เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงสตรีตระกูลสูงศักดิ์เช่นนี้ จึงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง
“องค์หญิงของอาณาจักรท่านช่าง… ไม่เหมือนผู้ใด”
หนานกงสือเยวียน “อืม”
ราชทูตจากซยงหนู “???”
อืม หมายความว่าอย่างไรกัน นี่คือการยอมรับหรือ เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกได้ถึงความโอ้อวดบางอย่างในน้ำเสียง
หนานกงสือเยวียน : ลูกสาวของข้าช่างมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วนัก
หลังจากทักทายพอเป็นพิธีแล้ว เสี่ยวเป่าก็เดินไปหาเหล่าพี่ชาย ข้างกายติดตามด้วยสัตว์ผู้พิทักษ์ท่าทางสง่างามสองตน ดูแล้วสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ราชทูตซยงหนูจับจ้องไปทางเสือทั้งสองด้วยความเคารพยำเกรง เสือสองตัวนี้ทำให้พวกเรารู้สึกอันตรายเสียยิ่งกว่าเสือและหมาป่าทุ่งหญ้าใดที่เคยพบเจอ
หนานกงสือเยวียนเอ่ย “ราชทูตซยงหนูทุกท่านมาที่ต้าเซี่ยด้วยมีเรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ”
ราชทูตซยงหนูตอบ “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ สุราปีที่แล้วของต้าเซี่ยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ซยงหนูของพวกเรา ดังนั้นจึงใคร่อยากเจรจากับฝ่าบาทว่าปีนี้จะสามารถซื้อเพิ่มให้มากขึ้นได้หรือไม่”
เสี่ยวเป่าฟังเพียงแค่นั้นก็ไม่สนใจจะฟังต่อ ความสนใจย้ายไปอยู่ที่เหล่าพี่ชายของตนเอง
เท้าเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยับไปใกล้พวกเขามากขึ้น จากนั้นก็เงยหน้าแย้มยิ้มซื่อ ๆ
หนานกงฉีซิวยกยิ้มงดงาม มือยื่นออกมาลูบหัวน้อย ๆ ของนาง
“ท่านพี่ เสี่ยวเป่าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน”
แน่นอนว่านางย่อมพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“พวกข้าเองก็คิดถึงเสี่ยวเป่า”
“เสี่ยวเป่าคิดถึงข้าหรือไม่”
เยว่หลีขยับเข้ามาจับมือนาง ก่อนแย้มยิ้มอย่างสดใส
หลังจากนั้นเขาก็ถูกพี่ชายทั้งสามจ้องเขม็ง
“ดูเหมือนเยว่หลีจะสูงขึ้นมาก”
เสี่ยวเป่าเบิกตากว้าง ไม่เพียงแต่ร่างกายจะสูงขึ้น ทว่าบรรยากาศรอบกายยังเปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับตอนก่อนหน้า
บนร่างเขายังคงให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาดังเดิม แต่สูญเสียความไม่ประสาของเด็กน้อยไป ดูสุขุมขึ้นมากกว่าเดิมหลายส่วน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรียนรู้จากหนานกงฉีซิวหรือไม่ เขาที่เดิมทีเป็นเหมือนกระดาษขาวถึงเลียนแบบคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว ท่าทางการยืน วิธีพูด หรือการกระทำจึงดูเหมือนหนานกงฉีซิวอยู่บ้าง
ทว่ายามนี้เสี่ยวเป่ายังมองสิ่งใดไม่ออกมากนัก รู้สึกเพียงแค่เยว่หลีนั้นต่างจากก่อนหน้า แต่ก็ยังคงความเป็นเยว่หลี
สิ่งที่น่าอิจฉาคือเขาสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทว่าตนเองกลับสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย!
ชายหนุ่มหยิบตุ๊กตาดินเผาตัวเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วมอบให้นาง
“ของขวัญสำหรับเจ้า”
เขามีสิ่งที่อยากจะพูดกับเสี่ยวเป่ามากมาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการสนทนาเท่าไรนัก
เสี่ยวเป่าเล่นกับตุ๊กตาดินเผาตัวเล็กอย่างมีความสุข ตัดสินใจจะไม่เอาความเรื่องที่อีกฝ่ายตัวสูงขึ้นมาก
การสนทนาระหว่างราชทูตซยงหนูและหนานกงสือเยวียนดำเนินไปชั่วระยะหนึ่งก่อนสิ้นสุดหลัง หลังจากที่ฝูไห่นำราชทูตซยงหนูออกไปส่งแล้ว บรรยายกาศทั่วทั้งตำหนักฉินเจิ้งก็ผ่อนคลายลง
เสี่ยวเป่าวิ่งตรงไปทางหาท่านพ่ออย่างเร่งรีบ
หนานกงสือเยวียนรับเตาอุ่นมือตัวน้อยเข้ามาในอ้อมแขนด้วยความชำนาญ
เสี่ยวเป่า : เด็กดีว่าง่าย.jpg
ทว่าคนตัวใหญ่อุ้มคนตัวเล็ก ทั้งในอ้อมแขนคนตัวเล็กยังคงจิ้งจอกอยู่ มองดูอย่างไรก็น่าขบขันเล็กน้อย
เหล่าพี่น้องอดจะมองอีกหลายครั้งไม่ได้
เยว่หลี : อิจฉา.jpg
เขาเองก็ต้องการอุ้มเสี่ยวเป่าเอาไว้ในอ้อมแขนเดินไปที่นั่นที่นี่เหมือนกัน
“พวกเจ้าทำผลงานในหนานโจวได้ดีมาก”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าเห็นด้วย
หนานกงสือเยวียนหลุบสายตาลงมองนาง
“ต้องการรางวัลอันใดกันหรือไม่”
หนานกงฉีซิวเอ่ยตอบ “ลูกไม่ต้องการสิ่งใด นี่คือสิ่งที่ลูกสมควรทำ”
เช่นนั้นก็จะไม่ได้สิ่งใดเลยนะสิ เสี่ยวเป่าเริ่มขบคิดว่าจะมอบสิ่งใดในท้องพระคลังน้อยให้กับพี่ชายของตนดี
“ฝ่าบาท ข้ามีสิ่งต้องการ”
เยว่หลีมีความหาญกล้ามากขึ้นเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปทางเสี่ยวเป่าอย่างคลุมเครือ
“ข้า…”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยขัดทันที “อย่าได้แม้แต่จะคิด”
เยว่หลี “…”
เหตุใดจึงลำเอียงถึงเพียงนี้ เขาเองก็มีความดีความชอบนะ
เด็กหนุ่มไม่ยินยอม เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย เหตุใดจึงบอกอย่าได้คิดกัน
รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
หนานกงสือเยวียนเอ่ย “นอกจากเสี่ยวเป่า เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”
เขาไม่ใช่คนตระหนี่ เพียงแต่เด็กคนนี้เกาะติดกับลูกสาวของเขามากเกินไป หนานกงสือเยวียนติดป้ายเอาไว้แล้วว่าเด็กคนนี้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อเสี่ยวเป่า
“เช่นนั้น ข้ายังต้องการทองคำ”
นี่ไม่นับเป็นปัญหา หนานกงสือเยวียนโบกมือมอบรางวัลให้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ละเลยเหล่าบุตรชายแต่อย่างใด
หลังจากพูดคุยกับรัชทายาทเรื่องสถานการณ์ในหนานโจวแล้ว พวกเขาก็ออกไป หนานกงสือเยวียนเองก็ปล่อยเตาอุ่นมือตัวน้อยในอ้อมแขนลงอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ
“ไปเล่นเถิด อย่าลืมกลับมากินข้าวเย็นด้วย”
“เพคะ”
เสี่ยวเป่าวางจิ้งจอกตัวอ้วนเอาไว้บนหัวใช้แทนหมวก จากนั้นก็เดินจับมือพี่ชายไว้ข้างละคนเดินออกไป
ทันทีที่ออกจากตำหนักฉินเจิ้ง เยว่หลีก็มอบทองคำก้อนโตให้กับเสี่ยวเป่า
“ให้เสี่ยวเป่า”
เสี่ยวเป่าเอ่ย “เจ้าให้ข้านำไปทำสิ่งใดกัน”
เยว่หลีตอบ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไปแล้วว่าจะหาเงินมาเลี้ยงเสี่ยวเป่า ตอนนี้ข้ามีเงินแล้ว”
“เช่นนั้นข้าเก็บไว้หนึ่งอัน ที่เหลือเยว่หลีเก็บเอาไว้เอง”
เยว่หลีเอียงหัว มุมปากแย้มเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะพยายามอย่างหนักต่อไปเพื่อสร้างตำหนักทองคำให้เจ้า!”
เขาพูดออกมาด้วยความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก
หนานกงฉีหลิงกลอกตา “สมองของเจ้ามีปัญหาหรือ สร้างตำหนักทองคำเพื่อ?”
เปลือกตาของหนานกงฉีซิวกระตุก รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
ผลก็เป็นเช่นนั้นเมื่อเขาได้ยินคนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าจริงจังโง่งม “ข้าอ่านเรื่องหนึ่งที่นามว่าห้องทองคำซ่อนโฉมงาม ดังนั้นข้าเลย…”
“หยุดความคิดไร้สาระ!”
หนานกงฉีหลิงรีบขัด “เจ้าอย่าได้คิดอีก”
เยว่หลีขมวดคิด “ด้วยเหตุใดกัน ข้ารู้สึกว่าตำหนักทองคำนั้นค่อนข้างจะดี ทั้งงดงามและใช้งานได้ เมื่อถึงยามไม่เหลือเงิน ก็สามารถขูดเอากำแพงบางส่วนไปขายได้”
หนานกงฉีซิว “…”
เจ้าช่างมีความเข้าใจคิดเสียจริง
หนานกงฉีหลิงถูกเขาทำให้หลงผิดทันที
“พูดจาไร้สาระ หากผู้อื่นพบตำหนักทองคำเข้าย่อมเป็นอันตราย ไม่ว่าใครก็ต้องการจะสังหารเจ้าเพื่อยึดครองตำหนักทองคำ”
เยว่หลีคิดทบทวนแล้วเห็นว่าเป็นจริง “เช่นนั้นข้าควรก่ออิฐสร้างกำแพงซ่อนตำหนักทองคำเอาไว้ดีหรือไม่”
“หากมีคนบังเอิญทำหลุดขึ้นมาจะทำเช่นไร”
คนโง่งมทั้งสองไม่ได้คุยกันเรื่องซ่อนโฉมงามอีกต่อไป ทว่าเริ่มคุยกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับวิธีซ่อนตำหนักทองคำแทน
หนานกงฉีซิวเลิกคิ้ว : เป็นข้าที่คิดมากเกินไป นี่เป็นเพียงแค่คนโง่สองคน
[1] ฉีเอ๋อร์ คือ เพนกวิน