เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 406 สดับมองเรื่องราวในเมืองหลวง
บทที่ 406 สดับมองเรื่องราวในเมืองหลวง
บทที่ 406 สดับมองเรื่องราวในเมืองหลวง
ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าที่เกิดในต้าเซี่ยหรือมาจากอาณาจักรอื่น ๆ เดิมทีต่างคิดว่าเพียงแค่ถนนดินปูนก็ทำให้พวกเขาตื่นตกใจมากพอแล้ว ไม่คาดว่าหลังจากมาถึงเมืองหลวงก็ต้องตื่นตะลึงอีกรอบ
เป็นดังเช่นที่ชาวนาชราพูด ถนนในเมืองหลวงทั้งหมดล้วนปูด้วยสิ่งที่เรียกว่าดินปูน ผู้ที่สัญจรไปมาต่างไร้ดินโคลนติดเท้า
อีกทั้งยังตามถนนใหญ่ทุกเส้นยังมีคนคอยดูแลความสะอาดอีกด้วย
“แปลกประหลาดยิ่งนัก”
“ไม่ นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ดินปูนนี่คือสิ่งใดกันแน่จึงราบเรียบไร้ที่ติได้เพียงนี้ อีกทั้งยังแข็งแรงเป็นอย่างมาก”
กระทั่งคนที่นั่งรถม้ามาบางคนยังเต็มใจลงมาเดินบนถนนสายนี้
ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว
“ไม่ ยังมีสิ่งที่ไม่ได้พูดถึง พวกเจ้าเห็นหรือไม่ ตั้งแต่ประตูเมืองจนถึงตอนนี้ไม่พบขอทานแม้แต่คนเดียว”
หลังจากได้ยินเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็พากันกวาดตามองสำรวจรอบด้าน ก่อนพบว่าไม่มีจริง ๆ
“นี่… นี่หรือว่าจะโดนไล่ไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าบางเมืองนั้นเพื่อให้ดูดีมากยิ่งขึ้น พวกเขาจะขับไล่ขอทานสกปรกเหล่านั้นออกจากเมือง”
ลุงผู้หนึ่งที่กำลังทำความสะอาดถนนบังเอิญได้ยินเข้าจึงไม่พอใจขึ้นมาทันที
“พูดอันใดกัน ฝ่าบาทของพวกข้าไม่มีทางทำเช่นนั้น”
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเป็นแค่ขอทานผู้หนึ่ง ทว่าตั้งแต่ได้งานนี้มา ไม่เพียงแต่จะมีเสื้อผ้าให้ใส่ ฝ่าบาทยังมอบที่อยู่อาศัยให้ด้วย”
ใช่แล้ว คนกวาดถนนผู้นี้เคยเป็นขอทานมาก่อน แต่หลังจากถนนถูกปรับปรุงเทดินปูนแล้วก็จำต้องมีคนคอยดูแลความสะอาดตามถนนตรอกซอกซอย
ขอทานเด็กน้อยส่วนใหญ่ต่างไปเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ โตกว่าหน่อยก็ส่งของ ส่วนเหล่าขอทานชราฝีเท้าย่อมไม่เร็วเท่าหนุ่มสาว ไม่รู้ว่าจะจัดสรรไปส่วนใด จึงได้รับงานทำความสะอาดไปเสีย
แน่นอนว่าเมื่อมีงานให้แล้วหากยังเกียจคร้านก็ต้องถูกขับไล่ออกไป
เมืองหลวงไม่เลี้ยงดูคนเกียจคร้าน!
“เจ้า เจ้าเป็นขอทานหรือ”
พ่อค้าต่างแดนมองเขาด้วยใบหน้าอึ้งทึ่ง
ขอทานที่พวกเขาเคยพบเห็นล้วนตัวผอมแห้งเหลือแต่กระดูก ภายในดวงตาไร้ประกายราวกับซากศพเดินได้
คนผู้นี้แม้จะผอมมาก ทว่าใบหน้าแดงฝาดเต็มไปด้วยพลัง ประกายตาทั้งสองก็เต็มไปด้วยความหวังในชีวิต เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็สะอาดสะอ้าน
ชายชราตบอกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ละอายแม้แต่น้อยที่จะเอ่ยฐานะตนเอง “ใช่แล้ว แม้ว่างานของข้าจะเป็นเพียงการทำความสะอาดสิ่งสกปรก แต่ก็มีอาหารกินครบสามมื้อ และยังมีเงินอีกห้าอีแปะให้ใช้ เดือนหนึ่งสามารถกินเนื้อได้สองครั้ง ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่อิจฉาข้า”
ชายชราผู้นี้โอ้อวดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้เกือบทุกวันล้วนไม่เคยอิ่ม ต้องคอยแย่งชิงอาหารกับสุนัข ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกวันล้วนมีอาหารสามมื้อและห้าอีแปะ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน
เพียงแค่มีคนถามเขาก็พร้อมจะบอกเล่าป่าวประกาศออกมาว่ายามนี้ตนเองมีความสุขเพียงใด พวกเขาเทิดทูนยกย่องฝ่าบาท เหล่าองค์ชาย และองค์หญิงที่มอบแทบทุกอย่างให้ประหนึ่งเป็นเทพมาโปรดจริง ๆ
ก่อนหน้านี้เหล่าพ่อค้าแต่งกายหรูหราต่างก็มองเขาไม่ต่างอันใดจากสุนัข อย่าว่าแต่จะพูดคุยด้วยเลย กระทั่งเหลือบมองยังไม่สนใจเหลียวแล แต่ตอนนี้พวกเขากลับเต็มใจหยุดและฟังเขาเล่าการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง
นี่หมายความว่าภายในต้าเซี่ยไม่ได้วุ่นวายไม่ใช่หรือ ทั้งยังดูเหมือนจะมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นเหมือนกันกับราชทูตจากอาณาจักรต่าง ๆ ทันทีที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องราวในเมืองหลวงต้าเซี่ย
สิ่งนี้แตกต่างจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับมาอย่างสิ้นเชิง!
ระหว่างที่พวกเขากำลังงุนงง พลันเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งในย่ามผ้าสะพายข้างวิ่งไปตามถนน ทั้งระหว่างวิ่งยังตะโกนออกมาเสียงดัง
“ขายหนังสือพิมพ์ ขายหนังสือพิมพ์ ซ่งชิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชเลขาอายุน้อยที่สุดอย่างเป็นทางการ ประมุขตระกูลซ่งโกรธจนกระอักเลือด”
“หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ฝ่าบาทพิจารณายุทธศาสตร์ห้าปี หลังจากนี้ห้าปีทุกหนแห่งในต้าเซี่ยจะมีถนนดินปูน”
“ขายหนังสือพิมพ์ บุญคุณความแค้นระหว่างเซียวเหยาอ๋องและเหล่าบุตรชาย ทุกท่านมาดูเร็ว เซียวเหยาอ๋องไล่เหล่าบุตรชายอีกครั้งแล้ว”
เมื่อได้ยินเนื้อหาคำพูดที่พวกเขาตะโกนออกมา นอกจากคนของต้าเซี่ยแล้ว เหล่าราชทูตอาณาจักรอื่นและพ่อค้าล้วนตกตะลึง
“นี่ สิ่งที่พวกเขาตะโกนคือเรื่องของราชสำนักหรือ”
“ยังมีเรื่องเซียวเหยาอ๋อง นี่ไม่นับเป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์อย่างนั้นหรือ”
“หนังสือพิมพ์คือสิ่งใด”
ข้อความเหล่านั้นที่เด็ก ๆ ตะโกนออกมา ล้วนถือได้ว่า… ถือได้ว่าเป็นกบฏแล้ว!
แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนในเมืองหลวง หรือกระทั่งคนต้าเซี่ยจากมณฑลอื่นดูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
อย่างไรเสียหนังสือพิมพ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีขายเฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น ทุกอำเภอทุกเมืองในต้าเซี่ยต่างก็มี จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้เหล่าประชาชนเข้าใจกฎและนโยบายการปกครองบางส่วน ทำให้พวกเขาไม่ถูกปิดหูปิดตาไม่รู้สิ่งใด จนสุดท้ายก็โดนเหล่าขุนนางหลอกลวง
ตัวอย่างเช่นภาษีการเกษตรก่อนหน้านี้ เพียงเพราะมีเหล่าขุนนางเท่านั้นที่รู้ว่าภาษีถูกเรียกเก็บมากน้อยเพียงใด ทำให้ตระกูลขุนนางหาญกล้าลงมือใหญ่โตหลอกลวงชาวบ้านจนตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช
“เด็กน้อย เอาหนังสือพิมพ์ให้ข้าห้าฉบับ”
“ตกลง ทั้งหมดของท่านสิบห้าอีแปะ”
ตอนนี้หนังสือพิมพ์ทั้งหมดราคาสามอีแปะต่อหนึ่งฉบับ เมื่อครั้งเริ่มขายออกมาตั้งราคาหนึ่งอีแปะก็เพื่อทำให้หนังสือพิมพ์เป็นที่รู้จัก พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เงินทั้งยังขาดทุนอีกด้วย
ตอนนี้ราคาคือสามอีแปะ ปรับตามมาตรฐานรายได้ส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยในเมืองหลวง กระทั่งเหล่าอดีตขอทานเก็บเงินสักหน่อยก็สามารถหาซื้อได้
แต่แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่ทำเช่นนั้น เงินสำหรับพวกเขาเก็บไว้เพื่อซื้ออาหาร
พ่อค้าต่างเมืองในต้าเซี่ยแย้มยิ้มพร้อมแจกจ่ายหนังสือพิมพ์ในมือให้กับพ่อค้าคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านข้างด้วยท่าทางโอ้อวดอย่างไม่ตั้งใจ
“หนังสือพิมพ์นี่ก็เป็นของเฉพาะต้าเซี่ย เนื่องจากก่อนหน้านี้ตรวจสอบพบว่าทางหนานโจวแอบลักลอบเพิ่มภาษีการเกษตรไปหลายส่วน เหล่าขุนนางจำนวนมากนำภาษีส่วนนั้นเข้ากระเป๋าตัวเอง ตระกูลขุนนางในเมืองหลวงจำนวนมากก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดอีกในอนาคต ฝ่าบาทจึงได้จัดทำหนังสือพิมพ์เหล่านี้ขึ้น”
ชายชราที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดแก้ไขขึ้นมาไม่ได้ “ท่านพูดผิดแล้ว หนังสือพิมพ์เหล่านี้ไม่ใช่ฝ่าบาทที่จัดทำขึ้นมา”
พ่อค้าผู้นั้นมึนงง “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาททำขึ้นหรือ”
ขายชราหัวเราะ “บางทีข่าวที่ส่งออกไปพื้นที่อื่นอาจผิดพลาดได้ จริง ๆ แล้วหนังสือพิมพ์เหล่านี้องค์หญิงเจาเสวี่ยจัดทำขึ้นเพื่อฝ่าบาทต่างหาก”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น เหล่าพ่อค้าต่างอาณาจักรที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านก็กลับมาสนใจข้อมูลจากเขาอีกครั้ง
“หืม? เรื่องเป็นมาเช่นไร”
ชายชราเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าอิจฉา “ฝ่าบาทของพวกเรานับได้ว่ามีพระธิดาแสนดี ก่อนหน้าจะมีหนังสือพิมพ์ออกมา แม้ขุนนางเหล่านั้นที่ฝ่าบาทจับไปจะเป็นขุนนางฉ้อฉล แต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปอย่างพวกเราไม่รู้ว่าขุนนางเหล่านั้นล้วนโกงกินทั้งหมด ตระกูลขุนนางหน้าไม่อายเหล่านั้นจึงอาศัยโอกาสเผยแพร่ข่าวลือว่าฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ทรราชโง่งม ทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อ ทว่าชายชราอย่างข้าไม่ได้เชื่อข่าวเหล่านั้น”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้เขาก็อดแสดงความบริสุทธิ์ของตนเองไม่ได้ ก่อนจะค่อย ๆ เล่าเรื่องต่อ “เมื่อข่าวไปถึงภายในพระราชวัง องค์หญิงเจาเสวี่ยก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทนฝ่าบาท นางมีความกตัญญูยิ่งนัก เพื่อไม่ให้ทุกคนเข้าใจฝ่าบาทผิดจึงไปพบราชครูหลีรุ่นและใต้เท้าฉินเพื่อจัดทำหนังสือพิมพ์ขึ้นมา ลบล้างมลทินให้กับฝ่าบาท”