เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช - บทที่ 408 ย่านการค้าสุดครึกครื้น
บทที่ 408 ย่านการค้าสุดครึกครื้น
บทที่ 408 ย่านการค้าสุดครึกครื้น
“ได้ขอรับ ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่าน…”
ผ่านไปสักพัก เถ้าแก่ก็ยื่นใบสั่งซื้อที่มีการลงตราประทับร้านเครื่องเคลือบลายงามป้องกันการปลอมแปลงให้เขา
“ตรวจสอบวันจัดส่งสินค้าได้ที่ใบสั่งซื้อ ท่านจะได้รับสินค้าภายในสิบห้าวัน”
พ่อค้าที่กำลังรับใบสั่งซื้อไปด้วยความยินดีถึงกับสะดุดหายใจ “เหตุใดนานถึงสิบห้าวัน”
เถ้าแก่ “เราเองก็ไม่มีทางเลือก เครื่องเคลือบของร้านเราเป็นที่นิยมมาก บรรดาพ่อค้าที่มาที่นี่แต่ละคนล้วนสั่งสินค้ากันจำนวนมาก ตอนนี้เรายังไม่สามารถจัดส่งสินค้าทั้งหมดในคราวเดียว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทางร้านจึงต้องจำกัดการจัดส่งสินค้าในแต่ละวัน”
พอได้ยินดังนั้น พ่อค้าผู้นั้นพลันนึกเสียดายที่ตนมาช้าเกินไป
ผู้ใดจะไปรู้ว่ายามนี้ต้าเซี่ยมีของดีมากมายถึงเพียงนี้!
แต่ที่เสียดายยิ่งกว่าก็คือเขาพกเงินมาน้อยไป!
ขนาดตอนนี้ยังขายดิบขายดีถึงเพียงนี้ ที่งานประมูลคงมีคนเข้าร่วมไม่น้อย ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชุดโฉมงามนั่นมีเพียงสามชุดเท่านั้น ผู้ใดจะไม่อยากได้
ไม่รู้ว่าหากจะคืนใบสั่งซื้อและขอเงินคืนตอนนี้จะทันหรือไม่
กิจการอื่นของเสี่ยวเป่าอย่างหอสุราอันดับหนึ่งกับโรงน้ำชาเทียนเป่าก็ครึกครื้นไม่แพ้ร้านเครื่องเคลือบลายงามเลย
โดยเฉพาะหอสุรา เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนมาด้วยจุดประสงค์นี้
เพียงแต่มีการจำกัดปริมาณในการซื้อ แต่ละคนสามารถซื้อเหล้าได้ชนิดละสองขวดเท่านั้น
หลังจากทำการซื้อขายกันเสร็จสิ้น ลูกค้าเหล่านั้นจะถูกประทับตราลายดอกไม้สีพิเศษบนข้อมือ
มันคือดอกไม้แห่งชีวิต ผู้ให้กำเนิดภูตพฤกษาตัวน้อย
เป็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามยิ่ง ทว่าไม่สามารถล้างออกได้ในเวลาอันรวดเร็ว แม้พยายามหาทางปกปิด แต่พอถึงเวลาจ่ายเงิน พวกเขาทั้งหมดก็จะถูกตรวจข้อมืออยู่ดี
ช่างเป็นร้านค้าที่เย่อหยิ่งจองหองยิ่งนัก
แม้บางคนจะไม่ชอบใจกับวิธีนี้ แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นร้านค้าร้านใดทำเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาพร้อมจ่าย เหตุใดถึงไม่ต้องการ!
เพื่อเหล้าองุ่นรสเลิศแล้ว พวกเขาถึงขั้นให้บ่าวรับใช้ทั้งจวนออกไปซื้อมาให้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังจ้างคนข้างนอกอีกไม่น้อย
แต่จะว่าไปการที่หอสุราทำเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย พวกเขาให้สิทธิ์การซื้อกับเหล่าพ่อค้าและราชทูตต่างแดนอย่างเท่าเทียม ลูกค้าทั่วไปจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการแอบพูดคุยตกลงกันลับหลังแน่นอน
สาเหตุหลังที่ทำให้เกิดกฎดังกล่าว ก็เพราะเหล่าพ่อค้าและราชทูตต่างแดนมากว้านซื้อเหล้าจำนวนมาก แม้เป็นช่วงแรกของการเปิดจำหน่าย ทว่าเศรษฐีน้อยใหญ่ล้วนสั่งซื้อเหล้ากันเป็นร้อยเป็นพันขวด
เหล้าขนาดมาตรฐานหนึ่งขวดราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงิน เหล้าขวดเล็กที่สุดราคาเจ็ดสิบตำลึง
แต่คนพวกนี้ทำเหมือนไม่สนใจราคา ขอเพียงได้เหล้ามาครอบครอง จะถูกหรือแพงก็ยอมจ่าย คนพวกนี้บ้าไปแล้ว
มีเหล้าสิบหรือยี่สิบขวดพวกเขาก็กว้านซื้อจนหมด หากมีร้อยขวดก็คงไม่เหลือ
แต่ละคนทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง*[1] จนคนที่บ้านแทบไม่เหลือเงินใช้จ่าย
อีกหนึ่งสาเหตุก็คือ เหล้าในหอสุราหมดเร็วเกินไป จนไม่เหลืออะไรให้ขาย พวกเขาจึงจำเป็นต้องจำกัดปริมาณในการซื้อ!
แม้การทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ที่ต้องการซื้อเหล้าจำนวนมาก แต่มันส่งผลดีต่อเหล่าผู้คนที่มาทีหลัง เพราะหากไม่มีการจำกัดจำนวน คนที่มาทีหลังก็ต้องมาเสียเที่ยว!
……
ณ โรงน้ำชาเทียนเป่า
บนห้องรับรองแขกที่ดีที่สุด เป็นส่วนตัวที่สุด และที่สำคัญคือมองเห็นถนนด้านหน้าได้ชัดที่สุด หนานกงหลีโบกพัดเบา ๆ พลางยกยิ้มพึงพอใจให้กับความครึกครื้นของย่านการค้า
“เป็นอย่างไร แผนการค้าคราวนี้ได้ผลดีทีเดียวใช่หรือไม่”
หนานกงเหิง “เสด็จพ่อ ท่านหาใช่คนต้นคิด ท่านแค่เป็นคนสั่งการลูกจ้างในร้าน นี่เป็นผลงานของเสด็จลุงกับเสี่ยวเป่าชัด ๆ”
หนานกงหลีขว้างพัดใส่ลูกชายผู้โชคร้าย “เจ้ายังอยากให้ข้าไล่ตีเจ้าอีกหรือ”
หนานกงเหยียนโต้กลับ “หากท่านอยากเป็นข่าวอีกก็ลองดูเถิด!”
ยิ่งพูดถึงเรื่องราวฉาวโฉ่ในวันนี้ หนานกงหลียิ่งอับอายขายหน้า
“ไอ้บ้าฉินเฟิงกล้าดีอย่างไรมาเขียนเรื่องของข้า!”
กล้าเขียนเรื่องของเขาลงข่าวซุบซิบได้อย่างไร กลับไปคงต้องคุยกับใต้เท้าฉินสักหน่อยแล้ว!
“ท่านอาเจ็ดห้ามรังแกใต้เท้าฉินนะเพคะ”
เสี่ยวเป่าเดินมาพร้อมเตาอุ่นมือ ทันทีที่ก้นนางแตะเก้าอี้ ท่านอาเจ็ดของนางก็พลันคว้าหมับเข้าที่แก้ม
“ข้าคือท่านอาเจ็ดของเจ้านะ ไยเจ้าถึงเข้าข้างผู้อื่นเล่า”
เสี่ยวเป่าพยายามเบี่ยงหน้าหนีให้พ้นจากเงื้อมมือผู้เป็นอา เพื่อรักษาใบหน้าของตนให้พ้นภัย
“ข้าเพียงจะบอกว่า ต่อให้ใต้เท้าฉินเฟิงไม่เขียนข่าวที่ท่านอาเจ็ดวิ่งไล่ตีญาติผู้พี่ลงหนังสือพิมพ์ ผู้คนทั้งเมืองหลวงก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว!”
ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่คนในวังก็ยังรู้
หลังจากเหล่าบุตรถูกหนานกงหลีผู้เป็นพ่อหักหลัง เหล่าบุตรชายผู้ได้นิสัยเขามาเต็ม ๆ จึงรวมหัวกันก่อกบฏ จนหนานกงหลีต้องมีน้ำโหแทบทุกวัน วีรกรรมล่าสุดก็คือ เหล้าชั้นดีที่เขาได้มาจากเสี่ยวเป่าซึ่งซ่อนเอาไว้ เมื่อวานนี้มันหายไป!
หลังจากสอบสวนเหล่าบุตรชายของตน เขาก็พบว่าเป็นคนพวกนั้นที่ร่วมมือกันขโมยเหล้าของเขา ด้วยความบันดาลโทสะ เขาจึงถือคบเพลิงวิ่งไล่ตีบุตรชายทั้งหลาย ตั้งแต่ถนนฝั่งตะวันออกจนถึงถนนฝั่งตะวันตกท่ามกลางสายตาคนเกือบทั้งเมืองหลวง
ไม่แปลกที่เสี่ยวเป่าจะบอกว่าคนทั้งเมืองหลวงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
ต่อให้ไม่มีหนังสือพิมพ์ เหตุการณ์นี้ก็ไม่มีทางหลุดรอดสายตาคนในเมืองหลวงอยู่แล้ว แค่พวกเขาบอกเล่ากันปากต่อปาก เรื่องซุบซิบเช่นนี้ ไม่ถึงสองวันก็รู้กันถ้วนหน้าแล้ว
ฉินเฟิงเป็นคนฉลาดและทุ่มเท เขาได้แบ่งส่วนหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ไว้เขียนเรื่องซุบซิบและเรื่องราวน่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้อ่าน
แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะเรื่องซุบซิบนี่แหละที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายหันมากระตือรือร้นหัดอ่านหนังสือ
ตอนนี้แม้แต่ขอทานยังรู้อักษรตั้งสองสามคำ
ตอนนี้สำนักศึกษายังสร้างไม่เสร็จ แต่ผู้คนเริ่มอ่านออกเขียนได้ นับเป็นเรื่องดี
“ฮ่า ๆ ๆ… เมื่อวานร้านน้ำชาของเรามีรายได้แปดร้อยตำลึง!”
หนานกงฉีจวินปรากฏตัวพร้อมเสียงดังฟังชัด ส่วนสีหน้านั้นใช่คำว่ากระหยิ่มยิ้มย่องยังน้อยไป
ท่าทางภูมิใจจนหางแทบชี้ฟ้า
“ไอ้หยา เถ้าแก่ใหญ่ของเราก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
หนานกงฉีจวินผู้ไม่รู้จักคำว่าถ่อมตัว พยักหน้ารับทันที
“ใช่แล้วล่ะ ก็วันนี้พวกท่านมาดูธุรกิจโรงน้ำชาของข้านี่นา เห็นแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง!”
เขาเอ่ยต่อพลางขยิบตาให้เหล่าพี่ชาย “เป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าเก่งเพียงใด”
เสี่ยวเป่าปรบมือพร้อมส่งเสียงชื่นชมอยู่ข้าง ๆ เหมือนแมวน้ำตัวน้อย
“เก่งมาก ๆ พี่ชายตัวน้อยเก่งมาก!”
หนานกงหลีหัวเราะแผ่วเบา “วัน ๆ หนึ่งข้าหาเงินได้ตั้งหลายพันตำลึงยังไม่เห็นจะอวดเลย”
หนานกงฉีจวินหรี่ตามองอีกฝ่าย “เงินนั่นไม่ได้เข้ากระเป๋าเสด็จอาเจ็ดเสียหน่อย มันเป็นเงินของท้องพระคลัง”
หนานกงหลี “แต่มันก็มาจากมือข้า!”
พูดตามตรง สถานการณ์สองสามวันแรกที่เปิดถนนย่านการค้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาถึงกับใจหายใจคว่ำ จนต่อมาเริ่มมีเหล่าพ่อค้าเดินทางมาเพื่อซื้อเหล้า รวมถึงเครื่องเคลือบในร้านเครื่องเคลือบลายงาม ที่นี่จึงเริ่มครึกครื้นขึ้น
สินค้าทั้งสองชนิดเป็นที่นิยมในหมู่พ่อค้าผู้มั่งคั่งและราชทูตถุงเงินหนาจากต่างแดนโดยเฉพาะ
จนทุกวันนี้มีรายได้เข้าท้องพระคลังเกือบสองพันถึงสามพันตำลึงต่อวัน
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ตกใจกับผลกำไรมากมายเหล่านั้น ฮ่องเต้และรัชทายาทก็ตกใจไม่ต่างกัน
และดูเหมือนว่ารายได้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวัน
ไม่รู้ว่าสถานการณ์วันประมูลจะเป็นอย่างไร
เท่าที่พวกเขาสังเกตมา เหล่าพ่อค้าต่างร่ำรวยกันจนเหมือนหมูอ้วนมันเยิ้ม คนในตระกูลหนานกงที่ไม่เคยคิดจะโก่งราคา เอารัดเอาเปรียบเหล่าพ่อค้าพลันรู้สึกไม่ชอบใจ
พ่อค้าพวกนั้นได้ชื่อว่าคนค้าขาย อย่างไรก็ต้องอยากได้สินค้าต้นทุนถูก ตนถึงจะได้กำไรเยอะ เห็นทีหลังสิ้นปีนี้ต้องออกกฎเกณฑ์กันหน่อยแล้ว!
[1] สิงโตอ้าปากกว้าง หมายถึง ความต้องการที่มากจนเกินตัว